หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 32 ส่งของขวัญ
บทที่ 32 ส่งของขวัญ
บทที่ 32 ส่งของขวัญ
ภายในวังหลวงของราชวงศ์ซีจิ๋นมีธรรมเนียมที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาว่า หากฮ่องเต้มิรับสั่งอันใดพิเศษ สนมที่เข้าใหม่จะต้องเข้ารับใช้ฮ่องเต้ตามลำดับขั้น
ธรรมเนียมที่สืบทอดกันมานานเช่นนี้ย่อมมีความงดงามในของมันเอง เริ่มแรกขันทีในวังจะเลือกดอกโบตั๋นในวังไปปักไว้ที่หน้าประตูห้องของสนมที่เข้ารับใช้ เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาถึงก็จะเด็ดดอกโบตั๋นแล้วเข้าไป
น่าเสียดายที่ในปัจจุบันธรรมเนียมนี้ได้กลายเป็นวิธีที่แต่ละตำหนักใช้ดูว่าสนมในตำหนักนั้นได้รับใช้บนเตียงฮ่องเต้หรือไม่ ไปเสียแล้ว
เดิมทีก็ไม่ได้เป็นเรื่องราวที่แปลกอันใด เพราะในยามปกติซ่งจื่ออานไม่ค่อยเสด็จไปยังตำหนักหลังเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหากมีราชกิจทำให้ต้องล่าช้าย่อมเข้าใจได้ แต่เมื่อวานเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ของราชวงศ์ซีจิ้นไม่เคยมีการพระราชทานดอกไม้แล้วไม่เข้าไป อันหลิงหลงนี่นับเป็นกรณีแรก
ทันทีที่ออกจากประตูตำหนักสีหน้าอันหลิงหลงก็ไม่สู้ดีนัก เพราะมีใบหน้าเยาะเย้ยถากถ่างของผู้คนอยู่ล้อมรอบตัวนางเต็มไปหมด แม้แต่ขันทีที่กำลังนำทางที่นางดูถูกที่สุดยังซุบซิบนินทานาง
นางกำนัลที่คอยปรนิบัติรับใช้อันหลิงหลง ‘ซิ่วหง’ ก้มหน้าลงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยสิ่งใดอกมา
เมื่อเข้าไปคำนับที่ตำหนักคุนหนิง เจิ้งจื่อหรงก็เดินตรงเข้ามา สีหน้าของนางมักจะดูอ่อนโยนและเรียบเฉย คิ้วไม่ซ่อนความเฉียบคมดวงตาไม่แฝงความเศร้าหมอง พยักหน้าให้กับอันหลิงหลงที่มียศศักดิ์เท่าเทียมกันอย่างแผ่วเบา แล้วก็เข้าไปในตำหนักคุนหนิง
มือของอันหลิงหลงที่วางอยู่บนแขนของซิ่วหงบีบแน่นในชั่วพริบตา เล็บแหลมคมจิกจนซิ่วหงเจ็บ แต่นางก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา
“เจ้าดูสิ นางหมายความว่าอย่างไร? สายตาเช่นนั้นคือกำลังเยาะเย้ยข้าอยู่ใช่หรือไม่!” อันหลิงหลงมีสีหน้าไม่พอใจ “ดี! ดีมาก! แค่มิได้รับใช้บนเตียงสำเร็จเท่านั้น! แต่ทุกคนต่างพากันดูถูกข้า!”
