หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 27 พิธีคัดเลือกสนม
บทที่ 27 พิธีคัดเลือกสนม
บทที่ 27 พิธีคัดเลือกสนม
หลังจากที่ได้ยินซ่งจื่ออานเอ่ยออกมาเช่นนั้นฮองเฮาก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างลึกซึ้ง นางรู้ดีว่าตระกูลเหลิงของนางและตระกูลอันอัครมหาเสนาบดีเป็นศัตรูกันมาเนินนานและซ่งจื่ออานต้องการจะสร้างความสมดุลในราชสำนัก
ฮองเฮาพาซ่งจื่อานถึงภาพวาดสนมคนสุดท้าย แม้ในใจจะไม่ชอบใจนักแต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของ ‘ฮองเฮาผู้มีพระทัยกว้าง’ ก็จำต้องเอ่ยชม “ฝ่าบาท… นี่คือบุตรสาวคนที่สองของจวนอัครมหาเสนาบดี อันหลิงหลงนางมีคุรสมบัติที่เหมาะสม เข้าใจขนบธรรมเนียมในวังเป็นอย่างดี แม้ว่ามือของนางจะมีตำหนิจากรอยแผลแต่ก็มิได้ปัญหาอันใด”
อันหลิงหลงไม่รู้ว่าติดสินบนจิตรกรไปเท่าไหร่ ถึงได้วาดภาพนางออกมาได้งดงามราวกับเทพธิดาเช่นนี้ มีนิ้วมือเรียวสวย เอวบางราวกับกิ่งหลิว ใบหน้าก็อ่อนหวานงดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม
แต่น่าเสียดายที่ซ่งจื่ออานเคยพบนางด้วยตนเอง สายตาของเขาจึงแสดงความดูแคลนออกมาเล็กน้อย “สายตาของขุนนางกรมพิธีการช่างแย่เสียจริง เรื่องการรับสินบนในศาลาว่าการเฟิงเทียนควรต้องจัดการอย่างจริงจังแล้วกระมัง”
“ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
“เราหมายความว่า…” ซ่งจื่ออานเงียบไปครู่หนึ่ง “เราจะไม่ไปงานคัดเลือกสนม ฮองเฮาคัดเลือกสนมจากที่เจ้ากล่าวมาเมื่อจครู่ก็พอแล้ว มิต้องมาถามเราอีก”
“ฝ่าบาทแต่นี่…คงไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม”ฮองเฮายื่นมือออกไปจับมือซ่งจื่ออานแล้วเอ่ยออกมาเบา ๆ
ซ่งจื่ออานขมวดคิ้ว “คำพูดของเราก็คือธรรมเนียม ทำตามนั้นได้เลยหากฮองเฮาไม่มีอันใดจะกล่าวแล้วก็เชิญออกไปเถิด!”
ฮองเฮาเหลิงเยว่เป็นบุตรสาวจากตระกูลเหลิงนอกจากนั้นยังเป็นตระกูลขุนนางที่มีสตรีขึ้นเป็นฮองเฮาถึงสามพระนาง ส่งผลทำให้ตระกูลเหลิงมีรากฐานในราชสำนักที่มั่นคงและมีอำนาจมาก แม้ว่าภายนอกเหลิงเยว่จะดูราวกับเป็นสตรีที่มีจิตใจงดงาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นนางก็เป็นสตรีที่เติบโตมาทามกลางผู้มีอำนาจจึงทำให้นิสัยที่แท้จริงของนางเป็นคนที่ดื้อรั้นและหยิ่งยะโส
ซ่งจื่ออานย่อมรู้นิสัยของนางดีแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ซ้ำตัวเขายังปฎิบัติต่อนางอย่างห่างเหินแต่ก็ไม่เคยหักหาญน้ำใจนางแม้แต่น้อย แต่เมื่อครู่ซ่งจื่ออานกลับลืมตัวเผลอกล่าวถ้อยคำรุนแรงออกไป
การคัดเลือกสนมเป็นหน้าที่ของฮองเฮาโดยตรง หากฮ่องเต้ไม่พึงพอใจสนมที่ได้รับการคัดเลือกก็ถือเป็นการตำหนิฮองเฮาโดยทางอ้อมด้วย
สวีเจิ้งยิ้มกรุมกริ่ม “วันนี้เป็นวันคัดเลือกสนมฝ่าบาทควรให้เกียรติท่านพี่หม่อมฉันที่ทรงตรากตรำจัดการเถิดเพคะ ทรงเสด็จไปชมการคัดเลือกเสียหน่อย มิเช่นนั้นท่านพี่จะทรงเอาพระพักตร์ไว้ไหนละเพคะ”
ซ่งจื่ออานยืดตัวเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมกริบจ้องมองสวีเจิ้ง “เจ้าดูใส่ใจนางเสียจริง ถึงกลับมาเชิญข้าด้วยตนเองเช่นนี้”
