หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 31 การลองใจผ่านคำพูด
บทที่ 31 การลองใจผ่านคำพูด
บทที่ 31 การลองใจผ่านคำพูด
ราชวงศ์ซ่งของแคว้นจิ้นตะวันตกสถาปนาราชวงศ์มาเกือบร้อยปี กำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรือง ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันครองราชย์ได้สองปี ทราบเพียงว่าฮ่องเต้และฮองเฮารัชกาลก่อนทรงรักใคร่กลมเกลียวมีพระโอรสเพียงพระองค์เดียวทรงตั้งชื่อว่า ‘จื่ออาน’
‘จื่ออาน หวังเพียงให้ลูกปลอดภัย’แน่นอนว่าด้วยชื่อที่มีความหมายเช่นนี้ เขาจึงได้รับความรักใคร่อย่างทะนุถนอมและได้รับการอบรบสั่งสอนเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เยาว์วัย
น่าเสียดายแม้จะเป็นเช่นนั้น ซ่งจื่ออานก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอันหรูอี้ จึงไม่ยินดีเข้าวัง หรือว่า…ยังเยาว์วัยเกินไป
“อีกสามเดือน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นมาเยือน ดอกไม้บานสะพรั่ง ข้าก็จะอายุสิบแปดปี” ซ่งจื่ออานยิ้มบาง ๆ “คนอายุสิบแปดที่ยอมถูกกักขังอยู่ในวังหลวงทั้งวันทั้งคืน จะมีสักกี่คนกัน”
อันหรูอี้ยิ้มอย่างคลุมเครือ ยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ผู้ที่ถูกส่งเข้าวังหลวงเป็นขันทีและนางกำนัล ย่อมไม่มีทางไปไหน ไม่อาจหาเลี้ยงชีพตนได้ ข้าคิดว่าคนเช่นนั้นคงมิกล้าที่จะกวาดพื้นได้”*[1]
ซ่งจื่ออานเลิกคิ้ว “แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะออกไปข้างนอกอย่างอิสระ”
อันหรูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชม “ใช่แล้ว คนเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าออกได้อย่างอิสระ”
ซ่งจื่ออานเงียบไปครู่หนึ่ง เข้าใจในทันทีถึงสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ การที่เขามาในคืนนี้ ในใจนางยังคงระแวงเขาอยู่ นางกำลังใช้ประโยคนี้เพื่อแสดงจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจน แสดงความปรารถนาที่ไม่อยากเข้าวัง
“…เจ้าสามารถมีสิทธิ์เช่นนั้นได้” ซ่งจื่ออานนึกถึงพระบิดาและพระมารดาที่รักใคร่กลมเกลียวกันก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “วังหลวงอาจจะมิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด”
“ในเมื่อมิได้เลวร้าย” อันหรูอี้มีสีหน้าคลุมเครือ คาดเดาไม่ได้ว่านางรู้สึกเช่นไร “…เหตุใดฝ่าบาทจึงต้องออกจากวังด้วยเล่าเพคะ”
ซ่งจื่ออันอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าตนโต้ตอบอย่างไร
อันหรูอี้ไม่เอ่ยถึงหัวข้อนี่อีกต่อไป คำเรียกขานเปลี่ยนจาก ‘ฝ่าบาท’ กลับมาเป็น ‘ท่าน’ นางกล่าวว่า “ถึงแม้ท่านจะบอกว่ามิได้มาที่นี่ในฐานะฮ่องเต้ แต่ข้าก็มิอาจล่วงเกินท่านได้ เพราะอำนาจมันเป็นสิ่ง… ที่ไม่แน่นอนที่สุด”
ซ่งจื่ออันวางถ้วยชาลงช้า ๆ สายตาวูบไหว “หรูอี้…เจ้ากำลังลองใจข้า”
นางกำลังลองใจเขา อยากรู้ขีดจำกัดของเขา นางลองใจว่าอำนาจมีอิทธิพลต่อเขาหรือไม่? แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอิทธิพลนี้มันอยู่กับเขาตั้งแต่เขายังเด็ก
มิฉะนั้นครั้งแรกที่พบกัน เมื่อได้ยินความคิดของที่ไม่อยากเข้าวังของอันหรูอี้เขาก็คงไม่รู้สึกไม่พอใจและโกรธ
“สตรีในห้องกับ สติปัญญาน้อยนัก” อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ “แต่ข้าเพียงปราถนาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข การที่ท่านแอบมาที่นี่บ่อย ๆ ย่อมส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของข้า เมื่อถึงยามที่ข้าต้องออกเรือนในภายภาคหน้า ข้าคงจะลำบากไม่น้อย มิใช่หรือ?”
