หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 23 การสำรวจห้องนอนในยามราตรี
บทที่ 23 การสำรวจห้องนอนในยามราตรี
บทที่ 23 การสำรวจห้องนอนในยามราตรี
น้ำท่วมที่มณฑลเหอหนานได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ในบรรดานักโทษที่ถูกนำตัวกลับมายังเมืองหลวงกลับไม่มีบุคคลที่ซ่งจื่ออัน เคยกล่าวไว้ว่า ‘สมควรตาย’ ปรากฏตัวอยู่ด้วย
บุคคลผู้นี้มีนามว่า ‘เหลิงเฉวี่ยจง’ เป็นญาติของตระกูลเหลิงฝ่ายฮองเฮา แต่เดิมไม่ได้สำคัญอันใดนัก แต่เนื่องจากมีความสนิทสนมกับพี่ชายของฮองเฮาเป็นอย่างมาก จึงได้ยื่นฎีการ่วมกันเพื่อไว้ชีวิตให้แก่บุคคลผู้นี้
“เหอะ” ซ่งจื่ออานเดินไปตามถนนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกยิ่งกว่าอากาศที่หนาวเหน็บ “ซื่อสัตย์สุจริต กิริยาวาจาสง่างามงั้นหรือ! พวกเขาช่างคิดออกมาได้จริง ๆ!”
เซี่ยเหิงมองซ่งจื่ออานด้วยความอ่อนใจ ด้วยการที่ฮ่องเต้ยังวัยเยาว์จึงทำให้มีข้อจำกัดมากมาย ก็เพราะเช่นนี้เขาจึงมีนิสัยชอบออกนอกวังเป็นประจำ ตนเองก็จำต้องตามออกไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ซ่งจื่ออานรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก จึงเผยออกมาทางสีหน้า ผู้คนที่เดินสวนมารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งที่แผ่ออกมากจากตัวเขา ทำให้พวกเขาต่างพากันตกใจและหลบทางให้ทันที
เซี่ยเหิงเห็นดังนั้นก็ยิ่งกุมขมับ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทั้งสองเดินตรงเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ อย่างกะทันหัน คนที่กำลังสะกดรอยตามรีบตามเข้าไปทันที แต่กลับพบว่าเป็นทางตัน ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ใด
คนผู้นั้นเกาศีรษะด้วยความงุนงง รีบหันกลับไปและตรงไปยังจวนอัครมหาเสนาบดี เข้าไปในส่วนเรือนไม้ไผ่และโค้งคำนับสตรีสองคนหน้าฉากบังลม เอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “ฮูหยินใหญ่ คุณหนูรอง ข้ามีข่าวดีมาบอกขอรับ”
หวังเสวี่ยเฟิงกำลังจัดแจงปิ่นปักผมทองคำที่สั่งทำพิเศษ ได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “เจ้านี่ช่างไม่รู้จักระวังปากเอาเสียเลย ยังไม่รีบลุกขึ้นอีกกล่าวมาสิ เจ้าได้ยินข่าวดีอันใดมา”
“มิใช่ได้ยินขอรับ แต่ได้เห็นกับตาต่างหากขอรับ” ข้ารับใช้ชี้ไปทางเรือนเหมันต์ “บ่าวเห็นบรุษที่เคยอยู่กับคุณหนูใหญ่ในเมืองวันนั้นแล้วขอรับ”
สีหน้าหวังเสวี่ยเฟิงดีใจขึ้นมาทันที ส่วนอันหลิงหลงถึงกับลุกขึ้นยืนรีบเอ่ยถามบ่าวรับใช้อย่างตื่นเต้น “จริงหรือ! เขาอยู่ที่ใดหากเป็นเช่นนั้น เขามีความเกี่ยวข้องอันใดกับหญิงชั่วนั่น?!”
ข้ารับใช้งุนงงตอบอันใดไม่ถูก เขาเพียงแต่ตื่นเต้นอยากมาอวดความดีความชอบเท่านั้น แต่ที่พอถูกซักถามเช่นนี้ เขากลับไม่รู้ว่ากล่าวอย่างไร!