สวีเจิ้งหัวเราะเสียงดังลุกขึ้นยืนดึงมือเขาเดินออก “แน่สิเพคะ! นางเป็นถึงฮองเฮาก็เปรียบเสมือนพี่สาวหม่อมฉันนะเพคะ”
ซ่งจื่ออานยิ้มมุมปากโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ปล่อยให้สวีเจิ้งจูงมือเขามาถึงตำหนักชิงหลานซึ่งเป็นตำหนักข้างของฮองเฮาที่ใช้เป็นสถานที่คัดเลือกสนมและใช้เป็นที่ประทับของพระสนม‘ฉีซิวอี้’ โดยเฉพาะ
ยังไม่ทันถึงหน้าประตูตำหนักบรรดานางกำนัลและขันทีต่างคุกเข่าเป็นแถวขนานกัน เสียงหัวเราะของสวีเจิ้งไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อยดึง
ซ่งจื่ออานเดินเข้าไปในตำหนัก
สตรีงามยืนเรียงกันเป็นสี่แถวสตรีทุกนางล้วนมีความงามที่แตกต่างกันบางก็ดูอ่อนหวาน บางก็ดูสง่า ช่างงดงามตระการตาไปหมดเหลิงเยว่มองดูแล้วภายในใจของนางก็เต็มไปด้วยความคับแค้นใจแต่ก็ฝืนยิ้มเอาไว้ ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากเรียกนางกำนัล เหลิงเยว่ก็เงยหน้าขึ้นกะทันหันพลางเห็นสวีเจิ้งกำลังดึงซ่งจื่ออานเดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็พลันแข็งค้างไปทันที
ในการคัดเลือกสนมใหม่เข้าวังในวันนี้จะต้องมีทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาเข้าร่วมพิธีทั้งคู่ แต่ทว่าในตอนแรกกลับมีฮองเฮาที่ประทับอยู่ที่นี่แต่กลับไร้เงาของฮ่องเต้ แต่เพียงไม่นานฮ่องเจ้กลับถูกพระสนมองค์หนึ่งจูงแขนให้เข้าร่วมพิธี สถานการณ์เช่นนี้หมายความว่าอย่างไนกัน?
สาวงามทั้งหลายต่างเบิกตากว้างมองพวกเขา สายตาที่มองไปยังฮองเฮานั้นดูแปลกประหลาดไปในทันที ส่วนเซี่ยเหิงมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารอยู่หลายส่วน
วันคัดเลือกนางสนมเช่นนี้กลับถูกสวีเจิ้งทำตัวโด่ดเด่นเหนือตนเองเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางสนมที่เข้าวังมาใหม่จะต้องไปเอาใจฮองเฮาแต่คงจะเปลี่ยนไปเป็นกุ้ยเฟยผู้นี้เสียมากกว่า
แต่ซ่งจื่ออานก็ไม่ได้ตั้งใจจะรักษาหน้าของเหลิงเยว่อยู่แล้ว เมื่อเข้ามาในตำหนักก็ปล่อยมือของสวีเจิ้งทันที ซ่งจื่ออานในชุดมังกรสีเหลืองอำพัน ผมมวยสูง ร่างสูงใหญ่ เดินตรงมาข้างหน้าหลานเยว่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ขอบใจฮองเฮาที่เหน็ดเหนื่อย ฮองเฮาเลือกได้แล้วหรือยัง?”
หลานเยว่ขบริมฝีปากเบา ๆ ชุดฮองเฮาสีแดงเข้มลากยาวเป็นกลีบริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตาเป็นประกายยิ้มหวานราวกับได้รับรางวัลใหญ่ กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ฝ่าบาท เป็นสตรีที่เราทั้งสองคัดเลือกไว้ครั้งก่อนเพคะ”
การคัดเลือกสนมกลับกลายเป็นว่าฮ่องเต้และฮองเฮาตกลงกันไว้ก่อนแล้ว?
ทุกคนต่างสงสัยใคร่รู้ว่าฮ่องเต้หนุ่มรูปงามผู้นี้พึงพอใจสตรีใดกันแน่ แต่ทว่ากลับมีเพียงอันหลิงหลงเท่านั้นที่ใบหน้าเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น มองไปที่ซ่งจื่ออานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
เป็นเขานี่เอง! กลับเป็นบุรุษที่เจอกันวันนั้น!
