หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 20 นางอยู่ที่ใด
บทที่ 20 นางอยู่ที่ใด
บทที่ 20 นางอยู่ที่ใด
แท้จริงแล้วซ่งจื่ออานมีใจอยากไปเยี่ยมอันหรูอี้ที่จวนตระกูลอันอีกครั้ง แต่เขาก็เป็นถึงฮ่องเต้ การจะแอบย่องไปยามราตรีเพื่อไปหาบุตรสาวขุนนางที่จวนนั้นก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
ยิ่งไปกว่า… อีกไม่นานฮองเฮาของเขาก็จะได้เข้าวังมาแล้ว
ซ่งจื่ออานเฝ้ารอด้วยความคาดหวัง จึงเรียกอันก่วงเหนิงเข้ามา อันก่วงเหนิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางสังเกตสีหน้าของเขา เห็นดวงตาของซ่งจื่ออานเป็นประกายและมีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า จึงยิ้มตอบว่า
“กราบทูลฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใยบุตรสาวของกระหม่อม ตอนนี้นางหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” ซ่งจื่ออานยิ้ม จากนั้นเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีต้องลำบากแล้ว เราจะไม่รั้งท่านไว้”
“…” แค่นี้หรือ?
อันก่วงเหนิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าซ่งจื่ออานจะเรียกตัวเขามาที่นี่เพียงเพื่อถามคำถามเดียว เมื่อคิดอีกทีก็อดรู้สึกยินดีไม่ได้
เขารู้สึกดีใจ และอดไม่ได้ที่จะรีบกลับจวนไปหาอันหรูอี้ แต่บังเอิญเจอหวังเสวี่ยเฟิงพอดี
ทว่าสำหรับหวังเสวี่ยเฟิงมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แม้ว่าจะทำให้ท่าทีของอันก่วงเหนิงที่มีต่อนางดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่เป็นตามที่คาดหวังไว้
ดังนั้น ตอนจากไปจึงจ้องมองอันหรูอี้ด้วยความโกรธ อันหรูอี้เพียงหัวเราะเยาะ แล้วปิดประตูใส่หน้าหวังเสวี่ยเฟิงทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองใจอีกครั้ง
“คุณหนู” เถาหงยกถ้วยยามาที่ห้อง นางยังคงรู้สึกไม่พอใจ “ดูสีหน้าของหวังเสวี่ยเฟิงสิเจ้าคะ คนเช่นนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่า ‘ฮูหยินใหญ่’ อีกหรือ แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวของฮูหยินใหญ่ก็ยังเทียบไม่ติด!”
อันหรูอี้เทยาสมุนไพรสีดำลงในกระถางดอกไม้ นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน นางเพียงแค่รอโอกาส รอโอกาสที่จะทำให้นางป่วยหนักจนถึงที่สุด
เถาหงเห็นการกระทำของนางแล้วรู้สึกหมดหนทาง “คุณหนู ท่านแกล้งป่วยมานานพอแล้วนะเจ้าคะ หากยังไม่หายเกรงว่านายท่านจะสงสัยเอาได้นะเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้วางชามลงแล้วส่ายหน้าเบา ๆ “มีข่าวอันใดของน้องรองหรือไม่?”
เถาหงเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากชุนหัวให้อันหรูอี้ฟังทีละเรื่อง ไม่ได้มีอันใดน่าสนใจนัก เป็นแค่เรื่องชิงดีชิงเด่น ประชันโฉมกัน แล้วก็อวดเบ่งอำนาจในจวนเท่านั้น ไม่น่าสนใจเท่าไหร่
อันหรูอี้ฟังแล้วก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เพียงแต่พูดว่า “ไม่ก้าวทีละก้าว ก็ไปไม่ถึงพันลี้…ปล่อยให้นางทำไป บอกชุนหัวว่าข้ารู้แล้ว หลังจากอันหลิงหลงเข้าวัง ข้าจะย้ายนางมา”
แต่บางเรื่องก็ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า ชุนหัวอาจไม่ใช่หมากที่ดีแต่บางคนหากใช้ให้ถูกที่ถูกทางก็สามารถช่วยเหลือได้มาก
เถาหงยิ้มพลางกล่าวว่า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
เถาหงรู้ดีว่าคุณหนูของตนจะกระทำอันใด คุณหนูไม่อยากเข้าวัง พวกนางกลับรู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่า พระราชวังคือถ้ำเสือ เป็นสถานที่ที่โหดร้าย ในเมื่อคุณหนูหาวิธีหลีกเลี่ยง พวกนางก็ย่อมต้องช่วยเหลือเต็มที่
และในขณะเดียวกัน เรือนไม้ไผ่ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าบอกว่า นังชั่วนั่นยังมิหายจากไข้หวัดอีกงั้นรึ”
ชุนหัวคุกเข่าอยู่ที่พื้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าค่ะ คุณหนูรอง ข้าได้ยินจากสาวใช้ในเรือนว่า ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ตกน้ำครานั้น อาการก็ยังมิดีขึ้นเลยเจ้าค่ะ แม้จะหาหมอฝีมือดีมารักษาแต่อาการป่วยนางก็ยังมิดีขึ้นเจ้าค่ะ”
อันหลิงหลงเชิดหน้าขึ้นอย่างพอใจ “ดี! ข้าจะได้มิต้องลงมือเอง แต่นังชั่วนั้นก็สมควรตายอยู่แล้ว หึ! ทำตัวเองทั้งนั้น น่าเสียดายที่มันไม่ตายสักที! ถ้าตายไปได้ก็ดียิ่ง!”
