หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 28 การจากลาจวนอัครมหาเสนาบดี
บทที่ 28 การจากลาจวนอัครมหาเสนาบดี
บทที่ 28 การจากลาจวนอัครมหาเสนาบดี
โต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมไว้สำหรับคนเจ็ดแปดคน
อันหรูอี้แต่งกายด้วยชุดขาวเรียบ ๆ ราวกับจะไปงานไว้อาลัยเสียมากกว่างานเลี้ยงฉลอง หลังจากแต่งตัวเสร็จอันหรูอี้ก็เดินตรงไปที่เรือนรับรอง ภายในเรือนรับรองเหล่าอนุและคุณหนูตระกูลอันต่างอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน อันก่วงเหนิงเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นร่างสูงโปร่งบางของอันหรูอี้กำลังก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่อ่อนหวานเต็มไปด้วยความสง่า
‘น่าเสียดายจริง ๆ’ อันก่วงเหนิงถอนหายใจในใจหากอันหรูอี้ได้เข้าวังด้วยท่าทางที่สง่างามของนางเช่นนี้ย่อมต้องโดดเด่นกว่าผู้อื่นแน่!
แต่พอนึกถึงไข้ที่กำเริบในวันคัดเลือกสนมรอบสองของอันหรูอี้ ความหวังทั้งหมดของอันก่วงเหนิงก็ดับวูบ การคัดเลือกสนมสองครั้งกลับเจอโรคร้ายทั้งสองครั้ง เกรงว่าบุตรสาวผู้นี้จะไม่มีบุญวาสนากับวังหลวงจริง ๆ
“ท่านพ่อ” อันหรูอี้โค้งคำนับอย่างสุภาพพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบ ๆ “ขอคารวะท่านป้าเซียว ท่านป้าหวัง น้องรองและน้องสาวทั้งสอง”
วันนี้หวังเสวี่ยเฟิงอารมณ์ดีจึงไม่ถือสาที่อันหรูอี้วางชื่อของอนุเซียวไว้ก่อนชื่อของตน หวังเสวี่ยเฟิงยิ้มอย่างลึกซึ้ง “หรูอี้ร่างกายเจ้าไม่ค่อยดี ยังต้องมาที่นี่ด้วยตนเองอีก ช่างลำบากเจ้าจริง ๆ ”
ทุกคนบนโต๊ะยกเว้นอันก่วงเหนิงต่างเดาได้คร่าว ๆ ว่าเพราะเหตุใดร่างกายของอันหรูอี้ถึงไม่ดีแต่น่าเสียดายที่ทุกคนก็ยังเดาผิด
อันก่วงเหนิงยิ้มให้แล้วพยักหน้า “เชิญนั่งเถิด วันนี้เป็นงานเลี้ยงในครอบครัว มิต้องเคร่งครัดกันนักพูดคุยกันได้ตามสบายเถิด”
อันหรูอี้รู้สึกขบขันคำพูดนี้ของอันก่วงเหนิงเกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็คงไม่เชื่อ นางหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วยิ้มบาง ๆ “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
อันหรูอี้นั่งลงเก้าอี้ข้างอันผิ่นอย่างสง่างาม อันผิ่นยิ้มและพยักหน้าให้นางเล็กน้อย ถัดไปไม่ไกลนักอันหนิงพยายามจะเข้ามาหาอันหรูอี้แต่ถูกอนุหลี่พลางยิ้มขอโทษนาง
