หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 30 สำรวจห้องหับของสตรีอีกครั้ง
บทที่ 30 สำรวจห้องหับของสตรีอีกครั้ง
บทที่ 30 สำรวจห้องหับของสตรีอีกครั้ง
เจิ้งจือหรงเป็นคนของเหลิงเยว่ การที่อันหลิงหลงจงใจพูดจาดูถูกเจิ้งจือหรงเช่นนี้ นั่นเท่ากับว่านางได้ตบหน้าฮองเฮาต่อหน้าผู้คนมากมาย
ที่น่าขันคือ… ไม่นานมานี้อันหลิงหลงยังแสดงออกชัดเจนว่าอยากจะสานสัมพันธ์กับเหลิงเยว่ต่อหน้าทุกคน แต่แล้วก็ถูกปฏิเสธอย่างเย็นชา ดังนั้นการกระทำเช่นนี้ของอันหลิงหลงต่างอันใดกับแก้แค้นคืนเล่า?
ที่น่าขันยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าเจิ้งจือหรงจะพูดผิดอย่างไรนางก็คือคนที่ซ่งจื่ออานชมเชยด้วยตัวเอง
อันหลิงหลงใช้คำพูดเพียงประโยคเดียวก็ตบหน้าทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาแห่งราชวงศ์ซีจิ้น ความกล้าของนางนั้นช่างบ้าบิ่น ส่วนสติปัญญา… ก็ช่างทึบทื่อเหมือนหมูจริง ๆ
“เฮ้อ” ซ่งจื่ออันถอนหายใจ “แม้ว่าคนอย่างอัครเสนาบอันจะจัดการเรื่องราชการแผ่นดินได้ดี แต่การสั่งสอนบุตรสาวในจวนนั้นช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง”
เซี่ยเหิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ฝ่าบาท สตรีผู้นี้ไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของฮองเฮาเลย พวกเรา…มีแผนอื่นหรือไม่พะย่ะค่ะ”
ความคิดอื่นก็ไม่พ้นที่จะให้อันหรูอี้เข้าวัง อย่างน้อยอันหรูอี้ก็มีสติปัญญาเพียงพอที่จะต่อกรกับเหลิงเยว่ได้ แต่ว่า…หากเขาเรียกอันหรูอี้ เข้าวังก็เพื่อให้นางต่อสู้กับเหลิงเยว่ นั่นไม่ใช่การทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจไว้หรอกหรือ?
เขาเพียงแค่อยากให้อันหรูอี้อยู่เคียงข้าง อยู่ในที่ที่สายตาของเขามองเห็นเท่านั้นเอง หากให้นางช่วยเหลือ…
นางคงจะเกลียดเขาเป็นแน่
ซ่งจื่ออานลูบหน้าผากพิงเสาหินแดงยาว สายตาจับจองไปยังบันไดหินหยกขาวที่ทอดยาวดั่งหางมังกร สองข้างทางบันไดหยกมีข้าราชบริพารเดินเรียงรายขึ้นไป ริ้วผ้าไหมของผู้คนเหล่านั้นพัดพลิ้วผ่านไป ดั่งโซ่ตรวนทีพันธนาการเขาเอาไว้
อันหรูอี้เกลียดชังการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความจริงแล้วผู้ใดบ้างที่ไม่เกลียด?
ซ่งจื่ออานหัวเราะเยาะตัวเองเล็กน้อย ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน หันหลังกลับเข้าไปที่ตำหนักไท่เหอพร้อมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “คืนนี้พวกเรา… ไปจวนอัครเสนาบกันเถิด”
“ห้ะ?” เซี่ยเหิงประหลาด “ใกล้จะมืดแล้ว คืนนี้ฝ่าบาทไม่ควรเสด็จไปที่วังหลังหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซ่งจื่ออานชะงักฝีเท้าหันหน้ากลับมาหัวเราะเยาะ “ข้า ไม่ไป!”
เซี่ยเหิง “…” ก็ได้ พระองค์คือฮ่องเต้ กล่าวอย่างไรย่อมเป็นอย่างนั้น
…
อันหณูอี้อยู่จวนครมหาเสนาบดีอย่างสงบสุข วันนี้ไม่มีผู้ใดมารบกวนนางเพราะหวังเสวี่ยเฟิงกำลังมีความสุขย่อมไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเองหงุดหงิดและเกรงว่าจะนางจะไม่มาอีกหลายวัน
แต่ในสถานการณ์ที่ดีเช่นนี้ เหตุใดนางยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่?