เมื่อลูบแผลเป็นที่ฝ่ามือตัวเอง ความเกลียดชังที่อันหลิงหลงมีต่ออันหรูอี้ ยิ่งฝังลึกเข้าไปในกระดูก
ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีหมอหลวงคนใหม่เข้ามาในวัง ไม่รู้ว่าเป็นผู้วิเศษที่เชิญมาจากที่ใด แต่ได้ยินมาว่าเขาไม่เพียงแต่มีฝีมือการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังรักษาโรคเก่าของฮ่องเต้ให้หายขาดได้อีกด้วย ถ้าหากนางได้เข้าวัง…
ดังนั้นการคัดเลือกสนมครั้งนี้ นางต้องเข้าวังให้จงได้!
“เจ้าไปได้ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เรือนเหมันต์ ให้รีบมารายงานข้าทันที”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรอง”
ในยามค่ำคืนที่ดวงจันทร์สว่างไสว ข้างหน้าต่างมีร่างของอันหรูอี้ที่หลบหลีกจากผู้คนทั้งหมด นางพิงผนังฟังเสียงลมพัดผ่านอย่างเงียบ ๆ
ยามนี้ร่างกายของนางร้อนผ่าว จิตใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นทรมานอย่างไม่หยุดหย่อน แต่นางกลับไม่อาจล้มตัวลงนอนลงบนเตียงได้ วันรุ่งขึ้นคือวันคัดเลือกสนมรอบแรก นางต้องการหลีกเลี่ยงการคัดเลือกครั้งนี้ให้ได้ และนี่เป็นวิธีเดียวนางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ถึงอย่างไร นางก็เป็นบุตรสาวที่ถูกขังอยู่หลังกำแพงสูง ไม่ว่าโลกภายนอกจะกว้างใหญ่เพียงใด นางก็ไม่มีวันได้เห็น ถ้าหากสามารถหนีออกจากกำแพงสูงนี้ได้ ถ้าหากนางเป็นอิสระได้… มันจะดีสักเพียงใดกัน…
แสงจันทร์สอดส่องผ่านยอดไม้ลงมา สุดท้ายก็ไหลลงสู่หุบเหวข้างนอกกำแพงสูง ท้องฟ้าเริ่มใกล้สว่าง สาวใช้ของนางก็ใกล้กำลังตื่นแล้วเช่นกัน
อันหรูอี้พยุงร่างที่หนักอึ้งของตนกลับไปเตียง ในขณะที่นั่งลงบนเตียง หัวใจของนางกลับเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นร่างของอันหรูอี้ก็ไร้สติล้มฟุบหน้าลงไปกับหมอนทันที
ครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงกรีดร้องดังในเรือนเหมันต์หลิวลวี่และเถาหงกรูกันวิ่งออกจากเรือนไปอย่างเร่งรีบ แล้วพาหมอชราเข้ามาในเรือนเหมันต์ทันที
หลังจากที่หมอชราตรวจอาการให้อันหรูอี้ด้วยความตื่นกลัว ก็หันไปกล่าวกับอัครมหาเสนาบดีด้วยที่สีหน้าเคร่งเครียดว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี ตอนนี้ความเย็นได้เข้าสู่ร่างกายของคุณหนูใหญ่แล้ว ซ้ำร้ายอาจลุกลามเข้าถึงกระดูกแล้ว หะ… หากไม่สามารถขับความเย็นนี้ออกมาได้ ขะ..ข้ากลัวว่า…”
ร่างของเถาหงอ่อนแรงทรุดไปกับพื้นทันที เหลียวกลับไปมองร่างของอันหรูอี้บนเตียงอีกครั้ง ใบหน้าเล็กแดงก่ำไปหมด ริมฝีปากแห้งแตกอย่างหนักมีเลือดซึมออกมาตามร่องริมฝีปาก
อันก่วงเหนิงกวาดสายตามองข้ารับใช้ที่อยู่ในห้อง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นดำทะมึน เขาตวาดอย่างสุดเสียง “ข้ามิได้สั่งพวกเจ้าให้ดูแลคุณหนูอย่างดีหรอกหรือ! เหตุใดบุตรสาวข้าถึงได้เป็นไข้สูงขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้!”