หวนนึกถึงการพบกันโดยบังเอิญบนถนน อันหลิงหลงก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ทันใดนั้นภาพที่ซ่งจื่อานมอบเครื่องประดับนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวรอยของอันหลิงหลงก็พลันชะงักในทันที
ซ่งจื่ออานไม่ได้สนใจสายตาจับจ้องของบรรดาสาวงาท หลังจากพูดคุยกับเหลิงเยว่สองสามประโยคก็ปล่อยให้นางประกาศรายชื่อ ส่วนสวีเจิ้ง สีหน้ายังคงเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา ดูเหมือนว่าการที่ฮ่องเต้จะสนิทสนมกับนางหรือไม่นั้น ไม่ได้มีความสำคัญสำหรับนางเลย
เหลิงเยว่กวาดตามองทุกคนอย่างรวดเร็ว ด้วยท่าทางที่มั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วตรัสกับนางกำนัลอาวุโสเซิงเสวี่ยว่า “อ่านเถิด”
เซิงเสวี่ยพยักหน้า หยิบรายชื่อที่เตรียมไว้แล้วขึ้นมาอ่านทีละคำว่า “อันหลิงหลงจวนอัครมหาเสนาบดีเลื่อนขั้น จิ้งเย่วจิ้นจวนขุนนางเลื่อนขั้น…”
ในเมื่อตกลงกันไว้แล้ว ซ่งจื่ออานแม้จะเบื่อหน่ายแต่ก็ต้องนั่งฟังจนจบ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฮองเฮารอบคอบเช่นนี้ เราก็เบาใจได้ เรานึกขึ้นได้ว่ายังมีฎีกาที่ยังไม่ได้อ่าน เรื่องที่เหลือเจ้าจัดการให้เรียบร้อยก็แล้วกัน ส่วนเจ้ากุ้ยเฟยก็อยู่ช่วยฮองเฮาเขาด้วย”
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปทางด้านหลัง โดยไม่สนใจท่าทางตะลึงงันของเหลิงเยว่และสีหน้าครุ่นคิดของสวีเจิ้งเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นซ่งจื่ออานเสด็จจากไป บรรดาสาวงามที่เพิ่งเข้าวังต่างก็พากันชะเง้อคอมองตามแผ่นหลังของฮ่องเต้ พวกนางแต่งตัวกันอย่างวิจิตรบรรจงตั้งแต่เช้าหวังจะได้อวดโฉมต่อหน้าฝ่าบาท แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เห็นหน้าฮ่องเต้ชัด ๆ แม้แต่น้อยผู้ใดบ้างจะมิผิดหวังเล่า?
อันหลิงหลงบิดผ้าเช็ดหน้าอย่างแรงสายตาหม่นลงราวกับมีพายุใหญ่ที่กำลังจะโหมกระหน่ำ
หลายคนที่ถูกเรียกชื่อต่างก็คารวะขอบคุณตามลำดับ แม้ว่าคนด้านในจะไม่พอใจแต่ก็รู้ว่ากฎระเบียบในวังนั้นเข้มงวด จึงบ่นอย่างโกรธเคืองสองสามประโยคแล้วก็จากไปตามลำดับ
ฮองเฮารับการคารวะของสนมอย่างผ่าน ๆ พลางเอ่ยว่า “วันนี้พวกเจ้าก็เหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเข้าเฝ้าข้าอีกที ข้ายังมีอีกสองสามประโยคที่อยากจะเตือนพวกเจ้า ข้าหวังว่าทุกคนจะอยู่ร่วมกันราวกับเป็นพี่น้องอยู่อย่างสงบสุข ส่วนจะทำอย่างไรนั้น ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็คงเข้าใจดี”
ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมักจะกล่าวสั้น ๆ เช่นนี้เสมอ
อันหลิงหลงสูดหายใจลึก สายตามองไปยังชุดคลุมสีเหลืองทองที่ค่อยๆ หายลับไปไม่ว่าอย่างไร ซ่งจื่ออานก็มอบหมายให้ฮองเฮาดูแลเรื่องทั้งหมดในวังหลัง
เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผูกมิตรกับฮองเฮาองค์นี้
…
หลังจากการคัดเลือกสาวงาม ในที่สุดข่าวดีก็มาถึงจวนเสนาบดี หลังจากส่งขันทีในวังกลับไปแล้ว อันก่วงเหนิงก็สั่งให้แจกจ่ายรางวัลให้กับคนในจวนอย่างเอิกเกริก
นาน ๆ อัครมหาเสนาบดีจะมีความสุขเช่นนี้ จึงสั่งให้คนจัดโต๊ะเลี้ยงในตอนค่ำ แม้จะเรียกว่าจัดงานเลี้ยงแต่ก็เป็นเพียงแค่ทานข้าวร่วมกันของคนในครอบครัวเท่านั้นเอง
อันหรูอี้เองก็ดีใจเช่นกัน ในเมื่อไม่มีอันหลิงหลงอยู่ในจวนแล้วต่อให้หวังซื่อจะอาละวาดแค่ไหน ก็ทำอะไรนางไม่ได้
เมื่ออันหรูอี้มีความสุขสาวใช้ในเรือนเหมันต์ก็มีความสุขไปด้วยเช่นกัน
เถาหงหยิบชุดกระโปรงสีแดงอ่อนมาทาบกับตัวอันหรูอี้ ดวงตาเป็นประกาย “ในที่สุดก็กำจัดตัวอันตรายออกไปได้แล้ว คุณหนู… ชุดนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ดูรื่นเริงพอรึยังเจ้าคะ?”
“…” อันหรูอี้มองชุดสีแดงสดปักลายดอกไม้สีเขียวที่หวังซื่อซื้อให้เมื่อปีที่แล้ว พลันมุมปากกระตุกเล็กน้อย “ช่างเถิด ข้าเลือกเองดีกว่า”