ยามนี้อันหลิงหลงได้เข้าวังแล้ว ในไม่ช้าก็เร็วนางก็จะได้รับพระราชทานตำแหน่ง ฐานะของหวังเสวี่ยเฟิงในจวนก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย หากบุตรสาวของนางเข้าไปสนิทสนมกับอันหรูอี้แล้วหวังเสวี่ยเฟิงจดจำไว้ กลัวว่าวันข้างหน้าพวกนางจะใช้ชีวิตในจวนได้ไม่สุขสบายแน่
มีเพียงอนุเซียวที่แม้บางครั้งนางจะหุนหันพลันแล่นไปบ้างแต่ยังถือว่าเป็นสตรีที่มีไหวพริบรู้จักเอาตัวรอด
ตอนนี้หวังเสวียเฟิงเริ่มมีอำนาจมากขึ้นแล้ว หากยามนี้นางไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนในจวนอีกต่อไป อีกหน่อยเกรงว่าจะยิ่งไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเป็นอนุภรรยาคนคนโปรดของอันก่วงเหนิงจะไปเทียบกับมารดาพระสนมได้อย่างไร
อนุเซียวเห็นอันหรูอี้นั่งลงก็ยิ้มกว้างทันทีพลางยกจอกสุราขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ บัดนนี้คุณหนูรองของจวนเราได้เข้าวังหลวงนี่นับเป็นวาสนาของจวนอัครมหาเสนาบดี ยามนี้ทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้วพวกเรามาดื่มอวยพรให้กับคุณหนูรองกันเสียหน่อยเถิด”
อันก่วงเหนิงหัวเราะเสียงดัง “ชิงเอ๋อร์กล่าวได้ถูกต้อง มาเถิด! เพื่อเป็นการฉลองที่หลิงหลงได้เข้าวัง ข้าว่าจวนอันของเราควรดื่มให้เต็มที่!”
อันก่วงเหนิงพูดจบเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “อันหรูอี้ หากเจ้าดื่มสุราไม่ได้ ก็ดื่มน้ำแทนก็ได้อย่าฝืนร่างกายเจ้า”
อันหรูอี้ไอเบา ๆ แต่ก็ยังคงหยิบจอกสุราขึ้นมาใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี “ท่านพ่อกล่าวอันใดเช่นนั้นเล่า น้องรองของข้าได้รับใช้ฮ่องเต้ นี่ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณจากราชวังประทานให้แก่ตระกูลอันลูกในฐานะพี่สาวจะมิดื่มอวยพรได้อย่างไรล่ะเจ้าค่ะ”
อันก่วงเหนิงมองอันหรูอี้ด้วยความปลาบปลื้ม “เช่นนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องดื่มให้หมดจอก”
คราวนี้อันหรูอี้ไม่ได้ปฏิเสธ
อันหรูอี้หันไปมองหวังเสวี่ยเฟิงที่กำลังยิ้มแย้มยกจอกสุราที่กำลังนิ่งค้างไปชั่วขณะมุมปากที่ถูกดึงขึ้นจนเห็นรอยย่นที่หางตาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เย็นชาออกมาแทน
“หรูอี้ในเมื่อร่างกายเจ้าไม่ดี เหตุใดต้องดื่มให้หมดจอก? หลิงหลงเป็นน้องสาวของเจ้า หากจอกสุรานี้ทำให้ร่างกายของพี่สาวเจ็บป่วยขึ้นมาอีกเกรงว่าอันหลิงหลงคงจะไม่สบายใจเป็นแน่”
อันก่วงเหนิงหัวเราะอย่างเบิกบาน “มิต้องกล่าวอันใดให้มากความ เพื่อหลิงหลงในจวนของข้า ดื่มจอกนี้ให้หมด!”