เถาหงปาดน้ำตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตั้งแต่ที่คุณหนูตกน้ำคราวก่อน คุณหนูก็มิเคยหายดีสักทีเจ้าค่ะ… พวกบ่าวปรนนิบัติอยู่ข้างกายตลอด คอยดูแลมิเคยห่าง… เพราะกลัวว่าคุณหนูจะได้รับความเย็นอีก”
หลิวลวี่คุกเข่าลงกับพื้น “ท่านอัครมหาเสนาบดี พวกข้าก็มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ยามบ่ายคุณหนูยังคุยกับพวกข้าอยู่เลยเจ้าค่ะ พอกลางดึกกลับมีไข้สูงขึ้นมา… พวกเรามิรู้จริง ๆ ว่าเกิดอันใดขึ้น…”
ทำอันใดไม่ได้… ทั้งหาสาเหตุของโรคไม่พบ… อันก่วงเหนิงโกรธจนตบโต๊ะดังปัง! เขาถอนหายใจยาวด้วยความสิ้นหวัง
ภรรยาผู้ล่วงลับของเขาก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่ป่วยไข้ขึ้นสูง นางก็จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน… บุตรสาวของเขาจะต้องประสบเคราะห์เช่นนั้นด้วยหรือ?
ไม่นานนัก อันก่วงเหนิงก็ได้แต่เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการของบุตรสาว ในขณะเดียวกันก็ต้องรีบเข้าวังเพื่อไปประชุมขุนนาง
ส่วนการคัดเลือกสนมครั้งใหญ่ในวันรุ่งขึ้น อันหรูอี้ย่อมพลาดอย่างไม่ต้องสงสัย
สถานที่คัดเลือกรอบแรกไม่ได้อยู่ในพระราชวัง แต่เป็นเมืองหลวง ซึ่งก็เหมือนกับเมืองและเขตต่าง ๆ ที่ต้องมีทั้งเจ้าเมืองและขุนนางจากกรมคลัง รวมถึงขันทีจากวังหลวงร่วมกันดูแล
ศาลาว่าการของเมืองหลวงคือศาลาเฟิ่งเทียน
เมื่อการคัดเลือกครั้งใหญ่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น เซี่ยเหิงก็เฝ้าอยู่ในห้องโถงด้านในแล้ว แม้ซ่งจื่ออานจะยังไม่ได้เดินทางมาร่วมด้วย ก็ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าตำหนิเขา
จิตรกรวังหลวงที่ได้รับการคัดเลือกจากศาลาเฟิ่งเทียน ได้รออยู่ข้าง ๆ เป็นเวลานานแล้ว บัญชีรายชื่อของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนจากทุกตระกูลถูกวางเรียงรายเต็มโต๊ะ เซี่ยเหิงเปิดดูอย่างไม่ใส่ใจ และไม่มีผู้ใดห้าม
เซี่ยเหิงยังจำได้ว่าก่อนที่ตนจะออกมา ซ่งจื่ออานกำชับตนด้วยแววตาตื่นเต้นว่า ‘จำไว้ พอศาลาว่าการเฟิ่งเทียนเลือกคนได้แล้ว ไม่ต้องผ่านเจ้าพนักงานพิธีการ นำเข้าไปที่ตำหนักไท่เหอได้เลย’
เร่งรีบขนาดนี้ เซี่ยเหิงหรี่ตาขึ้นอย่างสนใจดูเหมือนว่าฮ่องเต้ของเขาจะเริ่มจริงจังเสียแล้ว
แต่จะดีกว่าถ้าไม่ได้คาดหวังกับความจริงใจของฮ่องเต้ หากไม่ใช่เพราะนางมีฐานะบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดี ฮ่องเต้ก็คงไม่ใส่ใจขนาดนี้
เซี่ยเหิงสะบัดไหล่เล็กน้อย มองไปยังชื่อหลาง*[1]ของกรมพิธีการ “เริ่มได้แล้ว”
เมื่อการคัดเลือกสนมเริ่มขึ้น ซ่งจื่ออานก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางที่เคร่งขรึมเหล่านี้ เขาจึงเลิกราชการก่อนเวลาและไปรอที่ตำหนักไท่เหอ จนกระทั่งยามเซิน*[2] เซี่ยเหิงก็มาถึงด้วยสีหน้าแปลก ๆ
ซ่งจื่ออานไม่ได้สนใจหยิบบัญชีรายชื่อขึ้นมาเปิดดู เขากวาดสายตามองตั้งแต่รายชื่อต้นจนจบแล้วก็จากท้ายสุดจนถึงต้น สีหน้าก็ยิ่งทวีความเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ
“แล้วนางอยู่ที่ใด?!”
[1] ชื่อหลาง ใช้เรียกขุนนางระดับสูง
[2] ยามเซิน 15.00-17.00