หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 36 คำถาม
บทที่ 36 คำถาม
บทที่ 36 คำถาม
“เดรัจฉานยิ่งนัก! ลูกชั่ว!” อัครมหาเสนาบดีตะโกนด้วยความโมโห เขาไม่คิดเลยว่าบุตรสาวของตนจะกล้าลักลอบพบปะชายหนุ่ม นี่มันเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง! เหตุใดนางถึงกล้ากระทำเรื่องที่เสื่อมเสียเกียรติวงศ์ตระกูลเช่นนี้!
พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน ใบหน้าของเขายิ่งหมองคล้ำ พลันดวงตาฉายแววโหดเหี้ยมออกมา “เจ้าช่างเป็นลูกอกตัญญู! เป็นตัวอัปมงคลของตระกูลข้าจริง ๆ เจ้ายังกล้าเอ่ยว่าจะกลับตัวกลับใจอีกงั้นรึ! หากข้ารู้คราแรกว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าน่าจะตีเจ้าให้ตายไปเลยตั้งแต่วันนั้น!”
ดวงตาของซ่งจื่ออานเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาเติบโตมาด้วยความรักจากอดีตฮ่องเต้และอดีตฮองเฮา ไม่เคยได้ยินคำพูดร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน เขาโอบกอดหญิงสาวในอ้อมแขนแน่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด แต่สิ่งที่เขาเห็นคือรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง
สิ้นหวัง… นี่คือความสิ้นหวังที่แท้จริง
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความเจ็บปวดในใจของเขา เช่นเดียวกับที่ไม่มีผู้ใดรับรู้ความทุกข์ในใจของนาง เช่นนั้นไม่แปลกเลยที่นางจะเกลียดชังเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ นางผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้มาได้อย่างไร?
ซ่งจื่ออันกอดนางแน่นขึ้น พยายามถ่ายทอดไออุ่นทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวให้กับร่างที่เย็นเฉียบไปทั้งกายในอ้อมกอดของตน แต่ก็ไร้ผล
เมื่อเห็นภาพนั้นอันก่วงเหนิงก็ยิ่งทวีความโกรธยิ่งขึ้น หวังเสวี่ยเฟิงที่อยู่ข้างกายก็เริ่มอาละวาดตามไปด้วย นางอุตส่าห์รอคอยโอกาสนี้มานาน จะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้อย่างไรเล่า? นางเคยสาบานกับตัวเองว่าครั้งนี้ไม่ว่าเช่นไรนางจะต้องกำจัดอันหรูอี้ให้ได้! นางอดทนรอคอยมาจนถึงตอนนี้!
“อันหรูอี้ เจ้าช่างใจเย็นเสียจริงนะ แต่ก็เอาเถอะ ข้าย่อมไม่แปลกใจกับท่าทีของเจ้าเท่าไรนัก หากกล้าทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้ ย่อมต้องเตรียมหนทางหนีรอดเอาไว้แล้วใช่หรือไม่? ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าคราวนี้เจ้าจะแก้ตัวอย่างไร!”
อันหรูอี้ไม่ขยับเขยื้อน นางเพียงปล่อยให้น้ำตาไหลริน แต่ทว่าใบหน้ากลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ราวกับเป็นรูปปั้นอันงดงามที่มีเพียงน้ำตาไหลรินเท่านั้น
ซ่งจื่ออานก้มหน้าต่ำ มือซ้ายกำแน่นเพื่อข่มอาการสั่นเทาของตนไว้ ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นความจริง สตรีในดวงใจของเขา… นางต้องใช้ชีวิตเช่นนี้มาโดยตลอด!
ผู้คนมามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงตกตะลึง เสียงดูถูก และเสียงสาปแช่งดังขึ้นไม่ขาดสาย แต่อันหรูอี้กลับไม่ได้ยินสิ่งใด เหม่อมองซ่งจื่ออานอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยถามเขาอย่างใจเย็นว่า “ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่? ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?”
ซ่งจื่ออาน ผงกศีรษะช้า ๆ กลั้นความเจ็บปวดในใจไว้แล้วลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “…ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอย่ากลัวเลย ต่อไปจะไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้อีก”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังพูดคุยกันอยู่ อันก่วงเหนิงก็โกรธจนเส้นเลือดที่ขมับก็ปูดโปนขึ้นมาทันที “รออันใดกัน! รีบจับมันแยกออกจากกันซะ!”