เช้าตรู่เช่นนี้มีคนมากมายมาที่ตำหนักคุนหนิงเพื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา ดังนั้นทุกการกระทำของอันหลิงหลงจึงถูกผู้อื่นเห็นกันหมดเสียแล้ว
ซ่างกวนหมิงหมิงที่เข้าวังมาพร้อมกับอันหลิงหลง เดินมาจากด้านหลังพอดี นางก็เป็นบุตรสาวจากตระกูลแม่ทัพเช่นเดียวกับสวีเจิ้ง
เมื่อเห็นอันหลิงหลงกำลังด่าทอด้วยน้ำเสียงต่ำใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ซ่างกวนหมิงหมิงก็หัวเราะเยาะกับคนข้าง ๆ “ตัวเองไม่มีปัญญาปรนนิบัติเอง แต่กลับระบายความโกรธใส่ผู้อื่นอันหลิงหลงผู้นี่ช่างเป็นสตรีไร้ความสง่างามจริง ๆ ”
แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ นางกลับส่ายหัวแล้วพูดว่า “พี่หญิงอย่าไปคุยกับคนเช่นนี้เลย เรื่องที่แม่ลูกอันหลิงหลงทำในจวน ผู้ใดก็รู้กันทั้งนั้นว่าสองคนนี้นางเช่นนี้ชอบแทงข้างหลังที่สุด อยู่ห่าง ๆ ไว้ดีกว่า”
“อันหรูอี้มิได้มาคัดเลือก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นฝีมือของแม่ลูกคู่นี้ก็ได้” ซ่างกวนหมิงหมิงซุบซิบ “ทั้งรถม้าพลิกคว่ำ ทั้งตกน้ำ เหอะ ท่านอัครเสนาบนี่ช่างเป็นลำเอียงยิ่งนัก”
สตรีข้างกายนางหัวเราะขึ้นเช่นกัน “ก็เพราะก่อนหน้านี้ อันหรูอี้มิค่อยรู้กาลเทศะซ้ำยังเป็นสตรีที่มีนิสัยก้าวร้าวด้วย”
ซ่างกวนหมิงหมิงเลิกคิ้ว “ข้าว่ากลับมิได้คิดเช่นนี้น อันหรูอี้นางตรงไปตรงมา แม้ว่านางจะมองโลกแคบไปเสียหน่ยแต่ก็กล้ารักกล้าชัง ดีกว่าพวกตีสองหน้าเยอะ”
“ที่เอ่ยมาก็จริง…”
ระหว่างที่คุยกันพวกนางก็มาถึงตำหนักคุนหนิงเหล่าสนมต่างยืนเรียงแถว จากนั้นเหล่าสนมก็คำนับกับกุ้ยเฟย “ขอให้ฮองเฮาทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
เหลิงเยว่พยักหน้าเล็กน้อย กวาดตามองอันหลิงหลงที่มีสีหน้าหม่นหมอง มุมปากเหยียดยิ้มเล็กน้อย “เชิญทุกคนนั่งเถิด พักผ่อนในวังมาสองสามวันแล้ว พี่น้องทุกคนนอนหลับสบายดีหรือไม่?”
สวีเจิ้งกระแอมเบา ๆ “พวกเราสบายดีทั้งนั้นเพคะ แต่กลัวว่าจิ้งเหลียงเหรินคงมิค่อยสบายนัก”
สวีเจิ้งเอ่ยอกมาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ผู้อื่นอดหัวเราะไม่ได้ แม้แต่เหลิงเยว่ก็ไม่ได้ช่วยพูดแทนอันหลิงหลงสักคำ เพียงแต่มองดูราวกับว่ากำลังดูละครสนุก ๆ
อันหลิงหลงตาเบิกกว้าง จิกผ้าเช็ดหน้าของตนเองแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
“กุ้ยเฟย…ล้อหลิงหลงเล่นแล้วเพคะ” อันหลิงหลงฝืนยิ้มพูด “หลิงหลงสบายดีเพคะ แม่นมในวังดูแลน้องดีมากเพคะ”
ซ่างกวนหมิงหมิงเหลือบมองเจิ้งจือหรงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นางเงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมาอย่างใจกว้าง “แม่นมอยู่ในวังมานานหลายปีแล้ว แน่นอนว่าต้องดูแลเป็นอย่างดี พวกเราแค่ได้ยินมาว่าตำหนักชูฮวานั้นกว้างขวางมากจิ้งเหลียงเหรินอยู่คนเดียว คงจะไม่ชินที่ต้องอยู่ลำพังกระมังเพคะ”
