หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 22 ยอมโกนผมบวชเป็นแม่ชี
บทที่ 22 ยอมโกนผมบวชเป็นแม่ชี
บทที่ 22 ยอมโกนผมบวชเป็นแม่ชี
ภายในพระราชวัง ที่ตำหนักไท่เหอ เซี่ยเหิงกำลังรายงานทุกสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินตามความเป็นจริงทำให้มุมปากของซ่งจื่ออานกระตุกทันที
“เขากล่าวเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?” ซ่งจื่ออานรู้สึกยากที่จะเชื่อ ถึงอย่างไรอันก่วงเหนิงก็เป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก แต่คำกล่าวของเขาทำให้ซ่งจื่ออานประหลาดใจเล็กน้อย เพราะตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเป็นตำแหน่งขุนนางที่มีอิทธิพลน่าเกรงขามอยู่บ้างในราชสำนัก
เซี่ยเหิงเข้าใจความรู้สึกของซ่งจื่ออาน แต่ก็ยังพยักหน้า “ที่กระหม่อมกล่าวมิได้ตกหล่นแม้แต่คำเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออันขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว หากมีบิดาเช่นนี้ ก็ไม่ยากที่จะจินตนาการถึงความขัดแย้งในจวน และไม่ยากที่จะเข้าใจอันหรูอี้ว่าเหตุใดจึงมองเหล่าราชวงศ์และขุนนางในวังหลวงด้วยสายตาดูแคลน
อย่างไรก็ตาม…
“หากเขากล่าวเช่นนั้นจริง ๆ” ซ่งจื่ออานครุ่นคิด “ก็ถือเป็นเรื่องดี การออกจากสถานที่เช่นนั้นแล้วเข้ามาอยู่ในวังย่อมดีกว่า”
เซี่ยเหิงแอบกลอกตา ไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกมาทั้งสิ้น
สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้…
…
อันหลิงหลงกำลังจะเข้าวัง ก่อนเข้าวังยังต้องกลับจวนเพื่อเตรียมตัว มีเรื่องยุ่งยากมากมายนับไม่ถ้วน ซ้ำยังต้องคอยระวังไม่ให้มีข่าวลือที่ไม่ดีแพร่ออกไป ด้วยเหตุนี้อันหรูอี้จึงได้มีช่วงเวลาที่ดีในการพักผ่อนอย่างสบายใจอยู่หลายวัน
ส่วนถ้วยยาที่ใช้ปรับสมดุลร่างกายนั้น ก็ถูกเทลงไปในที่ที่ผู้อื่นมองไม่เห็น
เช้านี้ตอนหมอชรามาตรวจชีพจรกล่าวเป็นนัย ๆ กับนางว่าหวังเสวี่ยเฟิงมาหาเขา บอกเป็นนัยว่าเทียบยานั้นอาจมีปัญหาแต่อันหรูอี้กลับแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
หลังจากที่นางกินยาอาการของนางก็ค่อย ๆ ดีขึ้น อันหรูอี้พลางห่มผ้าคลุมไหล่ผืนหนา มองไปยังต้นดอกเหมยในลานที่กำลังผลิบานราวกับมีชีวิตชีวา ใบหน้าขาวราวหิมะค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมา
หากสักวันหนึ่งนาง ‘ตายด้วยโรคภัย’ ยังดีกว่าออกจากที่นี่ ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตภายภาคหน้าของอันหลิงหลงจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับแต่นี่เป็นความจริง
ตอนนี้นางมีอัครมหาเสนาบดีหนุนหลังอยู่ในจวน แต่ถ้าออกไปนอกจวนแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?
ต่อให้อันหลิงหลงไม่ได้เป็นพระสนมของฮ่องเต้ แต่ถ้าถูกพระราชทานให้เป็นชายาของเชื้อพระวงศ์องค์ใดองค์หนึ่ง นางก็ยังมีอำนาจไม่น้อยอยู่ในมือ หากเป็นเช่นนั้นต่อไปนางจะทำอย่างไรดี?
ส่วนบุรุษที่มีดวงตาราวกับหงส์ผู้นั้นเขาจะใช่…จริง ๆ หรือ?
ช่างเถิด… นางเคยกล่าวกับตนเองไว้แล้วชาตินี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชวงศ์หรืออำนาจใด ๆ อีก ขอเพียงบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งมีชีวิตเรียบง่ายย่อมดีกว่า เพียงคนผู้นั้นปฏิบัติต่อนางดีนางก็ไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกแล้ว
แม้จะต้องสละตำแหน่งบุตรสาวคนโตของตระกูลอัครมหาเสนาบดีไป แล้วอย่างไรเล่า นางรู้สึก…เบื่อหน่ายกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในจวนแห่งนี้เต็มทนแล้ว
“ท่านพี่” จู่ ๆ ก็มีร่างกายบางอย่างพุ่งเข้ามาในหู “ท่านมาดูดอกไม้เช่นกันหรือเจ้าค่ะ?”