หรือว่าเพราะคำพูดของเถาหงหรือ…
ยามเย็นแสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลง มื้อค่ำเพิ่งเสร็จสิ้นลงเถาหงและหลิวลวี่กำลังพูดคุยเรื่องเบาสมองกับคุณหนูตนไม่รู้ว่าเหตุใดหัวข้อสนทนาถึงวกมาที่เรื่องในวังหลวง
“จากการคำนวณของโหรหลวงและวันมงคลของแคว้นเรา การคัดเลือกสนมในวันนี้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้วคืนนี้จะต้องมีการเลือกสนมไปรับใช้ฮ่องเต้ที่ห้องบรรทม” เถาหงกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ “ได้ยินมาว่าฮ่องเต้ของพวกเรานั้น ไม่ค่อยเสด็จเข้าตำหนักหลังเท่าไหร่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัชทายาทแต่เพื่อความเป็นสิริมงคลในค่ำคืนนี้ เชื่อว่าต้องมีการเรียกนางสนมไปรับใช้เป็นแน่”
หลิวลวี่ก็กล่าวว่า “หากพิจารณาตามลำดับชั้นของสนมแล้ว คนแรกก็คงจะเป็นอันหลิงหลงแน่นอน”
เมื่อเถาหงได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะเย็นชาไม่ได้ “ข้าหวังว่านางจะทำผิดพลาด แล้วได้รับความอับอายขายหน้าตั้งแต่คืนแรกเลยล่ะ!”
หลิวลวี่สบตากับอันหรูอี้พยายามกลั้นขำ “ถ้าเป็นเช่านั้นจริงก็คงจะกลายเป็นเรื่องขำขันในวังหลวงแล้ว”
“พอแล้ว” อันหรูอี้พูดอย่างหมดหวัง “เทพีโรคภัย*[1]ก็เข้าวังมาแล้ว เหตุใดพวกเราจะมานั่งเอ่ยถึงนางอยู่อีกเล่า? สิ่งที่ควรคิดตอนนี้คือจะใช้ชีวิตของตัวเองยังไงให้ดีต่างหากเล่า”
อันหรูอี้ไม่มีใจจะนินทาหรือล้อเลียนผู้ใดอีก นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งให้คนเตรียมที่นอน แต่ปรากฏว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ยังนอนไม่หลับ กลับยิ่งรู้สึกร้อนรนหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
นางพลิกตัวไปมา สิ่งที่คิดถึงก็คือคำว่า ‘รับใช้ที่เตียง’ วันนี้เป็นวันดีของอันหลิงหลง ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางกำลังอยู่กับซ่งจื่ออาน หรือไม่…
“เฮ้อ!” อันหรุอี้หยิบผ้าห่มคลุมหัวแน่น นางอดไม่ได้ที่จะด่าเบา ๆ “คุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ เจ้าคิดสิ่งใดอยู่! ช่างมิรู้จักละอายใจบ้างเลยรึ!”
ขณะที่กำลังเขินอายกับความคิดของตนเองอยู่ จู่ ๆก็ได้ยินเสียงหนึ่งหัวเราะมาจากข้างหน้าต่าง “งั้น คุณหนูใหญ่อันกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?”
อันหรูอี้ลุกขึ้นนั่งทันที มองเงาที่อยู่นอกหน้าต่างอย่างตกตะลึง ผมที่ปลิวไสวตามสายลมยามค่ำคืน เงาด้านข้างที่สูงเพรียวทำให้หัวใจของของเต้นแรงอย่างกะทันหัน
อันหรูอี้รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยมองออกไปข้างนอก ก่อนจะหันไปมองหลิวลวี่ที่หลับลึก ก้าวไปที่หน้าต่างสองสามก้าว กำลังจะเปิดหน้าต่าง มือเรียวสวยก็หยุดชะงัก
ไม่! ไม่ได้!
“ฝ่าบาท” อันหรูอี้กดเสียงต่ำ “หม่อมฉันเคยบอกแล้วว่าจะไม่เข้าวัง ฝ่าบาทเป็นถึงบุคคลผู้สูงศักดิ์ ไม่ควรทำเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้อีก ขอฝ่าบาทรีบเสด็จกลับวังโดยสวัสดิภาพเถิดเพคะ”
คนนอกหน้าต่างหันหน้ามาเผชิญกับอันหรูอี้โดยตรง
ซ่งจื่ออานเห็นเงาของนางเช่นกัน เห็นนางมาถึงหน้าต่างอย่างรวดเร็ว แต่ทว่านางก็หยุดลงมีเพียงแค่ผ่านม่านบาง ๆ กันไว้แค่ชั้นเดียว
ซ่งจื่ออานหัวใจสั่นไหวกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ใช่พระราชวัง ข้าก็ไม่ใช่ฮ่องเต้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าฝ่าบาท”
แววตาอันหรูอี้สั่นไหวเล็กน้อย มองเงาร่างนั้นอย่างเงียบ ๆ นึกถึงดวงตาที่เรียวสวยคู่นั้นที่กำลังจ้องมองนางอย่างสงบนิ่ง แก้มของนางก็แดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “แล้ว…ท่านมาทำอันใดที่นี่เล่า?”