ตำหนักชูฮวานั้นกว้างใหญ่จริง ๆ นั่นเพราะว่าอันหลิงหลงเป็นบุตรีคนรองของตระกูลอัน แท้จริงแล้วนี่เป็นตำนักหลักที่ควรจะให้ผู้ที่มียศเฟยอยู่แต่ท้ายสุดแล้วยังไงอันหลิงหลงจะต้องได้เลื่อนเป็นเฟย ตำนักนี้จึงได้ยกให้นาง
แต่ผู้ใดจะคิดว่านี่กลับกลายเป็นเหตุผลที่ซ่างกวนหมิงหมิงใช้ล้อเลียนเสียได้
“หึหึ”
คราวนี้แม้แต่เจิ้งจื่อหรงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ งดงามราวกับดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ ซ่างกวนหมิงหมิงมองแวบหนึ่งด้วยความพึงพอใจ โดยไม่สนใจสายตาเคียดแค้นของอันหลิงหลงเลยแม้แต่น้อย
เหลิงเยว่จึงได้กระแอมเบา ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องว่า “หากน้อง ๆ ทุกคนอยู่อย่างคุ้นเคยก็ดีแล้ว หากขาดสิ่งใดก็บอกแม่นมผู้ดูแลกับขันทีในวังและนางข้าหลวงในวังล้วนรายงานกับข้าทั้งสิ้น”
เหลิงเยว่หยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ “เมื่อวานแคว้นข้างเคียงได้ส่งบรรณาการผ้าไหมเปอร์เซียมา ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้คนนำมาส่งให้ในเช้าวันนี้ บอกว่าอีกไม่นานอากาศก็จะร้อนขึ้นแล้ว พอดีเลยที่จะแบ่งผ้าไหมเปอร์เซียเหล่านี้ให้กับพี่น้อง…”
นางยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินสวีเจิ้งหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงเป็นห่วงพระองค์และพี่น้องก็พอแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงให้คนนำม้าหลายตัวมาส่งที่ตำหนักซูฮวาแล้ว มิจำเป็นต้องแบ่งให้หม่อมฉันแล้วเพคะ”
“…” บรรยากาศเงียบสงัดลงในทันที สีหน้าของเหลิงเยว่พลันแปรเปลี่ยน
อันหลิงหรงไม่เอาไหน แต่สวีเจิ้งกลับได้รับการยกย่องงั้นหรือ?!
…
ในราชสำนักผันผวนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สุดท้ายแล้วรองผู้ตรวจการมณฑลเหอหนานก็ถูกตัดสินว่าใส่ร้ายป้ายสีเพื่อนร่วมงาน ถูกเนรเทศไปยังหลิงหนาน
ในตอนนี้นี่เป็นผลลัพธ์ที่ซ่งจื่ออานพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้
เพียงแต่ว่าผลลัพธ์นี้จะมีประโยชน์หรือไม่ ก็ต้องดูว่ารองผู้ว่าการมณฑลนั้นจะสามารถไปถึงหลิงหนานได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
ส่วนเรื่องที่เขาจะเกิดอะไรขึ้นที่หลิงหนาน จะพบเจอใคร ต่อไปจะมองเห็นฮ่องเต้องค์น้อยผู้นี้ที่ช่วยชีวิตตนเองอย่างไร ก็เป็นเรื่องราวภายหลัง ขอยังไม่กล่าวถึง
ว่ากันว่าหลังจากจัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้วแต่ทว่าในตงโจวกลับมีลัทธิแปลกประหลาดเกิดขึ้นล้วนเป็นชายร่างกำยำ ลงมือปล้นทรัพย์โดยอ้างว่าเผยแพร่คำสอน มีชาวบ้านถูกหลอกลวงไปจำนวนไม่น้อย ร้องเรียนให้ขุนนางกรมพิธีการจัดการ
แต่ทว่าผู้ใดจะไปคิดว่ากรมพิธีการที่ใหญ่โตเช่นนี้ กลับไม่มีผู้ใดกล้าไป!
