หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 26 สวีเจิ้ง บุตรสาวของแม่ทัพ
บทที่ 26 สวีเจิ้ง บุตรสาวของแม่ทัพ
บทที่ 26 สวีเจิ้ง บุตรสาวของแม่ทัพ
“คุณหนูรองลอบพบบุรุษในห้องงั้นหรือ?! เหตุใดจึงมาค้นที่เรือน คุณหนูใหญ่ได้ล่ะ?”
“จะเป็นอย่างอื่นได้เช่นไรเล่า?” บ่าวคนหนึ่งหัวเราะเย็นชา “เรื่องนี้ชัดเจนมิใช่หรือ? ถูกจับได้แล้ว แต่มิมีผู้ใดยอมรับผิดก็เลยมาใส่ความกล่าวหากันน่ะสิ”
หวังเสวี่ยเฟิงรู้ถึงสถานการณ์ไม่ดี เมื่อเสียงผู้คนรอบข้างดังขึ้นเรื่อย ๆ และขยายวงกว้างออกไป เรื่องครั้งก่อนยังไม่ทันจาง นางเพิ่งเรียกความเชื่อใจมาจากอันก่วงเหนิงได้อย่างยากลำบาก ครั้งนี้นางมาจับผิดอันหรูอี้แต่ไร้หลักฐานเช่นนี้ หากเรื่องนี้ไปถึงหูอนุเซียวและอันก่วงเหนิงอีก คราวนี้ตำแหน่งของนางคงจะตกต่ำจริง ๆ
“เดี๋ยวก่อน!” หวังเสวี่ยเฟิงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับจับมืออันหรูอี้ “หรูอี้ เจ้าดูสิ ป้าแค่ล้อเล่นกับเจ้าเอง เหตุใดเจ้าถึงจริงจังนักเล่า?”
ท่าทีของหวังเสวี่ยเฟิงเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนในเรือนเหมันต์ต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ยอย่างเย็นชา พวกเขายิ่งเชื่อการคาดเดาของตนเองเมื่อครู่มากขึ้นไปอีก หวังเสวี่ยเฟิงเป็นสตรีที่ร้ายกาจแต่กลับไม่ฉลาดเท่าไรนัก
อันหรูอี้สะบัดมือนางออก “หืม? ข้าคิดว่ามิใช่เช่นนั้น เพียงล้อเล่นแต่กลับพาบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วย?”
หวังเสวี่ยเฟิงหัวเราะแห้ง ๆ ขบฟันจนกรามแทบแตก แต่ก็ยังต้องแสร้งทำดี “หรูอี้ ยามวิกาลเช่นนี้เจอผีร้ายง่ายยิ่งนัก พาคนมามากมายเช่นนี้ ย่อมปลอดภัยกว่ามิใช่หรือ”
“อ๋อ เป็นเช่นนี้” อันหรูอี้หันข้าง หลุบตามองด้วยแววตาเย้ยหยันพูดอย่างดูแคลนเล็กน้อย “เช่นนั้น เชิญ!”
คำว่า ‘เช่นนั้นเชิญ’ ที่หวังเสวี่ยเิฟงได้ยิน ราวกับเป็นคำว่า ‘เช่นนั้นไสสหัวไป’ นิ้วมือจิกลงไปบนฝ่ามือ หวังเสวี่ยเฟงกวาดสายตามองคนในเรือนเหมันต์ที่อยู่ในเหตุการณ์ราวกับกำลังดูเรื่องสนุก แล้วตะโกนเสียงเข้ม “เหตุใดยังยืนโง่อยู่อีก! มิเห็นรึว่าคุณหนูใหญ่กำลังบอกให้พวกเราออกไปด้วยตนเอง!”
แม้ในเวลาเช่นนี้หวังเสวี่ยเฟิงก็ยังจะมาปากเก่ง ทุกคนมองพวกนางเดินจากไปอย่างสมเพช หลังจากที่บ่าวรับใช้คนสุดท้ายเพิ่งก้าวเท้าออกไป อันหรูอี้ก็ปิดประตูเรือนเสียงดัง ‘ปัง!’
หลังจากสิ้นเสียงประตู ภายในเรือนเหมันต์ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุด
การถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมากลางดึกนั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก แต่ครั้นได้เห็นละครที่ดีเยี่ยมเช่นนี้แล้ว จะไม่ให้พวกเขารู้สึกขบขันได้อย่างไร
หวังเสวี่ยเฟิงกลับไปที่เรือนไม้ไผ่ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ อันหลิงหลงก็รอคอยอยู่ในเรือนพักใหญ่แล้ว นางคิดว่ามารดาจะกลับมาพร้อมกับชัยชนะ ถึงกับสั่งให้คนเตรียมสุราและอาหารไว้คอยต้อนรับ
แต่ในที่สุด สุราและอาหารมื้อนี้ก็กลายเป็นเศษอาหารบนพื้น สุราและอาหารบางส่วนเปรอะเปื้อนไปตามร่างสาวรับใช้ พวกนางต่างหมอบจนใบหน้าแทบจะฝังเข้าไปในพื้น ร่างกายที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ลมหายใจพวกนางก็มยังไม่กล้าให้มีเสียง
“จับตาดูอันหรูอี้ไว้!” หวังเสี่ยวเฟิงบอกข้ารับใช้ กำหมัดแน่นทุบโต๊ะ “จับตาดูมันให้ดี หากครั้งนี้ฆ่านางไม่ตาย ข้าหวังเสวี่ยเฟิง… ยอมตายไปเป็นผีร้ายเสียดีกว่า!”