บ่าวรับใช้ไม่รอช้า รีบพุ่งเข้าอันหรูอี้ทันที อันหรูอี้หลับตาสูดหายใจลึก ซ่งจื่ออานยังคงโอบไหล่ของนางไว้ จากนั้นค่อย ๆ หมุนตัวกลับ
ทันใดนั่นเอง อันก่วงเหนิงก็อึ้งไปชั่วขณะ เพราะเขากลับเห็นเซี่ยเหิงยืนอยู่นอกหน้าต่าง เขาไม่รู้ว่าเซี่ยเหิงมายืนอยู่ที่หน้าต่างตั้งแต่เมื่อไหร่ จ้องมองมาที่ตัวเขาอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่ากำลังยืนคุ้มกันให้กับใครสักคนอยู่ พร้อมกับสายตาที่แฝงไปด้วยคำเตือน
นั่นไม่ใช่องครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้หรอกหรือ? เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
ดวงตาของอันก่วงเหนิงเบิกกว้าง เมฆดำค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างสาดส่องลงที่หน้าต่าง ซ่งจื่ออานจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อัครมหาเสนาบดี วันนี้ท่านทำให้ข้า… ได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ ”
…
หวังเสวี่ยเฟิงคอยสอดส่องเฝ้าดูเรือนเหมันต์มาครึ่งเดือน นางจึงมั่นใจได้ว่าบุรุษผู้นั้นจะปรากฏตัวทุก ๆ สามวัน
วันนี้ก็เป็นวันที่สามพอดี นางกำลังคิดอยู่ว่าจะข้ออ้างอันใดที่จะพาอันก่วงเหนิงไปที่เรือนเหมันต์ในยามดึก หากจับได้คาหนังคาเขา ได้เห็นอันหรูอี้อับอายขายหน้าจนหมดท่า คงจะสะใจไม่น้อย
แต่นางคาดไม่ถึงว่าอันหรูอี้จะเสนอตัวเข้ามาหาเรื่องเอง
“ท่านพี่!” หวังเสวี่ยเฟิงสวมเสื้อผ้าอย่างร้อนรนแล้วเคาะประตูไม้ห้องอักษร ลวดลายแกะสลักที่ประณีตบนประตูแหลมคมมาก ในตอนที่นางกำลังเคาะประตูอย่างตื่นเต้นก็เกือบจะถูกบาดที่นิ้วมือ
หวังเสวี่ยเฟิงยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของในห้องเดินมา แต่ทว่าอันก่วงเหนิงกลับเปิดประตูไม้ออกมาอย่างกะทันหัน ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธเกรี้ยวจ้องมองนาง ทำให้ใจของนางรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา แต่น้ำเสียงของเขาที่เอ่ยออกมากลับเรียบเฉย “ …มีเรื่องอันใด?”
หวังเสวี่ยเฟิงสะดุ้ง แสร้งทำเป็นตกอกตกใจจริง ๆ “ท่านสามี แย่แล้ว ได้ยินจากบ่าวว่า มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้าไปในเรือนเหมันต์ของหรูอี้ ข้าเกรงว่าจะเป็นคนจากสำนักตรวจการ!”
ดวงตาของอันก่วงเหนิงเบิกกว้าง “บังอาจ!”
หวังเสวี่ยเฟิงกระทืบเท้าไม่หยุด “ท่านพี่ ข้ากลัวว่าจะมีเหตุไม่คาดฝัน ในเรือนเหมันต์ ยามนี้ไม่มีเสียงใด ๆ ดังออกมาเลย ข้าได้ส่งคนไปล้อมไว้แล้ว แต่เกรงว่า… เกรงว่าคงต้องให้ท่านพี่ไปควบคุมสถานการณ์เองด้วยเจ้าค่ะ!”
อันก่วงเหนิงเหายใจฮึดฮัดหนึ่งที ก้าวเท้าออกจากห้องอักษร “ข้าจะไปดูว่าผู้ใดบังอาจเข้ามาหาเรื่องที่จวนอัครมหาเสนาบดีของข้า!”
หวังเสวี่ยเฟิงเดินตามหลังมาด้วยความดีใจ จนกระทั่งเข้ามาในเรือนเหมันต์ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของนาง เมื่อเห็นอันก่วงเหนิงโกรธเกรี้ยวเช่นนั้น นางก็รู้สึกสะใจ ราวกับว่าได้เห็นภาพของอันหรูอี้ที่ร้องไห้จนน่าสมเพชปรากฏขึ้นในสายตาของนางแล้ว
แต่ทว่า จู่ ๆ อันก่วงเหนิงกลับคุกเข่าลงต่อหน้าชายผู้นั้น!
เขาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ขุนนางใหญ่แห่งแผ่นดิน! เพียงแค่เห็นเขาคุกเข่าลง ขาของหวังเสวี่ยเฟิงก็อ่อนแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ภาพในจินตนาการทั้งหมดหายวับไปต่อหน้า กลายเป็นการคาดเดาที่น่าสะพรึงกลัว
จากนั้น การคาดเดานั้นก็กลายเป็นความจริง
อันก่วงเหนิงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา คุกเข่าลงกับพื้นอย่างนอบน้อม
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ… หมื่นปี หมื่น ๆ ปี!”
