หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 21 ส่งเข้าวัง
บทที่ 21 ส่งเข้าวัง
บทที่ 21 ส่งเข้าวัง
การคัดเลือกพระสนมของราชวงศ์ เริ่มจากการผ่านการคัดรอบแรก ตามด้วยการคัดเลือกรอบสอง จากนั้นรอบสุดท้ายจะเป็นการคัดเลือกครั้งใหญ่โดยมีฮ่องเต้และฮองเฮาเป็นผู้คัดเลือก
ถึงแม้อันหลิงหลงจะไม่ได้มีความสง่างามและความอ่อนหวานเท่ากับอันหรูอี้ แต่หลังจากที่ได้แต่งตัวแล้วนางก็มีเสน่ห์เป็นของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้หวังเสวี่ยเฟิงได้ขอให้นางกำนัลที่เกษียณจากวังมาสอนกิริยามารยาทโดยเฉพาะ ทำให้อันหลิงหลงดูสง่างามเหมาะกับตำแหน่งมากขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความงามและตำแหน่งทางสังคมในวังหลวงของอันหลินหลง นางก็โดดเด่นเหนือผู้อื่นในสนามการคัดเลือก ในสามตำหนักหกวังหลวง*[1] บุตรสาวของตระกูลอัครมหาเสนาบดีจะต้องได้ตำแหน่งไปครองอย่างแน่นอน
หลังจากผ่านการคัดเลือกรอบแรก อันหลินหลิงก็ไม่สามารถกลับจวนได้ง่าย ๆ นางจำเป็นต้องอยู่ในวังเพื่อรับการอบรม
เพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานจากฮ่องเต้ การทนทุกข์ทรมานเพียงไม่กี่วันจะสำคัญอันใดเล่า?
เมื่อเทียบกับบรรยากาศที่รื่นเริงของจวนอัครมหาเสนาบดี พระราชวังยามนี้กลับเต็มไปด้วยความหดหู่
ซ่งจื่ออานมองดูรายงานสีชาดแต่ในใจกลับไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย
ในรายชื่อนี้ กลับไม่มีชื่อของสตรีผู้นั้น! อันหรูอี้ท้ายที่สุดแล้วเจ้าเกลียดชีวิตในวังหลวงหรือเพราะสิ่งอื่นกันแน่?
ซ่งจื่ออานยังคงเป็นเด็กหนุ่ม เป็นจักรพรรดิหนุ่มยากที่จะหลีกเลี่ยงความหลงใหล ดังนั้นการตกหลุมรักครั้งแรกในชีวิตของบุรุษผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงส่งตั้งแต่เด็กมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจเสมอ
เซี่ยเหิงรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง การคัดเลือกสนมนั้นเป็นไปตามลำดับชั้น ตั้งแต่เริ่มแรกที่จวนสกุลอันส่งเพียงอันหลิงหลงออกมาเพียงผู้เดียว เขาก็คาดเดาได้ว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแน่ แต่ไม่คิดว่า…
“ฝ่าบาท” เซี่ยเหิงประสานมือกุมดาบโค้งคำนับว่า กล่าวว่า “กระหม่อมจะไปสืบเรื่องนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”
“สืบ!” ซ่งจื่ออานสีหน้าเคร่งขรึม “ส่งคนไปทันที… ไม่สิ เจ้าไปที่ถามจวนตระกูลอันด้วยตนเองเลย”
ภายในจวนตระกูลอัครมหาเสนาบดี อันหรูอี้กำลังกอดจานขนมเล็ก ๆ อ่านตำราอย่างสบายใจ ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะเผชิญหน้ากับอะไร
“เถาหง เอาจานนี้มาให้ข้าอีกจานหนึ่ง!”
เห็นอันหรูอี้ยิ้มอย่างมีความสุข เถาหงก็รู้สึกดีใจไปด้วย คืนนั้นที่อันหรูอี้เป็นไข้ เป็นไข้จริง ๆ เพราะเดิมทีก็เป็นหวัดอยู่แล้วซ้ำยังไปยืนอยู่หน้าหน้าต่างตากลมเย็นทั้งคืน ต่อให้ร่างกายแข็งแรงราวกับเหล็กกล้าก็ทนวิธีทรมานแบบนี้ไม่ไหวแน่
ถึงแม้นางกับหลิวลวี่จะเป็นห่วงแค่ไหน ก็รู้ว่าคุณหนูใหญ่ ตอนนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง ทำอันใดตนก็ทำได้เพียกล่าวตักเตือนเล็กน้อยเท่านั้น
วันนี้การคัดเลือกรอบแรกผ่านไปแล้ว คงเป็นไปตามสำนวนที่ว่า ‘ใจเป็นสุขร่างกายก็แข็งแรง’ สุขภาพของอันหรูอี้ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกันนั้น เซี่ยเหิงก็มาถึงหน้าประตูจวนตระกูลอันแล้ว ด้วยป้ายห้อยของทหารรักษาพระองค์ ผู้คนในจวนตระกูลอันจึงไม่กล้าขัดขวาง ดังนั้นถึงแม้ท้องฟ้าจะมืดสนิทแล้ว เซี่ยเหิงก็ยังเดินเข้าไปในจวนได้ทันที
ข้ารับใช้ที่นำทางตัวสั่นเทาด้วยความกลัว มองแต่ทางข้างหน้า เดินตรงเข้าไปในห้องอักษร แต่กลับเผชิญหน้ากับอันก่วงเหนิงที่เดินออกมาจากห้องอักษรพอดี
อันก่วงเหนิงตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมา รีบเชิญคนเข้ามาในเรือนรับรอง อันก่วงเหนิงคิดว่าอาจจะมีพระราชโองการลับจากฮ่องเต้ได้ มิฉะนั้นเหตุใดจึงให้องครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้บุกเข้ามาในจวนยามค่ำคืนเช่นนี้เล่า!
