หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 33 คู่รักในอุดมคติ
บทที่ 33 คู่รักในอุดมคติ
บทที่ 33 คู่รักในอุดมคติ
อันหรูอี้นั่งนิ่งไปอยู่พักใหญ่ มือยังคงท่าทางถือหนังสือไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งซ่งจื่ออานดึงนางขึ้นมา ยัดดอกไม้ไว้ในมือนาง อันหรูอี้ถึงได้สะดุ้งรู้สึกตัวแล้วรีบไปปิดประตู
จากนั้นอันหรูอี้ก็หันหลังกลับเดินมาปิดหน้าต่างอีกครั้ง แต่กลับเห็น ซ่งจื่ออานกำลังหยิบหนังสือประโลมโลกของนางขึ้นมาอ่าน ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำทันที
“ท่านมาอีกแล้วหรือ?” อันหรูอี้แย่งหนังสือของตนคืนมา พลางเอาดอกไม้ใส่แจกันไปด้วย พูดอย่างจนปัญญา “อย่างน้อยก็ระวังหน่อยเถิด ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องหรือไม่”
ซ่งจื่ออานยิ้ม “ข้าสังเกตดูแล้ว จึงได้เข้ามา”
อันหรูอี้ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ มองฮ่องเต้วัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยพลัง ก่อนจะเก็บซ่อนความรู้สึกดีใจทั้งหมดลงไป แล้วส่ายหน้าเบา ๆ “ท่านไม่ควรมาที่นี่ ข้างนอกวังไม่เหมือนในวัง มันอันตรายเกินไป”
ซ่งจื่ออาน ไม่ใส่ใจ “นี่คือเขตพระราชวัง ข้าปลอดภัยดี”
“ไม่เสมอไปหรอกเพคะ” อันหรูอี้ รินชาให้เขา “ครั้งนี้ ท่านออกมาเพราะเหตุใดอีกหรือ?”
“เจ้ามิกังวล” ซ่งจื่ออานมองอันหรูอี้อย่างสงบนิ่ง “ข้าครุ่นคิดมาหลายวัน ว่าข้ากับเจ้ายังมิได้รู้จักกัน เจ้าจึงคอยระแวงข้า ข้าเข้าใจได้”
อันหรูอี้กระพริบตา “เช่นนั้น?”
ซ่งจื่ออาน ยิ้มตอบ “เช่นนั้น ข้าจึงอยากให้เจ้ารู้จักข้า”
อันรูอี้มองดูเขาพลางครุ่นคิด ในใจก็แวบความคิดหนึ่งที่ดูไม่เข้าท่า แต่ทว่าทำให้หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น ซ่งจื่ออานลอบออกจากวังหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทีก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากตอนแรกที่โกรธมากจนตอนนี้กลับเป็นฝ่ายถอยห่าง คล้ายกับว่า…กำลังตามจีบนางอยู่
ดังบทกวีในคัมภีร์ซือจิงกล่าวไว้ว่า ‘สตรีที่รูปงาม ย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ’
วาทะเช่นนี้เมื่อกล่าวถึงหนุ่มสาวทั่วไปก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่เขาไม่ใช่ชายหนุ่มธรรมดา เขาคือฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ซีจิ้น…
ซ่งจื่ออานปล่อยให้นางครุ่นคิด หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นวางหนังสือขึ้นมาอ่านเอง เนื้อหาไม่พ้นเรื่องราวความรักอันงดงามของจิ้งจอกสาวกับบัณฑิตเป็นความรักที่ยืนยาวนิรันดร์ เขากลับเผลออ่านมันอย่างเพลิดเพลิน
อันหรูอี้ต้องการจะห้ามปราม แต่ก็ไม่กล้าทำ ความสนใจของฮ่องเต้วัยเยาว์ผู้นี้ไม่ได้สนใจนางเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยอ่านนิทานทำนองรักใคร่เท่าไรนัก จึงเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้าง
ความจริงคือในพระราชวังหลวง ไม่มีผู้ใดกล้าเอาสิ่งนี้ให้เขาดู
อันรูอี้ส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมาจาง ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านบ้าง เอนกายนอนเก้าอี้โยกด้วยท่าทางที่สบาย นานๆ ครั้งก็ละสายตาจากหนังสือขึ้นมามองซ่งจื่ออานเป็นระยะ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด แต่บรรยากาศกลับผ่อนคลายกว่าทุกครั้ง
แต่จู่ ๆ ซ่งจื่ออานเอ่ยถามนางว่า “เหตุใดหนังสือเล่มนี้จึงมีแต่บัณฑิตและปีศาจจิ้งจอกเล่า?”