แต่หากบอกว่าตามจนหลงทาง ฮูหยินและคุณหนูต้องไม่ตกรางวัลให้เขาเป็นแน่ เผลอ ๆ เขาอาจโดนเฆี่ยนตีแทนด้วยซ้ำ เมื่อข้ารับใช้คิดไปคิดมาสักพักจึงตอบอย่างกำกวมว่า “มิได้เห็นอันใดชัดเจนขอรับ แต่ดูราวกับจะมุ่งหน้ามาทางนี้ขอรับ…”
พวกเขาทั้งสองก็มาทิศบูรพาเช่นกัน น่าจะถือว่ามิได้โกหกกระมัง…
ส่วนฮูหยินหวังเสวี่ยเฟิงและอันหลิงหลงชัดเจนว่าไม่ได้ใส่ใจอันใดนัก เพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา อันหลิงหลงกล่าวว่า “ช่างทำตัวชั้นต่ำไร้สกุลยิ่งนัก นางยังจะกล้าเอ่ยว่าตนมิได้ทำผิดงั้นรึ โดนข้าจับได้คาหนังคาเขาเสียแล้ว!”
ข้ารับใช้อึ้งไปครู่หนึ่ง…เพียงเดินมาทางเดียวกันเนี่ยนะ? นั่นนับเป็นหลักฐานให้จับผิดอันใดเล่า?
แม้หวังเสวี่ยเฟิงจะดีใจ แต่เห็นได้ชัดว่านางมีสติมากกว่าอันหลิงหลงที่กำลังควักถุงเงินโยนให้ข้ารับใช้ “ทำได้ดี เจ้าไปได้แล้ว”
ข้ารับใช้รับถุงเงินไปแล้ว เหตุใดจะต้องสนใจอันใดมากมาย รับถุงเงินเสร็จก็รีบเก็บแล้วจากไป
หลังจากที่บ่าวรับใช้จากไป หวังเสวี่ยเฟิงก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “หญิงต่ำช้าเช่นเจ้า ข้าจะดูว่าเจ้าล้มครั้งนี้จะลุกขึ้นได้อีกหรือไม่! ถึงข้าทำอันใดเจ้าไม่ได้ แต่ท่านอัครมหาเสนาบดีคงมิยอมให้เจ้าทำลายชื่อเสียงตระกูลแน่!”
อันหลิงหลงรู้สึกยินดีราวกับตนเองเป็นฝ่ายชนะแล้วจึงเอ่ยถามทันที “ท่านแม่ เราจะไปจับมันเมื่อใดเจ้าค่ะ!”
“มิต้องรีบ” หวังเสวี่เฟิงหัวเราะพลางตอบ “เราปล่อยให้นางอยู่ไปก่อนสักพัก ส่งคนไปคอยจับตาดูนางไว้ จับได้คาหนังคาเขาจึงจะได้ผล ถ้าไปตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ทันการ!”
อันหลิงหลงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เร่งเร้าอีก เพียงแต่มองไปยังเรือนเหมันต์ด้วยสายตาอาฆาตแค้น พอนึกถึงใบหน้าของอันหรูอี้ นางก็เต็มไปด้วยโกรธแค้น พลางมองไปมือที่ของตนเอง…
เพราะมือของนางเป็นเช่นนี้ชีวิตในวังหลวงช่างลำบาก เกินจะเอ่ยอันใดออกมาได้ ต่อให้นางเป็นบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีก็ทำอันใดไม่ได้ ซ้ำนางยังต้องยอมก้มหัวลดทิฐิของตนไปเอาอกเอาใจฮองเฮาอีก
ถ้าหากไม่มีอันหรูอี้ชีวิตนางจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร นางควรจะได้เข้าวังอย่าสง่าและสมเกียรติพระสนมของฮ่องเต้ เป็นผู้ที่ได้กุมอำนาจของวังหลังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเหลิงกุ้ยเฟยหรือฮองเฮาต่างก็ต้องหลีกทางให้นางทั้งสิ้น!
แต่ชีวิตของนางกลับไม่ได้เป็นอย่างที่นางปรารถนา ล้วนเป็นความผิดของอันหรูอี้เพียงผู้เดียว! เป็นความผิดของนาง!