…
อีกด้านหนึ่ง ซ่งจื่ออานที่จากไปด้วยความขุ่นเคือง แต่ในใจกับรู้สึกประหลาดราวกับมีทั้งความขมขื่นทั้งความหวานปนกันอยู่ในอก ความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังโกรธแต่แฝงไปด้วยความประชดประชันราวกับเด็กที่ถูกขัดใจ เขาย่างก้าวออกจากเรือนเหมันต์ด้วยความรู้สึกไม่ยอมแพ้
เมื่อครั้งแรกที่พบกันชั่วขณะเขาเห็นอันหรูอี้มีท่าทีเผลอใจให้ตน แต่เหตุใดจึงปฏิเสธอย่างไม่มีทางกลับหลังเช่นนี้? เขาคิดหาเหตุผลตรงนี้คิดทบทวนกี่คราก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ยังหาคำตอบไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้นทุกวัน
เซี่ยเหิงอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี เมื่อเห็นสภาพของเขาที่เป็นเช่นนี้ ก็อดขำไม่ได้
นี่มิใช่อาการของผู้ที่ผิดหวังในความรักหรอกหรือ?
เมื่อฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดี… บรรยากาศในวังช่วงนี้ย่อมไม่ดีตามไปด้วย โดยเฉพาะทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องการคัดเลือกคัดสนม
วันก่อน ฮองเฮาเข้ามาหารือเกี่ยวกับการคัดเลือกสนม นางกล่าวถึงระเบียบวิธีการต่าง ๆ ว่าทุกอย่างได้เตรียมการไว้พร้อมอยู่แล้ว แต่แท้จริงแล้วฮองเฮาเพียงต้องการใช้เวลากับฮ่องเต้ให้นานขึ้น จึงได้พูดคุยกันอย่างละเอียดและนานกว่าปกติ ทำให้ฮ่องเต้ซึ่งไม่เคยหงุดหงิดต่อหน้าฮองเฮา ถึงกับโมโหขึ้นมา
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เซี่ยเหิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับฮองเฮาอยู่เงียบ ๆ
ขณะนั้นเอง สตรีงดงามนางหนึ่งก็เดินเข้ามาจากด้านนอกตำหนักเฟยซวง นางแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนเรียบง่ายแต่สง่างามแฝงไปด้วยความองอาจ
กระโปรงลายดอกเฮยถังมีเมฆมงคลสีฟ้าอ่อนล้อมรอบ แขนเสื้อกว้างเข็มขัดหยกและผ้าคลุมไหล่ที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุม แต่บุคลิกของนางกลับดูสง่าผ่าเผย ต่างหูรูปพระจันทร์และปิ่นปักผมเมฆหมอกนอกจากดูไม่เทอะทะแต่กลับเสริมความสง่างามดูมีชีวิตชีวาให้นางมากขึ้น
นางคือสวีเจิ้ง บุตรสาวของแม่ทัพสวีเยวี่ยนนางเข้าวังมาได้สามปี แต่ก็ยังคงความงามของบุตรสาวของนักรบไม่เสื่อมคลาย บุคลิกอุปนิสัยเด็ดเดี่ยว แม้แต่เซี่ยเหิงก็อดชื่นชมไม่ได้
ทว่าในสายตาของเซี่ยเหิง สวีเจิ้งมีภูมิหลังตระกูลที่ดี แม้นางจะมีนิสัยเด็ดเดี่ยว แต่กลับอ่อนโยนต่อฮ่องเต้เพียงผู้เดียว เป็นสตรีที่กิริยามารยาทงามยิ่งกว่าอันหรูอี้ สำหรับเซี่ยเหิงเขาชื่นชมนางยิ่งกว่าอันหรูอี้เสียอีก
“ฝ่าบาท” สวีเจิ้งค้อมกายคำนับเล็กน้อย ยิ้มกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าเพคะ ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะมีความกังวลใจ แม้แต่ฮองเฮา ฮ่องเต้ยังทรงกริ้วต่อพระพักตร์นางเช่นนั้นได้ นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก”
ซ่งจื่ออานอึ้งงันไปชั่วขณะ นับตั้งแต่วันนั้นที่เขากลับมาจากเรือนอันหรูอี้ เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่เป็นปกติ แต่ผู้ที่กล้ากล่าวล้อเลียนเขาต่อหน้าเช่นนี้ นอกจากสวีเจิ้งแล้ว คงไม่มีผู้ใดอีก
“วันนั้นก็แค่…เรื่องราวในพระราชสำนักมันวุ่นวายเกินไป” ซ่งจื่ออานเก็บสีหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฮองเฮาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้อย่างเหมาะสม ข้าควรจะกล่าวขออภัยต่อนาง”
สวีเจิ้งนั่งลงข้าง ๆ ซ่งจื่ออานด้วยท่าทางอย่างสง่างาม เลื่อนหมอนรองแขนที่วางอยู่ข้างซ่งจื่ออานออกไป นางเพียงยิ้มบาง ๆ กล่าวว่า “แต่หม่อมฉันได้ยินมา มิเป็นเช่นนั้นนะเพคะ ได้ยินว่าฝ่าบาทไม่ทรงพอพระทัยบรรดาสตรีที่ถวายตัวเป็นนางสนมใช่หรือไม่เพคะ”
ซ่งจื่ออานเลิกคิ้ว “ข้าไม่พอใจนางสนมงั้นหรือ”
“มิใช่หรือเพคะ” สวีเจิ้งหัวเราะเบา ๆ อย่างงดงาม “วันนั้นฮองเฮาทรงคัดเลือกภาพเหมือนของสตรีงามจากแต่ละตระกูลมาถวายฝ่าบาทก่อนกำหนด ฝ่าบาทยังทรงจำได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นไร?”
