หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 24 หลอกตัวเอง
บทที่ 24 หลอกตัวเอง
บทที่ 24 หลอกตัวเอง
กริชกรีดผ่านไหล่ของบุรุษผู้นั้น ทำให้แขนที่ถูกจับก่อนหน้านี้เป็นอิสระ อันหรูอี้ไม่ได้โจมตีต่อแต่ใช้ผ้าห่มคลุมตัวเองเอาไว้พร้อมกับจ่อมีดสั้นไปที่ชายคนนั้น
“โจรชั่ว! ต่ำช้า!” อันหรูอี้ด่าทออย่างโกรธแค้นดวงตาแดงก่ำ “ผู้ใดส่งเจ้ามา เป็นอันหลิงหลงใช่หรือไม่! หรือว่าหวังเสวี่ยเฟิง? เถาหงกับหลิวลวี่ล่ะ! เจ้าทำอันใดพวกนาง?!”
อันหรูอี้ที่เพิ่งตื่นขึ้นมารู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่รุมเร้าดั่งหนอนในกระดูก ภาพชีวิตก่อนที่ถูกปล่อยให้อดตายแทบจะกลายเป็นความแค้นที่ฝังลึกที่สุดในใจนาง
ราวกับผู้ใดก็ตามที่มาสัมผัสจะติดเชื้อความแค้นนี้!
มือที่ถือกรีชสั่นเทาเล็กน้อย อันหรูอี้ตกใจหวาดกลัวจนน้ำตาไหล แต่ความเกลียดชังในดวงตาก็ฉายชัดเจนขึ้นไปด้วย
บุรุษแปลกหน้าผู้นั้นกลับยืนนิ่งเงียบในความมืด อันหรูอี้ตะโกนด้วยความกล้า “บุกเข้ามาในห้องสตรียามกลางค่ำคืนเช่นนี้ ทำเรื่องน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ เจ้ายังมีสำนึกอยู่หรือไม่! สัตว์เดรัจฉานยิ่งนัก เจ้ามิกลัวสวรรค์ลงโทษงั้นรึ?!”
ซ่งจื่ออานมีสีหน้าเคร่งขรึมขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เป็นข้า”
“ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นผู้ใด!” อันหรูอี้ไม่มีใจจะถามชื่อเขา “เถาหงหลิวลวี่อยู่ที่ใด? เจ้าทำอันใดพวกนาง!”
ซ่งจื่ออานฝึกวรยุทธมาตั้งแต่เด็ก แม้ในความมืดสายตาเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ายามปกติเลย ถึงแม้ตอนนี้อันหรูอี้จะซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด เขาก็ยังเห็นความเกลียดชังและความกลัวที่ฝังลึกในดวงตาของนาง และก็เหมือนที่นางพูดเมื่อครู่… ความรังเกียจ
ซ่งจื่ออานสูดหายใจลึกหันตัวไปที่เชิงเทียน หยิบไม้ขีดไฟที่วางอยู่ข้าง ๆ แล้วจุดเทียน
เมื่อเปลวเทียนส่องสว่าง เงาร่างของหนุ่มน้อยผู้สง่างามก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด อารมณ์รุนแรงของอันหรูอี้ชะงักไปชั่วขณะ แต่นางก็ยังคงกำกริชสั้นไว้แน่น สายตาจ้องมองไปยังซ่งจื่ออานด้วยสีหน้าที่มีความรู้สึกบางอย่างเพิ่มเติมเข้ามา
ความผิดหวัง… หรือไม่ก็ความโกรธแค้น…
“เป็นข้าเอง” ซ่งจื่ออานถือเทียนเข้ามาใกล้ตัวนั่งลงข้างเตียงเขายิ้มมุมปาก “เจ้าวางใจได้ ข้ามิได้มีเจตนาร้าย ข้าคือ…”
อันหรูอี้แสดงสีหน้าเยาะหยัน ไม่รอให้เขากล่าวชื่อของตนเองจบก็พูดอย่างดูแคลนว่า “ข้าเคยคิดว่าคุณชายเป็นคนที่เข้าใจกฎเกณฑ์ แต่ตอนนี้ ดูเหมือนท่านก็เป็นแค่บุรุษมากตัณหา! ไร้ยางอายสิ้นดี!”
ซ่งจื่ออานหรี่ตาลงแล้วหัวเราะเบา ๆ “เจ้ามิอยากรู้หรือว่าข้ามาที่นี่เพราะเหตุใด? และข้าเป็นผู้ใด?”
“ข้ามิสนว่าท่านจะเป็นใคร!” อันหรูอี้หัวเราะเย็นชาพร้อมโยนกริชลงบนผ้าห่ม “ต่อให้ท่านเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดินนี้แล้วอย่างไร? ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงเท่าไหร่ยิ่งต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ การกระทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ผู้คนดูถูกเหยียดหยาม!”