ณ เรือนเหมันต์ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก อันหรูอี้สะดุ้งเฮือกด้วยความเหน็บหนาวที่ผิดแปลกราวกับสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตพยาบาทที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาตนเอง
เถาหงกลับคิดว่านางกำลังหวาดกลัวที่จะได้เข้าวังจึงรีบปลอบใจ “คุณหนูมิต้องกลัวอันใดนะเจ้าค่ะ ต่อให้ต้องพบเจอภัยอันตรายเพียงใด บ่าวทั้งสองผู้นี้ ก็จะอยู่เคียงข้างคุณหนูไปตลอดนะเจ้าค่ะ”
หลิวหวี่ก็กล่าวว่า “ใช่แล้วคุณหนู ท่านมิต้องกังวลอันใดนะเจ้าค่ะ อีกทั้งตอนนี้ท่านกำลังป่วยอยู่ มิสมควรจะไปคัดเลือกสนมอยู่แล้ว ข้ามิเชื่อหรอกนะเจ้าค่ะ ว่าผู้คนในวังหลวงจะมาฉุดคุณหนูเข้าวังราวกับโจรผู้ร้ายได้!”
อันหรูอี้ถึงกับหัวเราะออกมาทันใด “บอกพวกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้ระวังปากระวังคำ หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ข้าเกรงว่าปากของเจ้าจะนำภัยมาให้เร็ว ๆ นี้กระมัง”
จากนั้นเถาหงก็เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา “คุณหนู เรื่องนี้ท่านอย่าเพิ่งกระทำอันใดนะเจ้าค่ะ ท่านรอให้ข้าคิดหาวิธีดูก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น” อันหรูอี้มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ยามเย็น ไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง นางได้แต่ถอนหายใจ “ถ้าเช่นนั้น ก็พักผ่อนกันก่อนเถิด รุ่งขึ้นค่อยหาวิธี”
เรื่องนี้มาอย่างกะทันหันเกิดไป แม้แต่นางเองยังต้องการเวลาตั้งตัวสักหน่อยเช่นกัน
ทุกคนต่างถอนหายใจ… เถาหงและหลิวลวี่อยู่ปรนนิบัติคอยล้างหน้าล้างตาอันหรูอี้จนเสร็จ จากนั้นก็ถอยออกไปพร้อมกับปิดประตู โดยข้างนอกก็ยังคงเป็นหลิวลวี่ที่นอนเฝ้าอยู่ แต่ในขณะที่นางกำลังจะเข้าสู่ห้วง นิทรากลับมีเงาดำร่างหนึ่งใช้นิ้วสกัดจุดอย่างรวดเร็วทำให้หลับไปทันที ต่อให้มีผู้ใดตะโกนเรียกเสียงดัง นางก็ไร้การตอบสนองทั้งสิ้น
เซี่ยเหิงลูบจมูกเล็กน้อย พลางใช้วรยุทธเคลื่อนกายสกัดจุดบรรดาบ่าวรับใช้ในจวนทั้งหมด จากนั้นก็ถอยห่างเงียบ ๆ ออกจากเรือนเหมันต์ ยามนี้เขาต้องหลบหลีกให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้… เขายังไม่อยากเผชิญหน้ากับความโกรธของฮ่องเต้เท่าไรนัก
เป็นเช่นนั้น …ซ่งจื่ออานกำลังรู้สึกโกรธ
วันนี้เขารู้สึกโมโหจนแทบคลั่งจึงต้องออกจากวังเพื่อระงับความขุ่นเคืองภายในใจที่เขากำลังข่มกลั้นเอาไว้ ในระหว่างทางเขาจึงตัดสินใจมาเยี่ยมเยือนอันหรูอี้ที่จวน หากตนได้เห็นใบหน้าของสตรีที่ตนพึงพอใจอาจจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น แต่ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าจะมาได้ยินบทสนทนาที่ทำให้ความโกรธภายในใจของเขาปะทุออกมาทันที!