เสียงจอแจที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้กลับชะงักลง เสียงเข่ากระทบพื้นดังขึ้นไม่หยุด หวังเสวี่ยเฟิงไม่ได้รับรู้เรื่องราวรอบตัวอีกต่อไป แม้แต่ร่างกายของที่สั่นเทาและปากที่พึมพำตามว่า “หมื่นปี หมื่น ๆ ปี” ก็ยังเอ่ยออกมาไม่รู้ตัว
นางเป็นสตรีที่เป็นแค่อนุในจวนขุนนาง ไม่คู่ควรแม้แต่จะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ นางจึงไม่มีโอกาสได้เห็นฮ่องเต้ตัวเป็น ๆ เลยสักครั้ง
แต่วันนี้นางได้พบเขาแล้ว แต่กลับเป็นในห้องของอันหรูอี้ เป็นห้องที่นางวางแผนใส่ร้ายอันหรูอี้…
หวังเสวี่ยเฟิงตกใจจนตัวสั่น เช่นนั้นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็คือชายที่อยู่กับ อันหรูอี้งั้นหรือ?!
“ท่านอัครเสนาบดี” น้ำเสียงของซ่งจื่ออานเย็นชาจนทำเอาผู้คนรอบข้างหนาวสั่นสะท้าน “บุกเข้ามาในจวนอัครเสนาบดีโดยพลการ ข้าขออภัย”
อันก่วงเหนิงรีบพูดด้วยสีหน้าฝืนยิ้ม “ฝ่าบาทตรัสรเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของฝ่าบาท…”
“ส่วนเรื่องภายในจวนของท่าน จริง ๆ แล้วข้ามิควรเข้ามายุ่ง” ซ่งจื่ออานกล่าวต่อ
หัวใจของอันก่วงเหนิงเต้นขึ้นมาถึงลำคอในชั่วพริบตา นึกถึงเรื่องที่ไปตำหนักไท่เหอและเรื่องที่เซี่ยเหิงถามเกี่ยวกับการคัดเลือกสนมขึ้นมาได้ในทันใด ในใจรู้สึกตกใจ ทั้งข่มขื่น และดีใจไปพร้อม ๆ กัน แต่หลังจากนั้นเขาก็นึกได้ว่าตนเองเพิ่งเอ่ยสิ่งใดออกไป
ซ่งจื่ออานไม่ให้เวลาเขาคิดมากไปกว่านี้ แต่กลับเอ่ยถามเขาว่า “เรื่องของลั่วเซวียนและอันหนิงเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อัครมหาเสนาบดีกลับลงโทษนางอย่างรุนแรง การกระทำที่ลำเอียงเช่นนี้ ข้าขอถามเจ้าว่าเจ้าบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างไร?”
อันก่วงเหนิงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
ซ่งจื่ออันเอ่ยถามต่อ “ลูกในไส้ ที่สืบสายเลือดของเจ้าแต่กลับเอ่ยวาจาดูถูกเหยียดหยาม ปล่อยให้อนุขึ้นมามีอำนาจ กดขี่ข่มเหงบุตรสาวภรรยาหลวง การกระทำเช่นนี้ ต่างจากการที่อนุภรรยากำจัดภรรยาหลวงตรงไหน? ทำลายคุณธรรม ทำตัวเสื่อมเสีย เช่นนี้จะปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร?”
“ถูกใส่ร้ายป้ายสีและโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านเป็นถึงอัครเสนาบดีกลับไม่ลงโทษ ซ้ำยังปกป้องคนผิด ไร้เหตุผลสิ้นดีนี่หรือคือวิธีจัดการเรื่องราวของท่าน?”
ซ่งจื่ออานมองไปที่อันหรูอี้ นางก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน ใบหน้าที่บึ้งตึงของเขาค่อย ๆ อ่อนลง “ข้าได้ยินมาโดยตลอดว่าตระกูลอัครมหาเสนาบดีมีชื่อเสียงเรื่องความดีงามแต่พอได้เห็นกับตาในวันนี้… เท่านี้เองหรือ?”
“แต่ว่า…” แววตาของซ่งจื่ออานฉายความเสียใจวูบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ท่านอัครเสนาบดี ทุกอย่างย่อมมีโอกาสแก้ไข”
เขาเป็นถึงฮ่องเต้ การมาปรากฏตัวในห้องหับของบุตรสาวขุนนางถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ต่อให้พยายามเบี่ยงประเด็นอย่างไรก็ไม่อาจหาเหตุผลใด ๆ มาอ้างได้อย่างหน้าตาเฉยได้
แต่นี่ก็เพียงพอแล้ว
ดวงตาของอันหรูอี้สั่นไหว ในฐานะที่นางคือบุตรีของอันก่วงเหนิงมีบางคำที่นางเอ่ยออกมาไม่ได้ และไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยแทนนาง แต่การที่ซ่งจื่ออานเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมาเพียงเท่านี้ มันก็เพียงพอแล้ว…