ซ่งจื่ออานที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ จนแทบจะเอื้อมมือคว้าถึงตัว อันหรูอี้ชำเลืองมองแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปพลิกหน้าหนังสือชี้ให้เขาดูหน้าปก ตัวอักษรขนาดใหญ่สะดุดตาปรากฏขึ้น ‘ตำนานรักบัณฑิตกับปีศาจจิ้งจอก’ เด่นชัดต่อสายตา
ซ่งจื่ออานมองแขนขาวดั่งหยกภายใต้แสงเทียนที่สลัว นัตย์ตาก็พร่าเลือนไปชั่วขณะ ก่อนจะกระแอมไอแล้วถามว่า “เจ้าชอบอ่านเรื่องเช่นนี้หรือ?”
“ไม่ชอบเพคะ” อันหรูอี้ตอบปฎิเสธอย่างไม่คาดคิด “หนังสือเล่มนี้ล้วนเป็นเรื่องของบัณฑิตที่ไร้ซึ้งความสามารถ ไม่รู้จักพัฒนาตนเอง ชอบไปพบนางงามปีศาจตามศาลเจ้าและโรงเตี๊ยมยามค่ำคืน นี่เป็นเพียงการเติมเต็มจินตนาการของบัณฑิตที่ไร้ความสามารถเท่านั้น”
ซ่งจื่ออานถอนหายใจเบา ๆ “ก็จริง แต่ว่า…”
เขาชำเลืองมองอันหรูอี้ เห็นนางอมลูกพลัมแห้งจนริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำ ผิวที่ขาวผ่องงดงามราวกับหยก ภายใต้ท่าทางที่เย็นชาและสงบนิ่งราวกับไร้กังวลกับทุกสิ่งช่างไม่เหมาะกับหญิงสาววัยนี้พึงจะมี แต่ทว่ากลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลซ่อนอยู่ เขายิ้มพลางเอ่ยเป็นนัย ๆ ว่า “หากปีศาจจิ้งจอกงามเหมือนเจ้าเช่นนี้ ข้าก็พอจะเข้าใจบรรดาบัณฑิตเหล่านั้นได้”
อันหรูอี้เม้มริมฝีปาก ใบหน้ารอ้นผ่าว ก่อนจะโยนหนังสือในมือใส่เขา
“ตาเฒ่าตัณหากลับ ท่านลองอ่านเล่มนี้ดูก่อน แล้วยังพูดเช่นนั้นอยู่อีกหรือไม่!”
ซ่งจื่ออานหัวเราะเบา ๆ หยิบหนังสือที่นางโยนมาให้ค่อย ๆ เปิดอ่าน อันหรูอี้เปลี่ยนไปอ่านหนังสือเล่มใหม่ แต่สายตาก็มักจะลอบมองเขาอยู่เสมอโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นใบหน้าที่คมคายราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด จมูกที่โด่งเป็นสัน ริมฝีกปากที่หยักได้รูปพร้อมทั้งกับท่าทางที่สง่างามของเขาในระยะที่ใกล้ชิดเพียงนี้ รอยยิ้มหวานอันหรูอี้ก็เผยขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อยู่ ๆ ซ่งจื่ออานก็หันกลับมา ถามว่า “มองเพลินใช้หรือไม่? อยากเข้าวังแล้วใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของอันหรูอี้แดงก่ำทันที รีบพลิกตัวหันหลังให้เขาทันที ปล่อยให้ลมจากช่องหน้าต่างพัดความร้อนบนใบหน้าให้หายไป น้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย “ข้าแค่รอท่านอ่านหนังสือเสร็จเท่านั้น”
“จิ้งจอกตัวผู้ตัวหนึ่ง” ซ่งจื่ออาน พูดพลางยิ้มพลางว่า “เหตุใดจึงให้ข้าอ่านเรื่องนี้เล่า?”