ม่านหน้าต่างค่อย ๆ เปิดออก ใบหน้าของซ่งจื่ออานเย็นชาราวกับน้ำแข็งฤดูเหมันต์ ดวงตาดุจแม่น้ำที่แน่นิ่งเสงัดในยามราตรี เขาก้าวเดินอ้อมฉากบังลมอย่างช้า ๆ มุ่งหน้าไปยังเตียงนอน
แขนเรียวขาวราวกับหยกโผล่พ้นผ้าห่มสีฟ้าเข้ม ร่างกายที่ผ่านการทรมานอย่างหนักเช่นนั้น แท้จริงแล้วกลับบอบยิ่งนัก แม้แต่ผ้าห่มผืนบาง ๆ ก็ดูหนักเกินร่างกายนี้จะรับไว้ใบหน้าที่งดงามกลับขาวซีดราวกับไร้โลหิตไหลเวียนในร่างกาย
ในห้องมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของถ่านไม้หลิว แต่ความเย็นยะเยือกของฤดูหนาวยังอบอวลไปทั่ว ๆ ห้อง ไฟถ่านเพียงน้อยนิดไม่อาจต้านความหนาวเย็นเช่นนี้ได้ แต่แขนของนางกับเผยออกจากผ้าที่ห่มร่างนางอยู่
…นางมิหนาวหรือ?
เมื่อเขาได้เผชิญเข้ากับใบหน้าด้านข้างที่กำลังหลับใหลในยามราตรี ความโกรธในใจของซ่งจื่ออานกลับสงบลงอย่างน่าประหลาดใจ
เมื่อเขาได้รับรู้นิสัยใจคอที่แท้จริงของอันก่วงเหนิงแล้ว หากเป็นเขาที่ยืนอยู่ในจุดที่นางอยู่ ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าเหตุใดอันหรูอี้ถึงไม่ต้องการเข้าวัง เมื่อพบบิดาที่เป็นเช่นนั้น นางถูกเลี้ยงดูอย่างผิด ๆ ถูกใส่ร้ายมาตั้งแต่เด็ก ซ้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากน้ำมือของแม่เลี้ยง แต่บิดาผู้ให้กำเนิดกลับเพียงแค่ลงโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงจะเป็นเช่นนั้น… แต่เขาก็ยังมิอาจเข้าใจนางได้
วังหลวงที่นางกล่าวถึงจะเป็นเหมือนกรงขังได้อย่างไร? แม้ที่นั่นอาจจะมีกฎระเบียบมากมาย แต่นางก็ยังสามารถเข้าออกได้ตามใจชอบมิใช่หรือ? แม้อาจจะต้องอยู่ในสงครามแย่งชิงอำนาจของเหล่าสนม แต่เขาก็สามารถปกป้องนางได้
นางยังไม่รู้ว่าเขาคือฮ่องเต้ แล้วเหตุใดจึงรู้ว่าชีวิตในวังจะลำบาก?
ซ่งจื่ออานเอื้อมมือไล่ไปตามเส้นผมที่ยาวสลวยของนางอย่างช้า ๆ ก่อนจะเคลื่อนมือไปใกล้ ๆ ใบหน้าของอันหรูอี้ นิ้วที่เรียวยาวของเขาสั่นเทาเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ วางบนแก้มของอันหรูอี้อย่างแผ่วเบา
ครั้งก่อนตอนที่ช่วยนางพันแผล ตนเองก็อยากทำแบบนี้แล้ว ซ่งจื่ออานหยักมุมปากเล็กน้อย หยุดมือค้างไว้ด้วยความคะนึงหา
อันหรูอี้ที่เพิ่งจะล้มตัวนอนลงไปไม่นานนัก ทำให้นางยังไม่หลับสนิทสักเพียงใด จู่ ๆ นางก็รู้สึกราวกับมีบางสิ่งกำลังคลานไปมาบนใบหน้าของนางราวกับงู จนทำให้หัวใจของหวาดหวั่น
ผู้ที่นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ กลับตอบสนองทันที อันหรูอี้ลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นนางพบว่ามีคนนั่งอยู่ข้างเตียง ลมหายใจแทบจะหยุดชะงักทันที
ราวกับชาติก่อนของนาง!
ชาติก่อนเพราะหวังเสวี่ยเฟิงจงใจใส่ร้ายนางให้เสื่อมเสียเกียรติของสตรีต่อหน้าบิดานาง ฉากนี้แตกต่างอันใดกับชาติก่อนของนางกัน!
อันหรูอี้กรีดร้องด้วยความตกใจ พร้อมชักกริชที่ซ่อนไว้ใต้หมอนออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเข้าไปแทงอย่างบ้าคลั่ง…