“ข้ารบกวนเข้ามาในจวนใต้เท้าในยามค่ำคืนเช่นนี้ ต้องขออภัยด้วย” เซี่ยเหิงกล่าว พร้อมโค้งคำนับ “เรียนท่านอัครเสนาบดี ข้าได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้มาพบและสอบถามท่านเกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง”
อันก่วงเหนิงโค้งคำนับตอบ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของเซี่ยเหิงจะไม่สูงเท่าเขา แต่เซี่ยเหิงเป็นองครักษ์ที่ใกล้ชิดฝ่าบาท มีความสำคัญในการถวายความเห็นต่อฮ่องเต้ เขาจึงต้องให้ความเคารพเซี่ยเหิงถึงสามส่วน
“ท่านองครักษ์เซี่ย โปรดกล่าวมาเถิด” อันก่วงเหนิงเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ข้าจงรักภักดีและทุ่มเททำงานเพื่อฮ่องเต้จนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
เซี่ยเหิงชะงักไปครู่หนึ่ง เห็นอันก่วงเหนิงทำท่า ‘จงรักภักดีต่อฮ่องเต้จนตัวตาย’ ก็หัวเราะออกมาทันที “ใต้เท้า มิต้องเคร่งครัดถึงเพียงนั่น ครั้งนี้มิได้มาเรื่องราชการ แต่มาเพื่อเรื่องส่วนตัว”
“เรื่องส่วนตัว?” อันก่วงเหนิงกล่าวทวนอย่างสงสัย
เซี่ยเหิงพยักหน้า หยิบจดหมายออกมาจากอก ถอนหายใจ “ฝ่าบาทให้ข้ามาถาม…”
“ใต้เท้า… เหตุใดชื่อของบุตรสาวของท่านจึงมิได้อยู่ในรายชื่อการคัดเลือกสนมเข้าวัง?”
อันก่วงเหนิงมีสีหน้าแปลกใจ เขาอดไม่ได้ที่นึกถึงเรื่องที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้เมื่อครั้งก่อน เมื่อหวนนึกถึงแล้วก็รู้สึกขบขันเล็กน้อยจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีพระเนตรที่กว้างไกลยิ่งนัก บุตรสาวของข้าได้รับคัดเลือกเข้าวังแล้ว”
เซี่ยเหิงยิ้มเล็กน้อย “ท่านอัครมหาเสนาบดี คนดีย่อมไม่พูดปด ฝ่าบาทต้องการถามถึงบุตรสาวคนโต อันหรูอี้ คุณหนูใหญ่”
“อ๋า” อันก่วงเหนิงหัวเราะแห้ง ๆ “มิปิดบังองค์รักษ์เซี่ย บุตรสาวของข้านางกำลังป่วยหนัก”
เซี่ยเหิงตกใจ “ป่วยหนักเพียงใด?”