ซ่งจื่ออานนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไป “ออกเรือนภายภาคหน้า!?”
อันหรูอี้ทำราวกับจงใจยั่วโทสะเขา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ามิเข้าวัง แน่นอนว่าต้องมีชีวิตที่ออกเรือนเป็นของตัวเอง การเอ่ยตรง ๆ ต่อหน้าท่านเช่นนี้ ก็เพื่อขอให้ท่านตัดใจโดยเด็ดขาด ต่อไป… อย่าได้มาที่นี่อีกเลย”
ซ่งจื่ออานลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธที่แทบจะพุ่งทะลัก แต่อันหรูอี้เพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่านาง… นางไม่ได้คิดอันใดกับเขาเลยจริง ๆ!
“เพื่อที่จะตัดขาดจากคำว่า ‘เชื้อพระวงศ์’ โดยสิ้นเชิง” ซ่งจื่ออันกล่าวน้ำเสียงทุ่มต่ำ “เจ้าถึงกับต้องหลีกเลี่ยงข้าราวกับหนีเสือร้าย?”
อันหรูอี้ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “หม่อมฉันกล้าหา ตั้งแต่ต้นจนจบก็เพียงแค่ขอชีวิตที่เรียบง่ายเท่านั้น ฝ่าบาทมีฐานะเช่นนี้ หรูอี้ก็ได้แต่เคารพและอยู่ห่าง ๆ เหตุใดฝ่าบาทจักต้องเสียเวลากับหม่อมฉันด้วยล่ะเพคะ?”
พูดจบอันหรูอี้กำลังจะคุกเข่าลง ซ่งจื่ออานกลับรีบคว้าแขนของนางไว้ อันหรูอี้ตกใจเล็กน้อยแต่กลับเห็นว่าซ่งจื่ออานอยู่ใกล้ตนแล้ว “เจ้ามิได้รู้สึกอันใดกับข้า…จริงหรือ?”
ระยะห่างที่ถูกดึงเข้ามาใกล้อย่างกะทันหันอย่างไม่ทันตั้งตัว อันหรูอี้มองหน้าเขา ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะดิ้นรนขึ้นมา พูดอย่างร้อนรนว่า
“ท่าน…นี้มันไม่เหมาะสมเกินไป โปรดปล่อยมือข้าเถิด!”
สีหน้านางยังไม่ดีนัก เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ก็ทำให้อันหรูอี้ตกใจจริง ๆ ในที่สุดซ่งจื่ออานก็ยอมปล่อยมือ พลางสูดลมหายใจลึก
“ขออภัยด้วย ข้าตื่นเต้นเกินไป”
อันหรูอี้ถอยหลังไปสองก้าว มองเขาด้วยความไม่พอใจ ผลลัพธ์หลังจากการลองใจไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ซ่งจื่ออานยังคงคิดที่จะให้นางเข้าวัง
หลังจากการคัดเลือกรอบสองก็ถึงเวลาที่สนมจะเข้าวัง ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว แต่อากาศก็ยังคงหนาวเย็น อันหรูอี้เหงื่อเย็นออกเต็มหลัง ตอนนี้โล่งใจแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะไอออกมาสองสามครั้ง
ซ่งจื่ออานได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ หยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่จากด้านข้างมาคลุมให้นาง พลางกล่าวอย่างจนปัญญา “เจ้าจำเป็นต้องใช้ถ้อยคำเหล่านี้มาทดสอบข้าด้วยหรือ…รูอี้ วังหลวงนั้นไม่ขาดการแก่งแย่งชิงดีกัน แต่หากเจ้ายินยอม ข้าสามารถรับประกันได้ว่ามันจะไม่แปดเปื้อนถึงตัวเจ้า”
อันรูอี้กระชับเสื้อคลุมแน่น กลับรู้สึกแปลกใจ “สตรีงามในใต้หล้ามีมากมายเพียงใด เหตุใดท่านจึงต้องการให้ข้าเข้าวังให้ได้ คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองแห่งจวนอัครมหาเสนาบดีมิเพียงพอหรือ หรือว่าท่าน…”
ชอบข้า?