อันหรูอี้เผยรอยยิ้มเยาะยกจอกขึ้นมาจรดริมฝีปาก แต่เพียงจิบเบา ๆ ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น
เมื่องวางจอกลงบนโต๊ะอันก่วงเหนิงก็อดที่จะกล่าวถึงความดีของอันหลิงหลงไม่ได้ “การคัดเลือกสนมเข้าวังหลวงนั้นยากลำบากทุกขั้นตอน หลิงหลงสามารถผ่านการคัดเลือกได้ นี่แสดงให้เห็นว่านางมีทั้งคุณสมบัติและคุณธรรมที่เพียบพร้อม เสวี่ยเฟิงหลายปีมานี้เจ้าลำบากมากแล้ว”
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” หวังเสวี่ยเฟิงยิ้มจนเห็นฟันครบทุกซี่ “ข้าสั่งสอนอันหลิงหลงได้ก็เพราะท่านพี่ อันหลิงหลงเด็กคนนั้นเพียงได้ความเฉลียวฉลาดจากท่านถึงสามส่วน จึงได้กลายเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนี้”
อันก่วงเหนิงมักชื่นชอบคำกล่าวเช่นนี้ ยิ่งได้ฟังราวว่าตัวของเขากำลังจะลอย อันก่วงเหนิงยื่นมือไปวางบนมือของหวังเสวี่ยเฟิง “หลายปีมานี้การดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายในจวน ก็ต้องขอบคุณเจ้าเช่นกัน”
พอคำกล่าวนี้หลุดมา ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารต่างก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มอย่างเย็นชาออกมา
อนุเซียวไม่ต้องการให้หวังเสวี่ยเฟิงโดดเด่นเพียงผู้เดียว จึงรีบยกจอกเข้าไปอวยพรด้วยถ้อยคำประจบสอพลอ จนผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่างฟังแล้วรู้สึกขนลุก
อันหรูอี้ตั้งแต่ต้นจนจบเพียงนั่งเงียบ ๆ เอ่ยคำอวยพรเล็กน้อย ไม่ได้สนใจสิ่งใด แล้วผู้ใดจะมาสนใจเล่าว่าภายใต้ใบหน้านั้นจะซ่อนความรู้สึกเช่นไรไว้
ในที่สุดอันก่วงเหนิงก็ถูกประคองตัวกลับห้องโดยมีหวังเสวี่ยเฟิงคอยปรนิบัติอย่างใกล้ชิด ทำให้อนุเซียวโกรธจัดจนเดินจากไป ส่วนอนุหลี่ก็จูงอันหนิงจากไปด้วยเช่นกัน อันหรูอี้จ้องมองไปยังโต๊ะที่ว่างเปล่าหลังเลิกงานเลี้ยง พร้อมพูดกับเถาหงด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า “ความหลอกลวงบนโต๊ะอาหารนี้ เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่?”
เถาหงพยักหน้า นางเองก็รู้สึกเบื่อเต็มทน “มีแต่นายท่านผู้เดียวเท่านั้นที่มีความสุข ฮึ!ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นถึงขุนนางใหญ่เช่นนี้กลับลืมง่ายเสียจริง…”
“พอแล้ว” อันหรูอี้เอ่ยอย่างแผ่วเบา “ต่อให้เขาชอบหลอกตัวเองแค่ไหน สุดท้ายเขาก็ยังเป็นบิดาของข้ามิใช่หรือ?”
เถาหงแลบลิ้นอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะพยุงอันหรูอี้เดินกลับไปยังเรือนเหมันต์พลางพูดไปด้วยว่า “วันนี้ก็เหนื่อยแล้ว คุณหนูพวกเราจะยังแกล้งป่วยอยู่หรือไม่”
อันหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง มองโคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่บนหลังคาระเบียงทางเดินเข้าไปเรือนข้างหน้าทั้งมืดมิดอ้างว้าง มีเพียงแสงจากโคมไฟเหล่านี้เท่านั้นที่คอยส่องแสงสว่าง
อันหรูอี้ถอนหายใจอย่างแผ่วเบามองไปที่เถาหง สีหน้าลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “เถาหง…หากข้าบอกว่า… ข้าอยากไปจากจวนแห่งนี้ เจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือไม่?”
เถาหงประหลาดใจเล็กน้อย จ้องมองอันหรูอี้เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “คุณหนูวางใจได้ ตั้งแต่เด็กเถาหงเคยเร่ร่อนอยู่ข้างนอกย่อมรู้ว่าจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร ไม่ว่าคุณหนูจะไปที่ใด ข้าจะตามคุณหนูไปเสมอ!”
