หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 25 จับได้คาหนังคาเขา
บทที่ 25 จับได้คาหนังคาเขา
บทที่ 25 จับได้คาหนังคาเขา
ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเอ่ยกับเขาเช่นนี้มาก่อน
แต่คำเอ่ยของสตรีผู้นี้ น้ำเสียงราวกับเต็มไปด้วยเจ็บปวดและสิ้นหวังที่ไม่อาจบรรยายได้ เขาจึงไม่อาจกล้ากล่าวโทษนางแม้แต่น้อย
นางได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ความดื้อรั้นจะหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้อยู่ต่อไปได้ แต่ร่างกายที่บอบช้ำไม่อาจเยียวยาให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีกแล้ว
ตั้งแต่โบราณกาลวังหลวงก็เปรียบเสมือนสมรภูมิแห่งการช่วงชิงอำนาจและแย่งชิงผลประโยชน์ ส่วนวังหลังเป็นสุสานที่เข้าไปแล้วออกยากยิ่งนัก นางไม่ได้เข้มแข็งถึงเพียงนั้น นางเพิ่งหนีรอดมาจากสุสานหนึ่งไม่ทันไรก็ต้องถูกลากเข้าไปพัวพันในอีกสุสานหนึ่งงั้นหรือ
แต่ตำแหน่งซ่งจื่ออานกลับมิได้ขยับเขยื้อน ฮ่องเต้ผู้ทรงอำนาจเช่นเขามีชีวิตที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างสุขสบายและได้รับความรักใคร่มาแต่วัยเยาว์จะเข้าใจความทุกข์ระทมของนางได้อย่างไร?
อันหรูอี้ไม่ได้มองเขาอีก นางหันหลังกลับวางสมุดภาพบนชั้นหนังสือ ค่อย ๆ เปิดหน้าต่างโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ผ่านไปสักพักซ่งจื่ออานจึงกล่าว “เจ้าเป็นบุตรสาวคนโตของอัครมหาเสนาบดี เพียงแค่เจ้าเต็มใจเข้าวังจะได้เป็นพระสนม เจ้าจะได้ปกครองตำหนักของตนเอง มิใช่จะสุขสบายกว่าอยู่ที่นี่หรือ?”
อันหรูอี้หัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง หันหน้ากลับมามองเขา แววตาของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองคิ้วขมวดงดงามจนน่าหลงใหล เห็นได้ชัดว่านางมีหลายสิ่งที่อยากจะกล่าวออกมา แต่สุดท้ายเพียงข่มความรู้สึกเหล่านั้นลงไป หลงเหลือไว้เพียงสายตาที่เย็นชา “อาจเป็นเช่นนั้น”
ซ่งจื่ออานจะพลาดความรู้สึกภายในใจของนางที่เผยออกมาในแววตาของนางได้อย่างไร? ความขบขันและผิดหวังในชั่วพริบตานั้น ช่างชัดเจนยิ่งนัก
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดน้ำเสียงขุ่นเคือง “หรูอี้ พระราชวังซีจิ้นมิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
อันหรูอี้เปล่งเสียง ‘โอ้’ ออกมาราวกับสื่อความหมายบางอย่าง นางอยากถามเขาเหลือเกินว่าแตกต่างจริง ๆ หรือแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเช่นบิดาของนาง
ในวังหลังจะมีอันใดให้แตกต่างกันเล่า? ยังคงเป็นเรื่องเดิม ๆ นางเบื่อหน่ายกับความลับอันซับซ้อนมืดมิดในวังหลัง และนางก็ไม่เหมือนกับเหล่าอนุในจวนนี้ที่เต็มใจยินยอมแบ่งปันบุรุษตนให้กับสตรีนางอื่น ๆ
อันหรูอี้มองเขา แท้จริงแล้วความชอบอันบริสุทธิ์ของเขาทำให้หัวใจของนางหวั่นไหวยิ่งนัก แต่สำหรับนางซ่งจื่ออานยังเยาว์วัยนัก ไม่เคยผ่านความเป็นความตายมาก่อน เขาไม่อาจเข้าใจความเหนื่อยล้าในใจของนางได้เลย
ถึงแม้อันหรูอี้จะไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา แต่ซ่งจื่ออานกลับรู้สึกขุ่นเคืองนางขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล เขาเป็นถึงฮ่องเต้ยอมลดตัวลงมาหานางที่นี่บ่อย ๆ แต่นางกลับไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังคงความเย็นชาและสร้างระยะห่างอยู่เสมอ
ฮ่องเต้ผู้นี้ จะเคยพบพานสตรีเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?