หัวใจของอันรูอี้เต้นแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อภาพความตายอันน่าสยดสยองในชาติก่อนผุดขึ้นในหัว ความรู้สึกตื่นเต้นนี้ก็จางหายไปกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
ซ่งจื่ออานก็ตกใจกับคำพูดของนางเช่นกัน เขาเพียงแค่อยากให้นางมาอยู่เคียงข้าง แม้วันนั้นจะเป็นเพียงการพบกันชั่วครู่ แต่เขา…ก็ลืมไม่ลง
ทั้งสองเงียบลงอีกครั้ง ลมหนาวแทรกซึมเข้ามาจากหน้าต่าง ทั้งคู่ได้สติกลับมาในเวลาพร้อมกัน ผละออกจากกันแล้วมองหน้ากัน
นิ้วโป้งซ่งจื่ออานจิกลงบนฝ่ามือตนเองอย่างแรง คืนนี้ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ราบรื่นจริง ๆ แต่เมื่อเห็นอันรูอี้ดูเก้อเขินเล็กน้อยบรรยากาศกลับกลายเป็นอึดอัดโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าของอันรูอี้ค่อย ๆ แดงก่ำ ไม่รู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ อันหรูอี้รีบหันหลังให้และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “ยามนี้ดึกแล้ว พรุ่งนี้ฝ่าบาทยังต้องเสด็จออกว่าราชการ โปรดเสด็จกลับวังไปพักผ่อนเถิดเพคะ”
“อะ..อืม เอ่อ” ซ่งจื่ออานเม้มริมฝีปาก สายตาเลื่อนไปที่ใบหูของนางก่อนจะละสายตาไปที่อื่น จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่างแล้วหันกลับมาเอ่ยว่า “เจ้าก็เช่นกัน พักผ่อนให้มาก ๆ ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าอีก ในอีกไม่กี่วัน”
อันหรูอี้ “…”
คำว่า ‘มาเยี่ยมเจ้าอีกในอีกไม่กี่วัน’ ทำให้อันหรูอี้นอนไม่หลับทั้งคืน นางลืมตาจนถึงรุ่งสาง มองดูท้องฟ้าที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ
ซ่งจื่ออานไม่รู้จักนางเลย นางก็ไม่รู้จักซ่งจื่ออานเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้แม้แต่ความชอบพื้นฐานที่สุดของกันและกัน แม้แต่เพื่อนกันก็ยังไม่เป็นเช่นนี้
อันหรูอี้หลับตาลง นึกถึงใบหน้าของซ่งจื่ออาน ถึงแม้เขาจะมอบชีวิตที่ไร้กังวลให้นางและไม่ถูกรบกวนจากการแย่งชิงอำนาจ แต่นั่นก็เป็นเพียงช่วงเวลาที่ได้รับความโปรดปราน หากจะให้ยืนยาวนอกจากความชอบแล้ว ก็ต้องมี…
รัก.
อันหรูอี้ตบหน้าตัวเองอย่างแรง “เจ้าคิดบ้าอันใดอยู่น่ะ!”
“คุณหนู!”
เสียงอ่างล้างหน้าของเถาหงกระแทกพื้นดังโครม มองอันหรูอี้ที่ตบหน้าตัวเองอย่างตกตะลึง อันหรูอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
ส่วนซ่งจื่ออานที่กำลังเตรียมตัวว่าราชการ ในขณะนี้ก็รู้สึกเก้อเขินไม่ต่างจากนางเช่นกัน
ท่านขันทีโจวป๋อเป็นขันทีคนสนิทเป็นขันทีเก่าแก่ที่เคยรับใช้อดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อน เป็นคนที่ไว้วางใจได้ ซ้ำยังเคยช่วยชีวิตอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อนไว้ ซ่งจื่ออานจึงให้ความเคารพเขาอยู่ไม่น้อย
ในตอนนี้ ขันทีอาวุโสผู้นี้กำลังกล่าวกับเขาอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท แม้ว่าสนมจิ้งเหลียงเหรินจะกระทำผิดพลาดไปบาง แต่เมื่อคืนนี้เป็นฤกษ์ยามอันดีที่โหรหลวงเลือกสรรไว้ หากพลาดไปจะไม่เป็นมงคลอย่างยิ่งน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออานกุมขมับ ส่วนเซี่ยเหิงก็กลั้นขำเหมือนเช่นเคย ขันทีผู้อาวุโสผู้นี้อายุมากแล้ว ไม่มีข้อเสียใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากพูดมากไปหน่อย
“อีกอย่าง กระหม่อมก็ทำตามรับสั่งของอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อน มอบดอกไม้ประจำตำหนักตามลำดับขั้นของสนมใหม่ แต่ทว่ายามนี้ดอกไม้นั้นยังคงแขวนอยู่ที่ประตูตำหนักชูฮวา เกรงว่าสนมจิ้งเหลียงเหรินจะกลายเป็นตัวตลกในวังเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
[1] มิกล้ากวาดพื้น : เป็นการพูดเชิงเสียดสี โดยบอกเป็นนัยว่า คนที่ถูกขายเข้าวังมาเป็นขันที นางใน นั้น ย่อมมีศักดิ์ศรีเกินกว่าจะทำงานต่ำต้อยอย่างการกวาดพื้น