ซ่งจื่ออานพยายามนึกทวน แต่เมื่อนึกออกแล้วก็อดรู้สึกอับอายไม่ได้…
ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ซีจิ้นทรงคัดเลือกสตรีเข้าวังโดยพิจารณาจากตระกูล คุณธรรม และรูปโฉม แต่ในอาณาจักรอันกว้างใหญ่สตรีที่มีคุณสมบัติเช่นนี้มีอยู่มากมาย เพียงแค่สตรีจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงก็มีจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ฝ่าบาทจะทรงจดจำพวกนางได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดมานานแล้วในราชวงศ์ซีจิ้นที่ให้ฮองเฮาคัดเลือกสตรีจำนวนหนึ่งมาให้ฝ่าบาททอดพระเนตรก่อน ฮองเฮาก็เพียงแต่ปฏิบัติตามธรรมเนียมเท่านั้น นางคงใช้เวลานานพอสมควรในการคัดเลือกภาพวาดเหล่านั้น
แต่เขาตอบกลับไปอย่างไรในตอนนั้น ซ่งจื่ออานครุ่นคิดแล้วมุมปากก็กระตุกขึ้นทันที
ก่อนหน้านี้ ตระกูลของฮองเฮาก่อเรื่อง ต่อมาอันหรูอี้ก็ปฏิเสธที่จะเข้าวัง อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดีอยู่แล้ว เมื่อฮองเฮานำภาพวาดมา ขันทีและนางกำนัลถือภาพวาดยืนเรียงกันเป็นแถว เขาเพียงมองผ่าน ๆ ก็เห็นทั้งสตรีที่งดงามและอัปลักษณ์ปะปนกันอยู่หนึ่งสองคน
แต่นี่คือความจำใจของฝ่าบาท ไม่ว่าจะงามหรืออัปลักษณ์ บางคนเขาจำเป็นต้องรับเข้ามา ในขณะที่คนที่เขาต้องการที่สุดกลับปฏิเสธเขา…
ฮองเฮากลับพูดอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ได้สังเกตเห็นอันใด “สตรีผู้นี้เป็นบุตรสาวของขุนนางมณฑลเจียงโจวหน้าตางดงามยิ่งนัก อีกทั้งยังมีจิตใจที่ซื่อตรง ฝ่าบาทว่าอย่างไร”
ซ่งจื่ออานเหลือบมองเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสตรีผู้นี้ด้อยกว่าอันหรูอี้ถึงสิบส่วนจึงมองผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ
ฮองเฮากล่าวต่อ “ผู้นี้เป็นบุตรสาวของแม่ทัพส่างกวน ถึงแม้พรสวรรค์ด้านวรรณกรรมจะมิได้โดดเด่น แต่กลยุทธ์การรบพอใช้ได้”
ซ่งจื่ออานเอ่ยเสียงเย็นชา “สนมต้องคอยปรนนิบัติในวัง หากต้องการเป็นแม่ทัพหญิงก็ให้นางไปสอบที่กรมกลาโหมดีกว่ากระมัง”
ฮองเฮาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถึงคนต่อไป “นี่คือบุตรสาวของเสวียนซื่อ*[1]เจิ้ง ตั้งแต่เยาว์วัยก็ได้ชื่อว่าเป็นสตรีผู้มีความสามารถ วรรณกรรมโดดเด่น ทั้งยังมีคุณธรรมอันดีงาม…”
คำกล่าวของฮองเฮายังไม่ทันจบก็ถูกซ่งจื่ออานขมวดคิ้วขัดจังหวะ “จวนของอัครมหาเสนาบดีที่ใหญ่โตถึงเพียงนั้น กลับไม่มีบุตรีสักคนได้รับเลือกงั้นรึ?”
[1] เสวียนซื่อ เป็นขุนนางที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้