หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 29 แย่งชิงความโปรดปราน
บทที่ 29 แย่งชิงความโปรดปราน
บทที่ 29 แย่งชิงความโปรดปราน
เหลิงเยว่เพียงข่มอารมณ์โกรธของตนเองไว้โดมไม่เอ่ยอันใดออกมาอีก จากนั้นพลันบรรยากาศในตำหนักก็ตึงเครียดขึ้นมานที
อันหลิงหลงก้าวเท้าออกมาข้างหน้าอย่างช้า ๆ โค้งคำนับอย่างอ่อนหวาน พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าฮองเฮากับสวีกุ้ยเฟยมีความสัมพันธสนิทสนมกัน เมื่อได้พบวันจึงได้รู้ว่าเป็นความจริง หากเป็นคนธรรมดาคงมิกล้าหยอกล้อกันเช่นนี้แน่เพคะ”
ทั้งเหลิงเยว่และสวีเจิ้งต่างเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกัน เหลียวมองอันหลิงหลงอย่างพร้อมเพรียง
“บุตรสาวตระกูลอัน… บุตรสาวคนรองของอัครมหาเสนาบดีงั้นรึ” จากสวีเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสีอยู่สามส่วน “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลอันกับตระกูลเหลียงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง วันนี้ได้พบเห็นด้วยตาตนเอง ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ”
เมื่อวาจานี้เอ่ยออกมาเสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นทันที
ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดีตระกูลอันเป็นศัตรูการเมืองกับตระกูลเหลิง แต่บุตรสาวกลับคิดจะมาเอาใจศัตรูของตระกูลเช่นนี้หากอันก่วงเหนิงรู้เรื่องนี้เกรงว่าจะโกรธจนล้มหงายหลังเป็นแน่
แต่น่าเสียดาย… สวีเจิ้งยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ฮองเฮาเป็นสตรีที่มีนิสัยริษยามากเพียงใดนางย่อมรู้ดี นางกำนัลทุกคนล้วนเป็นศัตรูของนางทั้งสิ้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนตระกูลอัน นางไม่มีทางที่จะซาบซึ้งใจหรอก
สีหน้าของอันหลิงหลงพลัสแดงก่ำสับขาวซีด สวีเจิ้งผู้นี้แม้จะไม่รู้สึกขอบคุณก็ช่างเถิดแต่กลับพูดจาไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้มันจะเกินไปหน่อยหรือไม่! ก็แค่ตำแหน่งกุ้ยเฟยคิดว่าตนใหญ่มาจากไหนกัน นางเป็นถึงบุตรสาวคนสำคัญของอัครมหาเสนาบดีไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นเช่นกัน!
เหลิงเยว่เหลือบมองอันหลิงหลงอย่างไม่ได้สนใจ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้สึกขอบคุณที่บุตรสาวของศัตรูการเมืองของบิดามาช่วยแก้ต่างให้ กลับกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “กฎของวังหลวง ขอให้เจ้าระวังวาจาและการกระทำด้วย”
อันหลิงหลงกำผ้าเช็ดหน้าแน่นขึ้นในทันที พลางฝืนยิ้มออกมา “เพคะ หลิงหลงเข้าใจแล้ว”
“เอาละ” เหลิงเยว่เปลี่ยนเรื่อง “วันนี้เป็นวันเข้าเฝ้าวันแรกของพวกเจ้า ข้ามิมีเรื่องจะกล่าวอันใดกับพวกเจ้ามาก พวกเราต่างเป็นพี่น้อง เป็นคนของวังหลัง เรามาเพื่อรับใช้ฮ่องเต้ เพียงแค่พวกเจ้าตั้งใจทำหน้า ดูแลร่างกายให้ดี อย่าได้เจ็บป่วย ยึดถือฝ่าบาทเป็นหลัก ส่วนกฎระเบียบและมารยาทในวังข้าจะให้มามา[1]*อบรบพวกเจ้าเอง”