นี่เป็นการด่าอย่างชัดเจน
ซ่งจื่ออานก้มหน้ายกมือขึ้นมาปิดหน้าผากตัวเองไว้ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยราวกับกลั้นอารมณ์บางอย่างเอาไว้ อันหรูอี้ไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็ไม่กล้าบีบคั้นมากเกินไปจึงเอ่ยว่า “ที่นี่คือจวนของอัครมหาเสนาบดี ขอให้คุณชายโปรดสำรวมด้วย… สาวใช้ของข้าล่ะ? พวกนางเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซ่งจื่ออานเงยหน้าขึ้นมองไปยังสตรีที่ใบหน้าซีดเซียวอีกครั้ง แต่บางทีอาจเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป ใบหน้าของนางจึงกลับมีสีเลือดขึ้นมาอีก ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ซ่งจื่ออานมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอดขำไม่ได้อีกครั้ง
เส้นเลือดที่ขมับของอันหรูอี้กระตุก “…ท่านหัวเราะพอหรือยัง!”
“ขะ ขออภัย ที่จริงแล้ว…หลายปีแล้วที่ไม่มีผู้ใดด่าข้า” ซ่งจื่ออานพยายามที่จะหยุดหัวเราะก่อนกระแอมเสียงหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าวางใจได้ พวกนางมิได้เป็นอันใด เพียงแต่ถูกทำให้หลับไปเท่านั้น”
ถูกด่าแล้วดีใจ? เขาชอบถูกด่างั้นรึ?
อันหรูอี้กลอกตามองบนอารมณ์ที่พลุ่งพล่านก่อนนี้ค่อย ๆ สงบลง ทันใดนั้นนางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา “ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน?”
ซ่งจื่ออานย่อมไม่มองข้ามท่าทางเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง เพียงรู้สึกว่าท่าทางที่ไร้กิริยาที่สุภาพ ท่าทางที่กำลังโกรธเคืองนั้น สำหรับเขามันยังดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก ดวงตาเรียวยาวราวกับหงส์ของซ่งจื่ออานพราวระยับฉายแววซุกซน เขายิ้มพลางกล่าวว่า “พอได้แล้ว เจ้าใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเถิด ข้ารอเจ้าอยู่ข้างนอก”
อันหรูอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตัวเองกลับเห็นไหล่ครึ่งหนึ่งเปลือยอยู่นอกร่มผ้า!
“อ้ะ!” อันหรูอี้ร้องเสียงดัง ไม่สามารถควบคุมสายตาของตนเองได้จริง ๆ หยิบกริชขึ้นมาอีกครั้งแล้วชี้ไปที่เขา “ออกไป!”
ซ่งจื่ออานยิ้มพลางพยักหน้ารับ ไม่ใส่ใจกับการกระทำที่ถือว่าเป็นการปองร้ายต่อฮ่องเต้ สะบัดแขนเสื้ออย่างสง่างาม ก้าวเดินออกไปอย่างเชื่องช้าทั้งงดงามและน่าเกรงขาม
อันหรูอี้มุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าภายใต้แสงเทียนที่ริบหรี่ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ทับลงไป ผูกเป็นปมตายก่อนจะเดินออกไป
ด้านนอกแสงจันทร์สว่างไสวไม่จำเป็นต้องใช้แสงตะเกียงส่องสว่างก็สามารถมองเห็นเงาบุรุษที่สง่างามใต้แสงพระจันทร์นั้นได้
ซ่งจื่ออานกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ มือของเขากำลังพลิกอ่านสมุดภาพที่อันหรูอี้ใช้แก้เบื่อยามว่างในช่วงกลางวัน ภายในสมุดภาพยังซ่อนสมุดภาพขนาดเล็ก…
เห็นซ่งจื่ออานดูเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ อันหรูอี้รู้สึกอับอายขึ้นมาทันที รีบไปฉวยสมุดภาพมากอดไว้ในอ้อมกอด พลางมองเขาด้วยท่าทีระแวดระวัง “ก็แค่ของไว้แก้เบื่อเท่านั้น… คุณชายพูดมาเถิด แท้จริงแล้วท่านมาที่นี่เพื่ออันใดกัน!”