ซ่งจื่ออานยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขารู้ดีว่าอันหรูอี้แตกต่างจากคนอื่น
ถึงแม้นางจะเป็นสตรีที่ยังวัยเยาว์อยู่ แต่ก็มีความกล้าหาญที่ผู้อื่นยากจะเทียบได้ มีสติปัญญามากกว่าบรรดาสตรีในห้องหับทั่วไปในเมืองหลวง
“ในวังหลวงน่าเบื่อยิ่งนัก” ซ่งจื่ออานถอนหายใจ “แท้จริงแล้วข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้าได้แล้ว ฉะนั้นจึงอยากมาหาความสงบกับเจ้า”
เพียงแค่หาความสงบ… เพียงเท่านี้…
นี่เป็นเหตุผลที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ก็ยังคงทำให้นางต้องลำบากใจอยู่ดี นางต้องตัดปัญหานี่ทิ้งให้สิ้นซากเสียที…
อันหรูอี้นิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดก็วางมือลงบนกรอบหน้าต่าง ค่อย ๆ เปิดออก
แสงจันทร์ส่องสว่างเงาไผ่ทอดยาว เมื่อเปิดหน้าต่างสายลมยามค่ำคืนก็พัดผมยาวของทั้งสองให้ปลิวไสว อันหรูอี้เงยหน้าขึ้นมองหนุ่มน้อยหน้าตางดงามอย่างไร้ที่ติพลางพยักหน้าให้เขาเบา ๆ
“เข้ามาเถิด ข้าจะรินชาให้ท่าน”
“ได้” ซ่งจื่ออานยิ้ม “ข้าไปสกัดจุดหลิวลี่ก่อน”
อันหรูอี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอับจนคำพูด ดวงตาเปล่งประกายเย้ายวนน่าหลงใหลนางชำเลืองมองเขาเล็กน้อย
ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังเป็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ยังคงมีความเฉียบคมและความกระตือรือร้นของวัยหนุ่ม
อันหรูอี้จัดแจงทุกอย่างอย่างเรียบง่าย วางม่านประตูลงปิดบังเงาในห้อง จากนั้นก็จุดเทียน เชิญเขานั่งลง สบตากันแต่กลับไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด
แต่ความหงุดหงิดในใจของอันหรูอี้กลับหายไปอย่างไม่รู้ตัว
ซ่งจื่ออานค่อย ๆ รู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย นิ้วลูบไล้ถ้วยชา สายตาเหลือบมองสีหน้าของนางเป็นระยะ ๆ ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงไอของนางแล้ว แต่สีหน้ายังไม่กลับมาเป็นปกติ คาดว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการคัดเลือกรอบสอง นางจึงยังไม่ได้กินยาบำรุงร่างกายเลย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซ่งจื่ออานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามว่า “เจ้า…”
แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าอันหรูอี้ก็เอ่ยออกมาในเวลาเดียวกันว่า “ข้า…”
ทั้งสองคนมองหน้ากันเลือกที่จะปิดปากเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมพร้อมกันว่า “เจ้า/ท่าน พูดก่อนสิ”
ความเงียบงันที่น่าอึดอัดใจแผ่กระจายไปทั่ว อันหรูอี้มองดูซ่งจื่ออานพลางถอนหายใจในใจ ฮ่องเต้ผู้นี้เกรงว่าจะไม่เคยพูดคุยกับใครตามปกติแม้แต่กับนางในตอนนี้เขาก็ยังต้อระวังตัว
เมื่อคิดได้ดังนั้นอันหรูอี้ก็เอ่ยขึ้นก่อน “ข้ามีคำถามหนึ่ง ท่าน… ข้าหมายถึง เหตุใดท่านจึงออกจากวังหลวงบ่อยครั้ง เช่นนี้…”
ซ่งจื่ออานหลุดขำ “เจ้าคงกำลังจะบอกว่า มันไม่เหมาะสมกับฐานะ ทำให้ผู้คนดูแคลน ใช่หรือไม่”
อันหรูอี้ไม่ได้พยักหน้าแล้วก็ไม่ได้ส่ายหน้า ถือว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย
ทว่าซ่งจื่ออานกลับถามนางว่า “อันหรูอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีนี้ข้าอายุเท่าไร?”
[1] เทพีโรคภัย : เป็นสตรีที่นำความโชคร้ายมาให้