เหล่านางสนมค้อมศีรรษะลง อันหลิงหลงก็ทำตามผู้อื่นอย่างว่าง่ายไม่กล้าทำตัวโดดเด่นอีก
ส่วนสวีเจิ้งนั้นเพียงแค่นั่งมองอยู่เงียบ แม้จะดูเหมือนว่านางไม่ได้ยื่นมือเขามายุ่งเกี่ยวอันใด แต่รัศมีผู้สูงศักดิ์บนตัวนางกลับเทียบเท่ากับฮองเฮา ดูราวกับเป็นผู้คุมบังเหียนอยู่เบื้องหลังด้วยซ้ำ
จากนั้นจึงแบ่งตำหนักที่ประทับ พร้อมกับรับพระชาทานรางวัลตามธรรมเนียมไม่มีอันใดผิดแผกแตกต่างไป
ส่วนเรื่องตำแหน่งสนมตอนนี้เหล่าสนมล้วนเป็นเพียงแค่ ‘ซิ่วนู่’ หากต้องการเลื่อนขั้นนอกจากต้องได้ร่วมหอกับฮ่องเต้ก็ต้องดูที่ภูมิหลังด้วย
ซ่งจื่ออานได้ร่างตำแหน่งขั้นต้นเอาไว้แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงแค่
‘เหลียงเหริน’ อันหลิงหลงก็เป็นหนึ่งในนั้นและยังได้รับพระราชทานชื่อ
‘จิ้ง’จึงถูกผู้คนแอบหัวเราะเยาะกันลับหลัง
ได้รับพระราชทานชื่อ ‘จิ้ง’*[2] แต่กลับมีชื่อเสียงตั้งแต่เข้าวังเพราะความ ‘ต้ง’ *[3] เลยถูกทั้งฮองเฮาและกุ้ยเฟยเหน็บแนม นี่ช่างมีชื่อเสียงโด่งดังที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
เมื่อเลิกราชกิจจากท้องพระโรง ซ่งจื่ออันก็ตรงไปที่ตำหนักคุนหนิงแต่ไม่ได้เข้าไป เพียงแต่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างฟังเสียงภายในด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เดินจากไปอย่างเชื่องช้า
“อันหลิงหลงมิใช่คนที่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่นอน” ซ่งจื่ออานกล่าวอย่างไม่แปลกใจ “และยังไม่ฉลาดเอาเสียเลย กล้าไปประจบประแจงฮองเฮาต่อหน้าธารกำนัล น่าเบื่อยิ่งนัก”
เซี่ยเหิงกลอกตา เช้าตรู่เช่นนี้ฝ่าบาทยังรีบร้อนวิ่งมาตำหนักคุณหนิงเพียงเพื่อมาฟังอันหลิงหลงถูกเยาะเย้ยต่อหน้าต่อตาพระองค์เอง
นี่พระองค์ก็ไม่ได้สนุกไปกว่ากันเท่าไหร่นัก
ซ่งจื่ออานราวกับจะรู้ว่าเซี่ยเหิงคิดสิ่งใดอยู่ จึงหรี่ตาลง “เหตุใดเจ้ามิกล่าวสิ่งใดเลย”
เซี่ยเหิงรีบยืดหลังตรงตอบกลับด้วยคำพูดของฮองเฮา “กฎของวังหลวง ขอให้ระวังวาจาและการกระทำด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออานเลิกคิ้วมองเขาอย่างรู้ทัน เซี่ยเหิงเติบโตมากับเขามาตั้งแต่เด็ก เขาคิดสิ่งใดอยู่ ซ่งจื่ออานจะดูไม่ออกได้อย่างไร
ซ่งจื่ออานหันกลับไปมองพื้นหินกรวดอย่างเหม่อลอย การกระทำของอันหลิงหลงช่างโง่เขลา ยิ่งทำให้เขาอยากได้บุตรสาวคนโตสตรีที่ทั้งฉลาดและเย็นชาผู้นั้น…
ฮ่องเต้ผู้เยาว์วัย กำลังรอคอยสิ่งใดกัน
“อีกไม่กี่วัน…”
คำว่า ‘ไปจวนอัครมหาเสนาบดี’ ยังไม่ทันได้ออกจากปาก เสียงเร่งเร้าของเซี่ยเหิงก็ดังขึ้นข้างหูขัดคำพูดของซ่งจื่ออานทันที “ฝ่าบาท พวกเราควรรีบกลับตำหนักไท่เหอพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออานโบกมือ “เรื่องฎีกาพักไว้ก่อน ยังมิพบวิธีช่วยเหลือรองผู้ว่าการมณฑลก็มิต้องรีบตอบกลับ”
