หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 34 การเปลี่ยนแปลงของอันหนิง
บทที่ 34 การเปลี่ยนแปลงของอันหนิง
บทที่ 34 การเปลี่ยนแปลงของอันหนิง
อันหนิงจดจำเด็กหนุ่มผู้นั้นได้อย่างแม่นยำ แม่นยำจนถึงขั้นที่ว่าหากได้พบหน้ากันอีกสักครา นางอาจจะชกเขาสักหมัดก็เป็นได้
เมื่อวานนี้นางออกไปจับจ่ายซื้อของกับสาวใช้ แต่ที่จริงแล้วก็แค่อาศัยโอกาสนี้ออกไปเดินเล่นเฉย ๆ
คนอื่น ๆ ต่างไปเดินเล่นที่ร้านขายเครื่องประดับไข่มุกทองคำ แต่นางกลับไปเดินเล่นที่ตลาดม้าและร้านขายแส้ม้ากับเหล็ก ซึ่งเป็นสถานที่ไม่มีคุณหนูจากจวนขุนนางพลเรือนคนใดจะไปเดินเล่นนอกจากคุณหนูจากจวนแม่ทัพ
แม้นางจะไปแต่ก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ ๆ เพียงยืนมองอยู่ด้านนอก แต่เนื่องจากมีการแข่งม้า จึงมีผู้คนมารวมตัวกันมากมาย ทำให้นางพลัดหลงจากสาวใช้ไป
ไม่คาดคิดว่าจะไปชนเข้ากับเด็กหนุ่มในชุดสีสดใส เด็กหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะพลัดหลงจากคนใช้เช่นกัน เขาพยายามตะโกนเรียกแต่ไม่มีผู้ใดได้ยินเขา พอชนเข้ากับอันหนิง อารมณ์ของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“เจ้าไม่มีตาหรือไร” เด็กหนุ่มจ้องมองนาง “ผู้ใดให้เจ้ามาชนข้า!”
ต่อหน้าธารณชน ท่ามกลางสายตาผู้คน เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับชี้หน้าด่าเด็กสาว ถามว่าทำไมถึงชนเขาเช่นนี้นี้ มันน่าโมโหเกินไปแล้ว! ถ้าไม่ชี้แจงให้ชัดเจน ต่อไปอันหนิงคนนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
“ผู้ใดชนเจ้ากัน!” อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงคุณหนูตระกูลอัครมหาเสนาบดี จะยอมให้ผู้ใดมาใส่ร้ายนางได้ อันหนิงจ้องกลับ“ข้าเดินของข้าอยู่ดี ๆ เจ้าต่างหากที่ชนข้า!”
เด็กหนุ่มไม่คิดว่าเธอจะกล้าเถียง ตกใจจนพูดว่า “เหลวไหล ข้าเดินแถวนี้มาสองปีแล้ว จำทางได้หมด จะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะชนเจ้า?!”
อันหนิงเยาะเย้ย “ผู้ใดจะไปรู้ บางทีเจ้าอาจจะจงใจ คิดจะฉวยโอกาสนี้เอาเปรียบข้าก็ได้”
หนุ่มน้อยหัวเราะขบขัน ใก่อนจะช้สายตากวาดมองร่างของนางทั้งตัว
“เด็กขนฟูเช่นเจ้า ยังกล้าเอ่ยว่าข้าเอาเปรียบเจ้างั้นหรือ? เอวก็หนา ขาก็สั้น เจ้ามีอันใดให้ข้าเอาเปรียบได้บ้าง?”
ทันใดนั้นอันหนิงก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากรอบข้าง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ กระทืบเท้าด้วยความโกรธ “งั้นก็ยังดีกว่าเจ้า! หัวหมู หน้ามันเยิ้ม!”
“เจ้าด่าข้าเป็นหมูงั้นหรือ?!” หนุ่มน้อยเบิกตาโต “เจ้า เจ้า… เจ้าบังอาจมาก!”
อันหนิงกล่าวอย่างดูแคลน “ข้ามิได้ด่าเสียหน่อย คนบางคนต่างหากที่หาเรื่องใส่ตนเอง อย่ากล่าวโทษผู้อื่นสิ!”
หนุ่มน้อยโมโหจนระเบิด ยกมือขึ้นอย่างไม่รู้ตัว อันหนิงเห็นเขาคิดจะลงมือ กัดฟันฮึดฮัดตัดสินใจรุกก่อนเป็นการป้องกัน เตะเข้าไปที่หน้าอกของหนุ่มน้อยอย่างแรง
หนุ่มน้อยถูกเตะจนถอยหลัง มองอันหนิงด้วยความประหลาดใจ
อันหนิงไม่อยากอยู่ต่อ หันหลังวิ่งหนีทันที เด็กหนุ่มตั้งสติได้ รีบวิ่งตามแล้วใช้ขาเกี่ยวขาทำให้อันหนิงจนล้มลง
อันหนิงที่ล้มจนหงายหลัง โกรธจนเจียนคลั่ง
ด้วยความโมโหขณะที่หนุ่มน้อยเดินเข้ามา นางกลับคว้ากางเกงของเขาและกระชากลง!