อันก่วงเหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ทรงรับสั่งเซี่ยเหิงมาถามเป็นการเฉพาะ คงจะทรงพอพระทัยอันหรูอี้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ หรืออาจเคยเห็นภาพวาดของนางมาก่อนก็เป็นได้ หากตอบกลับไปเบา ๆ กลัวว่าจะไม่เป็นที่พอพระทัย
อันก่วงเหนิงคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโค้งคำนับไปทางทิศเหนือ กล่าวว่า “กระหม่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท นับเป็นบุญของบุตรสาวกระหม่อม…มิสู้ทำเช่นนี้ ขอให้ท่านโปรดกราบทูลฝ่าบาทว่า ข้าจะรักษาบุตรสาวให้หายดี เมื่อร่างกายของนางแข็งแรงขึ้น จึงจะส่งนางเข้าวังทันที”
สีหน้าของเซี่ยเหิงดูแปลกใจ มิใช่เพราะอาการป่วยของอันหรูอี้ แต่เป็นเพราะท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้พูดถึงบุตรสาวของตนเองว่าจะ ‘ส่ง’ เข้าวังได้เลย โดยไม่มีความลังเลใด ๆ แม้นั่นจะเป็นวังหลวงก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเอาใจถึงเพียงนั้น
แต่ประโยคนี้เซี่ยเหิงกล่าวออกไปไม่ได้ จึงกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าว “ใต้เท้า มิต้องร้อนใจถึงเพียงนั้น สุขภาพของคุณหนูใหญ่อันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้แต่ฝ่าบาทเองก็… รอได้”
คำพูดของอันก่วงเหนิงพูดราวกับว่าซ่งจื่ออานเป็นคนใจร้อน ทำให้เซี่ยเหิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
อันก่วงเหนิงยิ้มแหย ๆ จากนั้นก็ส่งแขกออกจากจวนด้วยตนเอง ยืนอยู่ที่ประตูจวนครู่หนึ่ง แล้วจึงหันหลังกลับเข้าจวน
หวังเสวี่ยเฟิงยืนอยู่หลังฉากบังลม ใต้แสงตะเกียงสลัว ใบหน้าของนางดูเหมือนจะมีความรู้สึกงุนงงเพียงเล็กน้อย แฝงไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ มองแล้วทำให้ใจคนหวั่นไหว
“ท่านพี่” หวังเสวี่ยเฟิงเห็นเขามองนางด้วยสายรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง ก็หน้าแดงเล็กน้อย “ถึงเวลาเข้านอนแล้ว”
ดวงตาของอันก่วงเหนิงเปี่ยมไปด้วยความยินดียิ่งขึ้น เขาเดินเข้าไปกอดเอวนาง นั่งลงบนเตียง หัวเราะเบา ๆ “อาการของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ?”
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” หวังเสวี่ยเฟิงหลุบตาลงเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีความเขินอายของนาง “เมื่อครู่ท่านพี่ไปที่ใดมา เหตุใดถึงได้กลับมาเอาป่านนี้ล่ะเจ้าค่ะ?”
“เจ้ารอข้านานแล้วใช่หรือไม่?” อันก่วงเหนิงมองนางอย่างคลุมเครือ แล้วถอนหายใจ “จะไปที่ใดได้อีก ข้าก็อยู่ที่ห้องอักษรเช่นเดิม อันหรูอี้มิได้เข้าวัง ฮ่องเต้จึงทรงรับสั่งให้คนมาถามข้า”
ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้คนมาถาม?
หวังเสวี่ยเฟิงก้มหน้าต่ำ ดวงตาฉายแววมืดมนขึ้นมา อันหลิงหลงเข้าไปฝึกฝนในวังแล้ว นางจะต้องได้เป็นพระสนมอย่างแน่นอน แต่เหตุใดฮ่องเต้จึงได้ส่งคนมาถามพิเศษด้วยเล่า? หรือว่าฝ่าบาทเคยพบอันหรูอี้มาก่อน?
อันก่วงเหนิงไม่รอให้หวังเสวี่ยเฟิงคิดมาก ก็พูดต่อ “ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัย ข้าเลยรับปากฝ่าบาทว่าเมื่อหรูอี้หายดีแล้ว จะส่งนางเข้าวัง”
โหนกแก้มของหวังเสวี่ยเฟิงกระตุกเล็กน้อย โชคดีที่นางก้มหน้าซ่อนไว้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ยังคงแสดงท่าทีไร้เดียงสา พร้อมแสร้งทำเป็นตื่นเต้นดีใจ “นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งของหรูอี้ หากเป็นเช่นนี้ หรูอี้กับหลินหลงจะได้คอยช่วยเหลือกัน!”
เมื่อเห็นหวังเสวี่ยเฟิงมีท่าทีเเช่นนี้ อันก่วงเหนิงก็ยิ่งปลาบปลื้ม อดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา “ครั้งก่อนที่ข้าตบเจ้าไป ก็เพราะอารมณ์ชั่ววูบ เป็นข้าเองที่ใจร้อนเกินไป”
หวังเสวี่ยเฟิ่งยิ้มอย่างอ่อนโอยและโอบกอดอันก่วงเหนิงไว้ แต่แววตาของนางกลับเย็นชาขึ้นมาในชั่วพริบตา ราวกับจะแผ่รังสีสังหารไปยังเรือนเหมันต์ที่อยู่ไกลออกไป นางพูดอย่างแผ่วเบาว่า “เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า ข้าจะไปถือสาเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นได้อย่างไร…”
สิ่งที่นางใส่ใจคืออันหรูอี้ และผลประโยชน์ของอันหลิงหลง บุตรสาวของนางเท่านั้น
อันก่วงเหนิงเป็นคนเช่นไร นางย่อมรู้นิสัยเขาดีกว่าผู้อื่น เห็นผู้ใดก็รักไปเสียหมด หวังเสวี่ยเฟิงคิดอย่างอาฆาตแค้น โชคดีที่อวี้หลิวซูตายเร็ว ไม่เช่นนั้นตอนนี้นางอาจกลายเป็นอนุภรรยาที่น่าเวทนาไปแล้ว!
[1] สามตำหนักหกหวังหลวง ใช้เรียกเขตพระราชฐานชั้นในของพระราชวัง