“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…” เซี่ยเหิงกระแอมไอพลางกลั้นขำ “ฝ่าบาททอดพระเนตรด้านหลังก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออันหยุดฝีเท้า หันหลังกลับไปอย่างสงสัยเซี่ยเหิงขยิบตาให้เขาหนึ่งทีก่อนจะขยับหลีกทางให้
ท่ามกลางมูลมวลดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ฮองเฮาพากุ้ยเฟนและเหล่าสนมทั้งหลายล้อมเข้ามาพร้อมกัน เสียงพูดคึยนเจื้อยแจ้วของสนมแทบจะกลืนเข้าไปทั้งตัว
“หม่อมฉัน ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”
ซ่งจื่ออัน “…”
“ฝ่าบาท!” สวีเจิ้งขยิบตาให้เขาหนึ่งที ก่อนจะก้าวมายืนข้างกายเขาอย่างเป็นธรรมชาติ “พวกหม่อมฉันกำลังจะไปเดินเล่นในสวนหยวนหมิงหยวน ไม่คิดว่าจะได้พบฝ่าบาทระหว่างทาง ช่างบังเอิญจริง ๆ เพคะ!”
ซ่งจื่ออานกระตุกมุมปาก เหลือบมองเซี่ยเหิงอย่างเย็นชา ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “เอ่อ… เราแค่… เดินเล่นเฉย ๆ”
เซี่ยเหิงแหงนหน้ามองฟ้า เม้มปากไม่ให้เผลอยกยิ้ม ร่างกายของเขาสั่นไหวเล็กน้อยราวกับกำลังอดทนความรู้สึกบางอย่างไว้
เหลียงเยว่สองมือประสานไว้ด้านหน้า นางเป็นถึงฮองเฮาไม่อาจกล้าบังอาจเช่นสวีเจิ้งได้จึงได้แต่ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ เอ่ยด้วยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “หากฝ่าบาททรงว่าง จะเสด็จไปนั่งเล่นที่สวนหยวนหมิงหยวนด้วยกันเป็นไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออานกำลังจะปฏิเสธอ้างว่ายุ่งแต่สวีเจิ้งกลับพูดเสริมขึ้นมาว่า “
ฝ่าบาท น้องหญิงเพิ่งเข้าวังมากมายฝ่าบาทน่าจะทรงสนทนากับน้องหญิงทั้งหลายบ้างนะเพคะ”
พูดจบ นางก็ดึงอันหลิงหลงเข้ามาหา พร้อมกับกล่าวยิ้ม ๆ “ฝ่าบาท นี่น้องหญิงหลิงหลงจากจวนอัครมหาเสนาบดี พระองค์ทรงเห็นว่านางเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
เหลียงเยว่กับอันหลิงหลงพากันงงงวย ไม่รู้ว่าสวีเจิ้งมีเจตนาใด เมื่อครู่ยังเอ่ยเสียดสีนางอยู่เลย แต่ทว่าตอนนี้กลับช่วยให้ผู้อื่นเข้าใกล้ฮ่องเต้
แต่ซ่งจื่ออานเข้าใจดี ใต้บัลลังก์ของเขาล้วนเป็นการต่อสู้ของขุนนางฝ่ายต่าง ๆ หากต้องการความสมดุล ก็ต้องสนิทสนมกับคนเหล่านี้ซ่งจื่ออานรู้สึกจนใจโดยเฉพาะบุตรสาวจากตระกูลอัครมหาเสนาบดี อันหลิงหลง
“เหลียงเหรินจิ้ง” ดวงตาคมดุจเหยี่ยวดำฉายแววขบขันออกมา “การอบรมสั่งสอนของตระกูลอัครเสนาบดีนั้นดีเลิศมาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่าหลิงหลงก็เป็นคนสุขุมเยือกเย็น สมกับชื่อเสียงจริง ๆ ”
“หึ”
สนมนางอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ อดขำไม่ได้ ถ้ามิใช่เพราะเกรงบารมีตระกูลอัน คงได้เยาะเย้ยถากถางนางไปสองสามคำแล้ว