อันหรูอี้เผยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “แค่ต้องการให้ท่านเข้าใจว่า ไม่ใช่ปีศาจจิ้งจอกทุกตนจะเป็นสตรี ในหนังสือเล่มนี้ จิ้งจอกตัวผู้ก็ล่อลวงผู้คนเช่นกัน แต่นักดาบหญิงผู้นั้นไม่ได้หวั่นไหวเลย แสดงให้เห็นว่า คนเจ้าชู้ในโลกนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ไม่อย่างนั้นแล้วเหตุใดจึงต้องมีอนุภรรยาหลายคน”
ซ่งจื่ออานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดว่า “ในยามสงคราม ประชากรไม่มากพอ จึงมีภรรยาและอนุมากขึ้นเรื่อยๆ… แต่ในโลกนี้ก็มีบุรุษที่ซื่อสัตย์อยู่ไม่น้อย”
“…ยอดฝีมือในยุทธภพ ชาวบ้านธรรมดา อาจเป็นไปได้” ฮ่องเต้จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร โดยเฉพาะฮ่องเต้ที่มีราชสำนักไม่มั่นคง…
นี่ช่างเป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ ซ่งจื่ออานขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้ม เขาไม่สามารถขับไล่เหล่านางสนมออกจากวังได้ทั้งหมดในคราวเดียวได้
แต่ทว่า… ซ่งจื่ออานมองไปที่อันหรูอี้ที่นอนตะแคง ในที่สุดนางก็ยอมเอ่ยบางสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขาบ้างแล้ว
ซ่งจื่ออานหัวเราะเบา ๆ วางหนังสือลงแล้วหันเก้าอี้โยกลับมา ในดวงตาของเขาต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ข้าจะไม่ยอมแพ้หรอก อีกสองสามวันข้าจะมาหาเจ้า”
พูดจบเขาก็เดินมาที่หน้าต่าง แล้วกระโดดออกไปอย่างคล่องแคล่ว
เก้าอี้ยังคงโยกอยู่ที่เดิม อันหรูอี้ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง หลังจากนั่นไม่นานก็ หยิบดอกไม้ในแจกันขึ้นมา ใช้ปลายจมูกสูดกลิ่มหอมของดอกไม้เบา ๆ แล้วหัวเราะพลางพูดว่า “…ดอกไม้เหี่ยวหมดแล้ว คนบ้า”
…
อันหรูอี้ช่วงนี้อารมณ์ดีมาก เล่นหมากรุกกับอันผิ่นติดต่อกันสามวัน เมื่อชาติก่อนไม่ทันสังเกต ที่แท้อันผิ่นเก่งกาจในการเล่นหมากรุก อันหรูอี้ ไม่เคยชนะเลยสักกระดาน
เมื่อไม่มีอันหลิงหลง พี่สาวน้องสาวตระกูลอันก็ดูเหมือนจะว่างเว้นกัน จู่ ๆ อันหนิงกลับวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทีร้อนรน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
อันผิ่นและอันหรูอี้มองหน้ากันแล้วยิ้ม ราวกับกำลังจะได้ดูเรื่องสนุก ๆ
“พี่ใหญ่ พี่สาม ช่วยข้าคิดหน่อยเถิด” อนุหลี่ถอนหายใจยาว “วันก่อนข้ากับสาวใช้ออกไปข้างนอก บังเอิญได้พบกับบุตรชายของขุนนางท่านหนึ่ง ซ้ำข้ายังเผลอไปตีเขาด้วย เช่นนี้จะมีเรื่องมีราวอันใดหรือไม่?”
อันผิ่นถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เขาอายุราวสิบห้าสิบหกปี รูปร่างสูงกว่าเจ้าเล็กน้อย ดูเฉลียวฉลาด ดวงตาเปล่งประกายอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่?”
อันหนิงชะงักไปครู่หนึ่ง “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
อันผิ่นไม่ตอบ อันหรูอี้กล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้ยังชอบเล่นดาบยาว สะพายคันธนู ซ้ำเจ้ายังดึงผมเขาหลุดมาอีกกระจุกหนึ่งใช่หรือไม่?”
อันหนิงตกใจจนลุกขึ้นยืน เดินไปมาเดินมา “เรื่องนี้แพร่มาถึงในจวนแล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องหักขาข้าแน่ ๆ !”
อันหนิงร้อนใจจนแทบบ้า แต่ไม่คิดว่าหลังจากพูดจบ พี่สาวทั้งสองคนกลับหัวเราะออกมาเสียงดังจนกระดานหมากแทบปลิว
“ท่าน…ท่านทั้งสอง” อันหนิงชี้นิ้วจนสั่นเทิ่ม “ข้ากำลังจะโดนตีอยู่แล้ว พวกท่านยังจะหัวเราะอยู่อีก!”
อันผิ่นรีบดึงนางมา หัวเราะจนตัวงอ ถามว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้…ฮ่า ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่า. หนุ่มน้อยผู้นั้นมาสู่ขอเจ้าที่จวนแล้ว ฮ่าๆ”
อันหนิงกระพริบตาปริบ ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “…สู่ขอผู้ใด?”
“ยังจะผู้ใดอีกเล่า?” ท่าทางของอันหรูอี้ทำเอาอันหนิงตกใจราวกับโดนฟ้าผ่าใส่ “เจ้าน้องโง่งม แน่นอนว่าเป็นเจ้า! ซ้ำคนผู้นั้นยังบอกอีกว่าไม่เคยเห็นสตรีที่ตรงไปตรงมาเช่นเจ้ามาก่อน อยากจะสู่ขอเจ้ากลับไปเป็นภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นยังยินดีที่จะทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรว่าตลอดชีวิตจะมีเจ้าเพียงผู้เดียว”
“ว่าอย่างไรนะ!”