เสียงผ้าฉีกดังขึ้น เด็กหนุ่มหงายหลังล้มลงกับพื้น ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ผมก็ถูกกระชาก เอวโดนเตะไปอีกสองที
โศกนาฏกรรมก็บังเกิด กว่าทหารลาดตระเวนจะมาถึงทั้งสองคนก็ต่อสู้กันจนแทบจะแยกไม่ออก พอถามชื่อทั้งคู่ก็ไม่ยอมปริปาก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดสาวใช้ก็ตามหาอันหนิงพบและบ่าวน้อยของเด็กหนุ่มก็ตามมาด้วยเช่นกัน
สาวใช้ร้องด้วยความร้อนใจ “คุณหนู! เหตุใดท่านถึงไปทะเลาะกับปีศาจจากจวนเจ้ากรมพิธีการล่ะเจ้าค่ะ?!”
บ่าวน้อยก็พูดว่า “คุณชาย เหตุใดท่านถึงไปทะเลาะกับคุณหนูจากจวนอัครมหาเสนาบดีได้ล่ะขอรับ?!”
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง ทหารลาดตระเวนก็เบิกตากว้าง อันหนิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงมือสาวใช้แล้ววิ่งกลับจวนทันที
แล้ววันนี้ เด็กหนุ่มกลับมาพร้อมของขวัญหมั้นหมายเพื่อสู่ขออันหนิงด้วยใบหน้าที่บวมช้ำ
แม้จะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนผู้นั้นจะทำสิ่งใดลงไป แต่การที่ได้รับฉายาว่า
‘ปีศาจ’ แน่นอนว่าต้องเป็นชายที่นิสัยไม่ธรรมดา
นี่ช่างเป็นการแก้แค้นที่โหดร้าย อย่างแท้จริง!
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด พี่สาวทั้งสองของตระกูลอันต่างมองหน้ากัน อันหรูอี้พูดด้วยความกังวล “ลูกชายท่านเสนาบดีกระทรวงพิธี… ดูท่าทางไม่น่าจะมาดี”
อันผิ่น รีบกล่าวว่า “เก้าในสิบที่เขามามิใช่ด้วยเจตนาดีแล้ว ข้าก็เคยได้ยินเรื่องของเจ้าปีศาจร้ายผู้นั้นมาบ้าง เขาอาศัยบารมีของอดีตฮ่องเต้กับฮองเฮาองค์ก่อน ถือว่าเป็นหลานที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุด ทำตัวเหิมเกริมไร้มารยาท นี่…จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
อันหนิงซุกหน้าลงกับแขน แล้วกลับร้องไห้โฮออกมา “แย่แล้ว ๆ ตามนิสัยของท่านพ่อที่อ่อนไหวง่าย ข้าต้องถูกบังคับให้ออกเรือนไปแน่ มิเช่นนั้น…มิเช่นนั้น…ท่านพอคงตีข้าตายแน่!”
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน อันก่วงเหนิงทำได้จริง ๆ
อันหรูอี้ขมวดคิ้ว “ฝ่ายชายเพิ่งจะมาสู่ขอ แต่แรกนึกว่าเป็นคู่ที่ลงตัว ไม่คิดว่ากลับเป็นคู่กรรมเช่นนี้ เถาหงกำลังไปสืบข่าวอยู่ข้างหน้า เจ้ารอสักครู่…”
นางยังพูดไม่ทันจบ คำปลอบโยนเพิ่งจะหมุนวนอยู่ในปาก เถาหงก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “คุณหนูใหญ่ ไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ ท่านอัครมหาเสนาบดี กำลังตามหาคุณหนูสี่ทั่วจวนเลยเจ้าค่ะ!”
ทุกคนสูดหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกัน แล้วเห็นอนุหลี่กำลังวิ่งตามหลังเถาหงมาอย่างบ้าคลั่ง กลับทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าอันผิ่น “คุณหนูสามได้โปรดช่วยน้องสาวของเจ้าด้วยเ!”
ทุกคนต่างตกตะลึงกับการคุกเข่าของนาง อันผิ่นรีบดึงนางขึ้นมาอย่างร้อนรน “ป้าหลี่ เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้…ข้า ข้าจะช่วยได้อย่างไรกัน!”