ซ่งจื่ออานโกรธจนแทบคลั่ง เขาคิดว่า ‘กษัตริย์ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่’ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสอบจอหงวนและขุนนางในราชสำนักก็ไม่สามารถให้บัณฑิตใหม่ที่เพิ่งสอบผ่านเข้ารับตำแหน่งได้ ขุนนางเก่าที่ไร้ความสามารถก็ไม่ยอมหลีกทาง ต่างก็คิดแต่จะควบคุมเขา
นี่จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร?
เซี่ยเหิงมองดูซ่งจื่ออานที่กำลังโกรธเคืองและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ฮ่องเต้วัยเยาว์ก็ยังขาดประสบการณ์และขุนนางใต้บัลลังก์ก็โง่เขลา
แต่ทว่าฮ่องเต้ย่อมเติบโตขึ้นและตอนนี้ก็เริ่มแสดงท่าทีแย่งชิงอำนาจแล้ว ตอนนี้พวกเขายังมีโอกาสถอนตัวอย่างปลอดภัย ซ่งจื่ออานอดทนรอคอยมาจนถึงทุกวันนี้ รอวันที่เขากลับมามีอำนาจอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะมีจุดจบที่น่าอนาถ
ท้ายที่สุดแล้ว แผ่นดินราชวงศ์ซีจิ๋นนี้ก็ยังคงเป็นของตระกูลซ่ง!
เซี่ยเหิงเก็บซ่อนสีหน้าเดินเข้าไปข้างหน้าสองสามก้าว มองดูเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ถามอย่างสงสัยว่า “ฝ่าบาท พวกเรากำลังจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ดูเหมือนจะไม่ใช่ทางไปจวนอัครเสนาบดี
ซ่งจื่ออานมองไปรอบ ๆ พูดว่า “ไปซื้อของ”
เซี่ยเหิงจึงถามว่า “ฝ่าบาทอยากซื้อสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซ่งจื่ออานหยุดชะงัก หันกลับมามองเขา “เจ้าคิดว่าหรูอี้จะชอบสิ่งใด”
“…” เซี่ยเหิง ที่แท้แล้วที่รีบร้อนออกมาก็ไม่ใช่เพราะเรื่องในราชสำนัก แต่เป็นเพราะคิดจะซื้อของขวัญให้อันหรูอี้?
เห็นเขาไม่ตอบซ่งจื่ออันก็ไม่ถือสา หันหลังกลับไปอีกครั้งหันไปมองเด็กขายดอกไม้ที่มุมถนน
ส่วนที่จวนอัครเสนาบ อันหรูอี้ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาหลายวัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวังเสวี่ยเฟิงต่อสู้กับอนุเซียวอย่างดุเดือดเกินไปหรือไม่ ถึงไม่ได้มาก่อกวนนางเลย
ในบรรยากาศอันแสนสบาย อันหรูอี้กำลังพลิกหน้าหนังสือนิยาย พลางหยิบลูกพลัมในมือขึ้นมาทาน นางไล่ให้เถาหงและหลิวลวี่สาวใช้ทั้งสองกลับไปนอนที่ห้อง ปล่อยให้นางได้อยู่คนเดียวอย่างสบายใจ
ทันใดนั้น ก็มีมือหนึ่งมาดึงหนังสือประโลมโลกในมือของนางออกไปถูก
แทนที่ด้วยดอกไม้สีม่วงอ่อนช่อหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า
หนุ่มน้อยรูปงาม ดวงตาคมกริบราวกับหงส์ยิ้มละไมพลางกระพริบตาให้นางก่อนจะเอ่ยว่า “หรูอี้ ข้ามาหาเจ้าแล้ว”