“ฝ่าบาท” ทันใดนั้นอันหรูอี้ก็คุกเข่าลงตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่และจริงใจว่า “หม่อมฉันจำได้ว่าคราก่อนหม่อมฉันเคยกล่าวกับฝ่าบาทไปว่า หม่อมฉันไร้ซึ่งความปรารถนาในวังหลัง หม่อมฉันเพียงแค่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเงียบสงบ ขอฝ่าบาทโปรดอนุญาตด้วยเถิดเพคะ”
ซ่งจื่ออานนึกถึงของขวัญที่ตนเองเคยมอบให้นาง ก็อดไม่ได้ที่จะถามเสียงเบาว่า “แต่เจ้ารับของข้าไปแล้ว บุตรสาวตระกูลใหญ่เช่นเจ้า มีเหตุผลใดที่จะรับของจากผู้อื่นโดยมิได้ให้สิ่งใดตอบแทนเล่า?”
เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของนางเอง แต่อันหรูอี้ก็คิดคำพูดเอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่นางรู้ตัวตนของเขา “หม่อมฉันใจร้อน ขาดความยับยั้งชั่งใจ หากฝ่าบาทมิถือสา หม่อมฉันขอมอบของชิ้นนี้ให้กับน้องสาวคนที่สองของหม่อมฉัน หม่อมฉันคิดว่านางคงจะยินดีรับอย่างแน่นอนเพค่ะ”
ซ่งจื่ออานเบิกตากว้าง กำหมัดแน่น “เอ่ยอีกครั้งสิ!”
อันหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง หน้ามนเริ่มมีเหงื่อผุดแต่ก็ไม่สนใจความโกรธของซ่งจื่ออาน นางยกมือประสานกันก้มคำนับไปกับพื้นอีกครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนอีกครั้ง “ขอฝ่าบาทโปรดอนุญาตด้วยเถิดเพคะ”
เมื่อเห็นนางเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ซ่งจื่ออานแทบไม่อยากคาดเดาถึงความรู้สึกที่มีอยู่ในใจนาง แต่ความรู้สึกของเขากำลังแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น แม้แต่ความโกรธราวกับไฟบรรลัยกัลป์ก็ต้องถูกกลืนกลับลงไป
ท่าทีของอันหรูอี้ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แท้จริงแล้ว… ข้ออ้างที่นางกล่าวออกมา คำปฏิเสธทั้งหมดที่นางเอ่ยล้วนเป็นสองคำนี้สินะ… ‘ไม่รัก’
“…เจ้าเป็นสตรีที่ล้ำค่า” ซ่งจื่ออานเดินไปที่หน้าต่าง แล้วหันกลับมามองนางอีกครั้ง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาเพียงประโยคเดียวว่า “รักษาตัวให้หายดี ไม่มีผู้ใดจะบังคับเจ้าเข้าร่วมการคัดเลือกสนม”
อันหรูอี้เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ กลับเห็นเพียงบานหน้าต่างที่เปิดกว้าง ยามราตรีที่เมฆดำหนาบดบังแสงจันทร์สาดส่องลงมา แต่บนกำแพงสูงกลับปรากฏเงาดำร่างหนึ่งพลิ้วไหวราวกับสายลม ก่อนจะหายวับไปในพริบตา
ราวกับว่าดวงตาคมรูปหงส์ที่เต็มไปด้วยความผิดหวังที่นางสบเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงภาพลวงตาที่แวบผ่านไปในชั่วพริบตา…
หลังจากตะลึงอยู่นาน อันหรูอี้จึงค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินมาข้างเตียงที่มีร่างของหลิวลวี่หลับลึก มุมปากเผยรอยยิ้มที่อิ่มเอมใจไม่รู้ว่านางกำลังฝันถึงสิ่งใดอยู่ อันหรูก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
“เจ้าเด็กโง่…” อันหรูอี้จัดผ้าห่มให้นางอย่างเบามือ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้ คุณหนูของเจ้าตกใจจนเกือบเป็นลมไปแล้ว…”
ยังไม่ทันจบประโยคก็ได้ยินเสียงประตูใหญ่ของลานถูกผลักเปิดออกอย่างแรง อันหรูอี้ตกใจแต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น “อันหรูอี้ เจ้าเป็นถึงบุตรสาวแห่งจวนอัครมหาเสนาบดี แต่กลับกล้าลักลอบนัดบุรุษในห้องหับเชียวรึ คราวนี้ข้าจะจับให้ได้คาหนังคาเขา ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะ…”
แม้แต่ประตูห้องหับเปิดออก หลิวลวี่ก็ยังไม่รู้สึกตัว อันหรูอี้ยืนอยู่ข้าง ๆ อยู่ในชุดนอนที่เรียบร้อย มองหวังเสวี่ยเฟิงที่กำลังกล่าวอย่างสงบนิ่ง
แท้จริงแล้วหวังเสวี่ยเฟิงนำยาสลบมาด้วย ตั้งใจจะขังทั้งคู่ไว้ในห้อง ข้างกายของหวังเสวี่ยเฟิงยังมีข้ารับใช้อีกหลายคน แต่ไม่คิดว่าพอเปิดประตูเข้ามากลับไร้เงาบุรุษ!