แต่กลับเป็นอันหลิงหลงที่ไม่ทันสังเกตเห็นแววตาเยาะเย้ยของพวกนาง ใบหน้าของนางแดงก่ำ มองซ่งจื่ออานด้วยความเขินอาย ราวกับถูกดึงดูดด้วยรอยยิ้มนั้นจนขาดสติ พึมพำออกมาว่า “อะอืม… ใช่เพคะ”
รอยยิ้มของซ่งจื่ออานยิ่งชัดเจน แต่เขาก็เห็นเหลิงเยว่ดึงสนมอีกคนเข้ามาหา นางสวมชุดผ้าซาตินสีม่วง ท่าทางอ่อนโยน ไม่แสดงท่าทีหลงใหลเหมือนสนมคนอื่น ๆ ดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาท” เหลิงเยว่กล่าว “ผู้นี้คือเจิ้งจื่อหรง บุตรสาวของเจิ้งต้าเสวี่ยซือส่วนด้านความสามารถของจื่อหรง ฝ่าบาทคงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว”
ซ่งจื่ออานเผลอมองอย่างลืมตัว เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเจิ้งจื่อหรงจริง ๆ แม้รูปโมของนางจะไม่งดงามสะดุดตาอย่างกับอันหรูอี้ แต่ก็มีเสน่ห์ของความอ่อนโยนที่น่ามอง
ซ่งจื่ออานเผยรอยยิ้มออกมา แต่ทว่าคราวนี้มาจากใจจริง “ข้าได้ยินชื่อเสียงของบุตรสาวของเจิ้งต้าเสวี่ยซือมานานแล้ว”
แต่เจิ้งจื่อหรงกลับไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง เพียงเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “คนโง่เขลากลับปล่อยข่าวลื่อ ฝ่าบาททรงเป็นบุตรแห่งสวรรค์ อย่าได้ใส่พระทัยคำพูดของคนชั่วเลยเพคะ”
ทุกคนต่างตกตะลึง คำพูดนี้… ทำไมถึงฟังดูเสียดแทงเช่นนี้
ซ่งจื่ออานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทันใดนั้นอันหลิงหลงก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ชื่อเสียงของจื่อหรงนั้นเป็นเรื่องจริง ได้ยินมาว่า งานชมดอกไม้เมื่อปีก่อน จื่อหรงแม้จะได้อันดับสุดท้ายแต่ก็ได้รับคำชมมากมายเช่นกัน”
ฮองเฮากลับเงียบไป มองนางอย่างเงียบ ๆ แต่สวีเจิ้งกลับหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “คำพูดของน้องหลิงหลงผู้นี้ ช่างถูกใจข้ายิ่งนัก”
เข้าวังมานานหลายปี นางไม่เคยพบเจอคนโง่เขลาเช่นนี้มาก่อน
ซ่งจื่ออานกวาดตามองอันหลิงหลงอย่างมีนัยลึกซึ้งแต่กลับกล่าวกับเซี่ยเหิงว่า “ข้ายังมีราชกิจที่ยังไม่ได้ตรวจทานอีกหลายฉบับ เซี่ยเหิง…กลับตำหนักไท่เหอ”
อันหลิงหลงยังคงไม่เข้าใจมองตามแผ่นหลังของซ่งจื่ออานที่จากไปด้วยความสับสน
นางเพียงแค่ไม่พอใจที่ซ่งจื่ออานละสายตาไปจากนาง จึงพูดแขวะเจิ้งจื่อหรงเพียงประโยคเดียว เหตุใดซ่งจื่ออานจึงจากไปเสียแล้วเหตุใดพวกนางจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเล่า? ราวกับว่านางได้กระทำผิดอย่างมหันต์
เหลิงเยว่หันกลับมา ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ เอ่ยว่า “คัดกฎของวังหลวงสิบรอบ แล้วค่อยมาที่ตำหนักคุนหนิง”
*[1] จิ้ง : สงบ
*[2] ต้ง : เคลื่อนไหว
*[3] มามา : นางกำนัลรับใช้ผู้อาวุโสหรือเป็นแม่นมที่คอยดูแลเชื้อพระวงศ์ที่มีตำแหน่งสูงสุดไทเฮา ฮองเฮา กุ้ยเฟย