อันหรูอี้ชะงักเล็กน้อย ในจวนนี้มีเพียงคนเดียวที่เรียกนางว่าพี่สาวได้อย่างตรงไปตรงมา นางหันหน้าหลังกลับไปยิ้มให้อันหลิงที่ยืนอยู่ข้างหลังนางเพียงลำพัง สวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินลายดอกไม้ ไหล่บางถูกคลุมด้วยผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์สีขาวปักลายด้วยดิ้นทอง ดูนุ่มฟูฟ่องน่าชังยิ่งนัก
นี่ถือเป็นน้องสาวที่ทำให้นางวางใจที่สุดแล้ว แม้แต่มารดาของนางอย่างอนุหลี่ก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ไม่แปลกที่อันหนิงจะไร้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้
“น้องสี่” อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ ยื่นมือไปปัดใบไม้ออกศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “สองวันก่อนมิเห็นเจ้าออกจากประตูเรือนเลย เหตุใดวันนี้จึงมีเวลาว่างได้เล่า”
อันหนิงยักไหล่ “ท่านพี่ยังมิรู้หรือ? ก็คนผู้นั้นในเรือนไม้ไผ่ วัน ๆ นางมิทำอันใดกล่าวอวดอ้างต่อหน้าพวกเรา ราวกับว่าการได้เข้าวังเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ข้ารำคาญยิ่งนัก”
อันหรูอี้หัวเราะจนน้ำตาแทบไหล พลางดึงนางมานั่งที่ศาลา อันหรูอี้ขยับตาทีหนึ่งก่อนจะเอ่ย “เจ้าน้องสาวโง่เอ๊ย อย่าพูดให้พวกนางได้ยินเชียวนะ มิเช่นนั้นเจ้าต้องเดือดร้อนแน่”
อันหนิงตกใจถูกอันหรูอี้ดึงนาง ก่อนหดคอพร้อมกวาดสายมองไปรอบ ๆ อย่างระแวง แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “ก็จริงนะท่านพี่ ครั้งก่อนข้าแค่บอกว่าดอกไม้ประดับผมของนางสีมันฉูดฉาดเกินไปเท่านั้นเอง นางกลับด่าว่าข้ามิรู้กฎเกณฑ์ เหอะ ข้าก็แค่ไม่ได้ประจบสอพลอนางเท่านั้นเอง!”
อันหนิงไร้เล่ห์เหลี่ยมจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในจวน ไม่เคยผูกใจเจ็บกับผู้ใด การที่นางจดเรื่องราวเช่นนี้ได้แสดงว่าอันหลิงหลงสร้างความเกลียดชังให้ผู้อื่นมากถึงเพียงใด
อันหรูอี้ถอนหายใจเล็กน้อย “ครั้งหน้าเจ้าพูดกับนางให้น้อยลงเถิด ยังไงนางก็มิใช่คนใจกว้างนัก”
“แต่ช่วงนี้นางอารมณ์ดีนะ เพียงแค่ด่าข้าเท่านั้น มิได้ทำอันใด”
พูดถึงตรงนี้ อันหนิงก็รู้สึกจนใจ “ท่านพี่ ข้ามิอยากออกเรือน”
“หือ?” อันหรูอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง “เหตุใดหรือ?”
อันหนิงถามกล่าวตอบ “เหตุใดสตรีจะต้องออกเรือนกับบุรุษด้วยล่ะเจ้าค่ะ? หากไร้บุรุษแล้วสตรีจะมีชีวิตอยู่มิได้หรือ?”
อันหรูอี้อ้าปากค้างเล็กน้อย นางเพิ่งคิดว่าตนออกเรือนกับบุรุษธรรมดาสักคนก็พอใจแล้ว ไม่คิดว่าที่นี่จะมีคนที่กล้าหาญยิ่งกว่า
“เอ่อ… กล่าวเช่นนั้นมิได้นะ” อันหรูอี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “สตรีทุกนางต้องออกเรือนกันทั้งสิ้น…”
อันหนิงมองนางด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “ข้ามิเชื่อว่าถ้าบุรุษกับสตรีมิได้ออกเรือนแล้วจะต้องตาย ท่านพ่อมีสตรีเคียงข้างมากมายแต่ข้าเห็นพวกนางไม่มีผู้ใดมีชีวิตที่มีความสุขเลย”
อันหรูอี้ชะงักไป
นางเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลขุนนางใหญ่ ตั้งแต่เด็กก็ได้รับการสั่งสอนว่าเมื่อบุรุษแต่งภรรยาและสตรีควรออกเรือน หากบุตรสาวตระกูลใดที่ออกเรือนไปได้ดีก็จะนำโชคลาภมาสู่ตระกูลเดิม…
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ จู่ ๆ อันหนิงก็กระโดดขึ้นมาทันใด “อ๊ะ ข้าลืมไปว่ายังต้มโจ๊กอยู่ในครัวเล็ก ท่านพี่เล่นผู้เดียวไปก่อนนะ ข้าขอตัวไปก่อนล่ะ”
“เอ๊ะ…” อันหรูอี้ยกมือกำลังจะห้าม
แต่เงาของอันหลิงก็หายไปราวกับกระต่ายที่กำลังกระโดดหนี ไม่กี่ก้าวก็หายไปจากสายตา นางค้างมืออยู่พักหนึ่งกว่าจะลดมือลง พลางคิดทบทวนคำกล่าวของอันหนิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สุดท้ายก็ได้ส่ายหน้า
หลักคำสอนที่ถูกอบรมสั่งสมมาสิบกว่าปี จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคำกล่าวไม่กี่คำได้อย่างไรกันเล่า
“อันหนิงผู้นี้ หึ” อันหรูอี้ลุกขึ้นยืน พลางมองดูดอกเหมยที่ทนทานต่อหิมะน้ำแข็งอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากศาลา “…ช่างเป็นคนที่แตกต่างจากผู้อื่นเสียจริง”
เมื่อนางกลับมาถึงเรือนของตน เถาหงและหลิวลวี่ก็รีบวิ่งมาต้อนรับ “คุณหนู! พวกข้ากำลังจะออกไปตามท่านอยู่เลย เหตุใดออกไปจึงมิบอกกล่าวสักคำเล่าเจ้าค่ะ!”