อันหรูอี้เม้มริมฝีปากหันกลับมาสวมกอดเถาหงอย่างอ่อนโยน เอาศีรษะของตนซบไหล่ของนาง “มีพวกเจ้าอยู่… มันช่างดีจริง ๆ ”
เรื่องออกจากจวนอันหรูอี้เพียงพูดไปเท่านั้น บิดาของนางยังอยู่จะจากไปไกลได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังรู้สึกผิดหวังต่ออันก่วงเหนิงอย่างมากและยังกังวลกับการแก้แค้นของอันหลิงหลง แต่หากไม่ถึงคราวคับขันนางก็ไม่อยากจากสถานที่ที่มารดาใช้ชีวิตอยู่
หากนางมีนิสัยเหมือนอันหนิง… บางทีนางอาจจะทำเรื่องเช่นนี้ได้แต่น่าเสียดายที่นางไม่ใช่
…
เช้าวันรุ่งขึ้นในวังหลวง
ในตำหนักคุนหนิงซึ่งเป็นตำหนักของฮองเฮา เหล่านางกำนัลและพระสนมต่างเข้าเฝ้า เหลียงเยว่ก้าวเดินไปยังที่นั่งตำแหน่งของฮองเฮาทีละก้าว ในขณะที่สวีเจิ้งที่มียศเป็นกุ้ยเฟยกลับนั่งลงก่อนแล้ว
แม่ทัพใหญ่เจิ้นเยวี่ยนได้เคยช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ก่อนขึ้นครองราชย์ มีคุณูปการอันใหญ่หลวง แม้แต่ซ่งจื่ออานที่ขึ้นครองราชย์แล้วก็ยังต้องเกรงใจแม่ทัพใหญ่ผู้นี้
ครั้งนี้ทุกคนต่างพากันลุกขึ้นรับเสด็จ มีเพียงสวีเจิ้งเท่านั้นที่ยังนั่งนิ่ง นางเพียงหัวเราะออกมาอย่างสง่างามว่า “ฮองเฮาเสด็จมาช้า พวกเราพี่น้องรออยู่นานแล้วนะ”
ในตอนนี้สวีเจิ้งสวมชุดคือจีนปักลายดอกไม้ ผมถูกรวบเป็นมวยเดียวดูโดดเด่นอยู่ทามกลางชุดที่หรูหราของคนรอบข้างแล้วช่างดูขัดแย้งอย่างยิ่ง
ฮองเฮาเห็นสายตาของทุกคนมองไปที่สวีเจิ้งด้วยสีหน้าไม่ดี จึงเอ่ยปากว่า “วันนี้ชุดของกุ้ยเฟยสวีเหมาะสมหรือไม่?”
สวีเจิ้งเผยรอยยิ้มเย็นจาง ๆ “ชุดนี้ของข้า เป็นฝ่าบาทพระราชทานให้ การที่ข้าสวมใส่ก็เพื่อแสดงถึงความสำคัญที่ข้ามีต่อพี่น้องทั้งหลาย จะว่าไม่เหมาะสมได้อย่างไร?”
หลังจากที่เข้าวังมาได้สองวันก็ได้เห็นฮองเฮากับกุ้ยเฟยมักจะต่อสู้กันด้วยวาจา รอยยิ้มของทั้งสองแม้จะงดงามแต่กลับแฝงไปด้วยความเย็นชา
อันหลิงหลงมองไปยังสวีเจิ้งเและเหลิงเยว่สลับกันแต่สุดท้ายสายตาก็หยุดลงที่เหลิงเยว่
ถึงแม้ว่าตระกูลเหลิงจะเป็นศัตรูกับตระกูลอัน แต่ฮองเฮาก็ยังคงเป็นฮองเฮา