อันหรูอี้เดินมาข้างหน้าหวังเสวี่ยเฟิงที่ยืนอึ้งอยู่ ไม่กล่าวสิ่งใดเพียงแค่หัวเราะเย็นชา ก่อนจะตบหน้าสาวใช้ข้างกายหวังเสวี่ยเฟิงฉาดใหญ่หลายที
“เจ้า!” หวังเสวี่ยเฟิงโกรธจัด
อันหรูอี้ไม่รอให้นางพูดจบ “ยามวิกาลเช่นนี้กลับกล้าบุกเข้ามาในห้องหับคุณหนูใหญ่ของจวน ข้าว่าพวกเจ้าคงมิอยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่! จวนหลังนี้ช่างไร้ระเบียบเสียจริง!”
หวังเสวี่ยเฟิงขมวดคิ้วด้วยความโกรธ “บังอาจหยาบคาย! หากมิใช่เพราะเจ้าลอบพบบุรุษ พวกข้าจะมาจับเจ้าคาหนังคาเขา!”
“จับคาหนังคาเขางั้นหรือ… ดียิ่งนัก!”
อันหรูอี้ขยับตัวไปด้านข้างเล็กน้อย สายตาเย็นชากวาดไล่มองพวกนาง
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้ามา! ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะหาเรื่อง งั้นเรามาทำให้เรื่องมันใหญ่โตไปเลย! ยามค่ำคืนแบบนี้มีบุรุษแปลกหน้าลอบเข้ามาในจวน มิรู้ว่าจะไปลักลอบพบกับคุณหนูคนไหน ทางที่ดีที่สุดคือต้องตรวจค้นให้สะอาดหมดจด! แล้วเราก็ไปฟ้องท่านพ่อกับฮ่องเต้! พวกเจ้า เข้ามาเลย!”
หวังเสวี่ยเฟิงใบหน้าซีดเผือด นางลืมไปเสียสนิทว่าอันหลิงหลงยังอยู่ในจวน หากเวลานี้มีข่าวลือใด ๆ เกิดขึ้นภายในจวนตระกูลอัน อันหลิงหลงจะรอดพ้นได้อย่างไร!
“มิเข้ามางั้นรึ?” แววตาดุร้ายของอันหรูฉายออกมาทันที “พวกเจ้าไม่เข้ามา งั้นข้าจะช่วยค้นให้เอง! เจ้าวางใจได้ คุณหนูใหญ่เช่นข้าจะลากตัวบุรุษผู้นั้นออกมาให้พวกเจ้าจงได้! มิใช่แค่นั้น ข้าจะไปตามท่านพ่อมาเป็นพยานบัดเดี๋ยวนี้!”
ดียิ่งนัก! หากเรื่องมีวุ่นวายเช่นนี้นางก็ไม่ต้องเข้าวังไปคัดเลือกแล้ว คืนนี้นางอึดอัดมามากพอแล้ว ในเมื่ออยากจะก่อปัญหากันนัก! เช่นนั้นมาดูกันว่าผู้ใดเป็นฝ่ายทนไม่ได้!
หวังเสวี่ยเฟิงตกใจจนงงงวย อันหรูอี้กลับเดินออกจากประตูเรือนไปแล้ว เรื่องนี้ข้ารับใช้ในเรือนเหมันต์ทั้งหมดก็ทยอยเดินออกมา มองอย่างประหลาดใจที่หวังเสวี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ บุกมาในเรือนของคุณใหญ่ยามวิกาลเช่นนี้
“นี่…เกิดอันใดขึ้นอีกแล้ว?”
“ดูก็รู้ว่าฮูหยินรองกำลังหาเรื่องคุณหนูอีกแล้วน่ะสิ นางมิชอบเห็นความสงบในจวนนี้หรอก”
“น่าสงสารคุณหนูใหญ่จริง ๆ ถูกนางใส่ร้ายป้ายสีอยู่เรื่อยเลย!”
อันหรูอี้หัวเราะเสียงดังมองไปที่หวังเสวี่ยเฟิงที่หน้าตาเปลี่ยนสี “เหตุใดพวกเจ้ายังยืนงงกันอยู่? มิใช่ว่ามีบุรุษวิ่งออกมาจากห้องคุณหนูรองแล้วหรอกหรือ? ข้ารับใช้ในเรือนเหมันต์ช่วยกันคนหาบัดเดี๋ยวนี้!”
หวังเสวี่ยเฟิงโมโหจนตัวสั่น “อันหรูอี้!”
“อย่างไร?” อันหรูอี้กวาดตามองสาวใช้ที่ข้างกายหวังสวี่เฟิงสองสามคน “พวกเจ้ามิได้กำลังตามหาบุรุษอยู่หรอกหรือ?”
บรรดาสาวรับใช้ที่ถูกอันหรูอี้ทำให้ตกใจเมื่อครู่ ถึงกับพยักหน้างุนงง ผู้คนในเรือนเหมันต์ก็ส่งเสียงฮือฮา…