ซ่งจื่ออานเห็นนางสวมเสื้อผ้าอย่างมิดชิด ก่อนจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง แล้วถามว่า “อาการของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“เหตุใดท่านถึงถามเรื่องนี้” อันหรูอี้เอ่ยถามหยั่งเชิง “ท่านต้องการจะถามเรื่องใดโปรดกล่าวออกมามาตรง ๆ เถิด”
“ได้” ซ่งจื่ออานจ้องมองดวงตาของนาง แล้วพูดออกมาตรง ๆ “เจ้ามิได้เข้าร่วมการคัดเลือกสนมรอบแรกเพราะเจ้าป่วยเข้าใจได้ แต่รอบคัดเลือกซ้ำเจ้าจะไปเข้าร่วมหรือไม่”
รายชื่อผู้เข้าประกวดสาวงามรอบแรกนั้น ต้องได้รับการรายงานจากศาลากลางเฟิ่งเทียนและกรมพิธีการไปยังราชสำนัก โดยผ่านมือขันทีทั้งหมด แต่เห็นชัดเจนว่าซ่งจื่ออานต้องไม่ใช่ขันที สีหน้าของอันหรูอี้ก็ค่อย ๆ เคร่งขรึม แต่ไม่นานก็ฉายแววราวกับสิ้นหวังฉายบนใบหน้า
แท้จริงแล้วเขาคือฮ่องเต้สินะ… แต่การอยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ท่ามกลางสัตว์ร้าย นางไม่อยากเข้าไปพัวพันกับวังวนที่ลึกลงไปเช่นนั้นอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาไม่ได้เปิดเผยฐานะของตนเอง อันหรูอี้ก็จะไม่แสดงความเคารพตามกฎระเบียบ เพราะไม่เป็นผลดีทั้งต่อตัวนางเองและต่อเขา
ก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งได้ด่าเขาไปอย่างหนัก หากตอนนี้นางยอมรับ มิใช่เป็นการยืนยันว่าข้าตั้งใจทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?
ดังนั้น อันหรูอี้จึงวางหนังสือลงมองเขาด้วยท่าทีเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ท่านก็เห็นแล้วข้าอ่อนแอ ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและตกสระน้ำในจวน เป็นคนอัปมงคลมิควรจะเข้าร่วมการคัดเลือกสนมหรอก”
ซ่งจื่ออานขมวดคิ้ว “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงตัวเองเช่นนั้น อีกอย่าง…”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งคิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออก พลางยกแขนตัวเองขึ้นมา แล้วหัวเราะกล่าวว่า “สตรี ‘อ่อนแอ’ ยังสามารถจับข้าไว้และทำให้บาดเจ็บได้ นี่มันดูไร้เหตุผลไปหน่อยหรือไม่?”
อันหรูอี้สีหน้าเรียบเฉย “เป็นเพราะสถานการณ์คับขันเท่านั้น”
“หมอหลวงบอกว่าอาการของเจ้ากำเริบอยู่เสมอ” ซ่งจื่ออานหัวเราะน้อยลง “โจวฟูเป็นหมอที่มีฝีมือดีที่สุดในเมืองหลวง เขารักษาอาการตกน้ำในวังมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เจ้ากำลังตั้งใจทำร้ายตัวเองใช่หรือไม่?”
“…ท่านคิดมากไปแล้ว?” อันหรูอี้หันหลังเดินไปมองโคมหกเหลี่ยมหลังม่านนั้น ดูเหมือนจะขบขันเล็กน้อย “ผู้คนเกิดมาล้วนแตกต่างกัน ข้าเกิดมาก็มีร่างกายที่อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
ซ่งจื่ออานก้าวไปข้างหนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็ยืนขวางหน้านาง เอื้อมมือออกไปเพื่อจะประคองอันหรูอี้ แต่นางกลับเคลื่อนกายหลบเบา ๆ
ช่งจื่ออานชักมือที่ว่างเปล่ากลับ น้ำเสียงทุ้มต่ำลง “เจ้าแค่กำลังหลีกเลี่ยงการคัดเลือกสนม เพราะเหตุใดหรือ?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าซ่งจื่ออานจะต้องหาคำตอบให้ได้
เป็นเรื่องที่ชวนให้นางหงุดหงิดใจยิ่งนัก หลังจากที่นางหนีมาได้อย่างยากลำบาก ทั้งแช่น้ำแข็ง สู้ลมหนาว หลายครั้งที่ถูกความร้อนจากไข้แผดเผาจนมึนงงแต่ก็ยังถูกบีบคั้นให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีก…
“ข้าเพียงแค่…” อันหรูอี้เงยหน้าขึ้นมองบุรุษรูปงามตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดในใจยิ่งนัก “…เบื่อหน่ายกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวังหลวง อยากใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิตเพียงเท่านั้นเอง…”
ซ่งจื่ออานรู้สึกหนักอึ้งในใจ “ในวังหลวง อาจมอบความสุขเช่นนั้นให้เจ้าได้…”
อันหรูอี้มองเขาอย่างเงียบ ๆ “ฝ่าบาท หลอกตนเองเช่นนั้นมีความสุขหรือไม่”