อันหรูอี้เลิกคิ้ว “กลัวอันใดกัน ยังไงวันนี้ในจวนก็ว่างเปล่าอยู่แล้ว หวังเสวี่ยเฟิงมิได้พาอันหลิงหลงออกไปจับจ่ายหรอกหรือ? แล้วจะมีผู้ใดมาหาเรื่องข้าได้อีกเล่า?”
เถาหงถอนหายใจยื่นถุงน้ำร้อนให้นาง “ถึงจะเป็นเช่นนั้น คุณหนูก็ยังป่วยอยู่ ต้องระวังตัวให้มาก ๆ นะเจ้าคะ”
“ข้าเพียงกินมื้อเย็นมากไปหน่อย เลยออกมาเดินย่อยเท่านั้นเอง จะกังวลอันใดกัน”
อันหรูอี้ไม่ใส่ใจ ค่อย ๆ เดินเข้าห้อง ผู้ใดจะคิดว่าเพิ่งจะก้าวเข้าประตู หลิวลวี่ก็รีบลงกลอนประตูทันที หลิวลวี่กับเถาหงก็รีบจับนางนั่งลงบนเก้าอี้นอน
“พวกเจ้า…” อันหรูอี้งุนงง
หลิวลวี่เอ่ยแทรกอย่างร้อนรน “คุณหนูแย่แล้วเจ้าค่ะ นายท่านส่งคนมาแจ้งว่าคุณหนูยังต้องเข้าร่วมการคัดเลือกรอบต่อไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้!”
อันหรูอี้ตกใจ “ว่าอย่างไรนะ?!”
เถาหงรีบเดินเข้าไปห้ามให้สองคนเบาเสียง จากนั้นนางเดินไปที่ประตูมองผ่านช่องประตูไปข้างนอก ก่อนจะกลับมาที่เก้าอี้นอน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา “คุณหนูท่านแกล้งป่วยต่อไปมิได้แล้วนะเจ้าค่ะ..พวกเราต้องหาวิธีที่จบได้คราเดียว!”
ใจของอันหรูอี้เพิ่งจะสงบลง แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้นอีกครั้งก็รีบพูดด้วยความร้อนใจว่า “รีบบอกมา มีวิธีอันใด?”
นางถูกเลี้ยงดูมาอย่างโง่เขลาตลอดชีวิต ถึงแม้จะเกิดใหม่ นิสัยจะเปลี่ยนไปมาก แต่สติปัญญาและประสบการณ์ยังด้อยนัก จะไปเทียบได้กับเถาหงที่เร่ร่อนอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เด็ก มีประสบการณ์มากกว่า ตอนนี้เมื่อเกิดเรื่องเร่งด่วน มีแต่เถาหงเท่านั้นที่มีวิธีจัดการได้
เถาหงเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนูทราบหรือไม่ว่า การคัดเลือกสนมเข้าวังมีข้อกำหนดอันใดบ้างที่ทำให้มิสามารถเข้าร่วมได้?”
อันหรูอี้เริ่มเหม่อลอยครู่หนึ่งพอสงบสติอารมณ์ก็ลองครุ่นคิด ดวงตาก็ส่องประกายวาววับ “สตรีที่มิสามารถมีบุตรได้?”
เถาหงตกใจ “คุณหนู! หากข่าวนี้แพร่ออกไป ต่อไปท่านจะออกเรือนได้อย่างไรละเจ้าค่ะ?!”
“ยังจะกังวลอันใดอีก!” อันหรูอี้ร้อนใจ “ข้ายอมโกนผมบวชเป็นแม่ชีดีกว่าเข้าไปอยู่ในกรงขังนั่น!”
เซี่ยเหิงที่อยู่นอกหน้าต่างกลืนน้ำลายดังเอื๊อก… ค่อย ๆ ใช้หางตามองด้านหลังตัวเองอย่างหวาดหวั่นใจ…