อนุหลี่เริ่มปล่อยโฮออกมา “เซี่ยวชิง! ข้าขอร้องเจ้า ช่วยไปบอกเซี่ยวชิงให้ช่วยเอ่ยกับนายท่าน ได้โปรดช่วยหนิงเอ๋อร์ด้วยเถิด!”
อันผิ่นมองนางด้วยสีหน้าลำบากใจ “ป้าหลี่ ท่านแม่ข้า…คงมิยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกเจ้าค่ะ” ถึงจะฟังดูใจร้าย แต่มันคือเรื่องจริง
อันหนิงกอดมารดาตนเองไว้แน่น “ท่านแม่ อย่าเป็นเช่นนี้เลยนะ! เช่นนั้น เช่นนั้นลูกยอมออกเรือน! ท่านพ่อ…”
“เจ้าจะยอมตกลงได้อย่างไร!” อนุหลี่ตวาดเสียงดังขึ้นมาทันใด ยามปกตินางไม่เคยขึ้นเสียงในจวนมาก่อน แต่ครั้งนี้กลับตวาดจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด “เจ้าจะต้องตายรู้หรือไม่! เจ้าเป็นลูกสาวของข้า! ถ้าเจ้าอันใดไปแล้วข้าจะอยู่เช่นไร?!”
หัวใจของอันหรูอี้สั่นสะเทือน มองอนุหลี่อาละวาดด้วยความตกตะลึง ครู่ใหญ่ถึงได้รู้สึกตัว ทันใดนั้นเสียงของหลิวลวี่ก็ดังขึ้น “แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู! ท่านอัครมหาเสนาบดีกำลังมาทางนี้แล้วเจ้าค่ะ!”
อนุหลี่ร้องไห้โฮออกมา อันผิ่นเม้มปากเป็นเส้นตรงแต่ก็ไม่เอ่ยสิ่งใด
“ไปที่เรือนเหมันต์!” อันหรูอี้พูดขึ้นมาทันใด
อนุหลี่เงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา อันหรูอี้ประคองอันหนิงลุกขึ้นมา สายตาเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางมองไปที่เถาหง “เถาหง! พาอันหนิงไปซ่อนตัวที่เรือนเหมันต์! อย่าให้ผู้ใดเจอเด็ดขาด! เร็วเข้า!”
เถาหงสะดุ้ง รีบคว้ามืออันหนิงลากไปที่เรือนเหมันต์ทันที อันหนิงที่ยังไม่ทันได้ตอบสนองอันใด อันหรูอี้ส่งสายตาให้อันผิ่น อันผิ่นตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะหมากรุกอีกครั้ง
ต่อมาอันหรูอี้กล่าวกับอนุหลี่ว่า “ป้าหลี่ ท่านเช็ดน้ำตาให้แห้ง เวลานั้นแค่บอกว่าไม่รู้ก็พอ… พวกเราจะต้องประวิงเวลา เลวร้ายที่สุดต้องส่งอันหนิงออกไป!”
อนุหลี่อ้าปากค้าง “ส่งไปที่ใด”
“ที่ใดก็ได้!” อันหรูอี้กล่าวเสียงเข้ม “ถ้าอยู่ที่นี่ นางมีแต่ทางตายเท่านั้น!”
เหลือแต่ทางตาย นางจะปล่อยให้บุตรสาวของตนเองตายได้อย่างไร? อนุหลี่กัดฟัน ปาดน้ำตาทิ้ง แม้นางจะขี้ขลาดแต่เพื่อบุตรสาวของตนเอง ต่อให้นางตายก็ยอม!
หลิวลวี่ก้าวไปข้างหน้าพยุงอนุหลี่ อันหรูอี้กล่าวว่า “หลิวลวี่ ต่อไปทำเป็นไม่รู้อะไรเลย แค่บอกว่าป้าหลี่ก็รีบมาตามหาคนเช่นกัน”
ในตอนนี้ อันผิ่นกล่าวเสียงเบาว่า “มาแล้ว!”
กล่าวยังไม่ทันขาดคำ เสียงคำรามที่โกรธเกรี้ยวของอันกว่งเหนิงก็ดังขึ้น “หลี่หรูหัว! ดูบุตรสาวที่เจ้าเลี้ยงมาสิ ช่างดียิ่งนัก!”
นี่ต่างจากตอนที่อันก่วงเหนิงจะฆ่านางในชาติก่อนตรงไหนกัน? ในชั่วพริบตา ความเกลียดชังก็พุ่งทะยานขึ้นในใจดั่งคลื่นยักษ์
แววตาอันหรูอี้มืดลง ภาพใบหน้ายิ้มแย้มของซ่งจื่ออานก็ผุดขึ้นมาในหัว