หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 2 น้องสาวที่ทำให้ชื่อเสียงตระกูลเสื่อมเสีย
บทที่ 2 น้องสาวที่ทำให้ชื่อเสียงตระกูลเสื่อมเสีย
บทที่ 2 น้องสาวที่ทำให้ชื่อเสียงตระกูลเสื่อมเสีย
อันหลินหลงไม่คาดคิดว่าอันหรูอี้ผู้ที่มักจะปากแข็งแต่ใจอ่อนจะกล้าลงมือตีตนเองจริง ๆ ทำให้อันหลิงหลงกลัวจนไม่กล้าขยับตัวใด ๆ ในตอนนั้น
อันหรูอี้จึงลุกขึ้นยืนกระชากอันหลิงหลงมา และกดนางลงอย่างแรงบนแท่นบูชาบรรพบุรุษ
นางหันไปทางศาลบรรพบุรุษและกล่าวว่า “ข้าน้อย อันหรูอี้ บุตรหลานตระกูลอัน วันนี้ข้าจะสั่งสอนน้องสาวผู้ทำให้ชื่อเสียงตระกูลเสื่อมเสียเอง!”
ระหว่างที่เอ่ยอันหรูอี้ก็จับมืออันหลิงหลงไปกดลงบนเชิงเทียนสีแดง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของอันหลินหลง!
เปลวไฟร้อยพวยพุ่งขึ้นมาถึงฝ่ามือของอันหลิงหลง คุณหนูเล็กจากจวนอัครมหาเสนาบดีที่ไม่เคยประสบความทุกข์ยากมาก่อน! อันหลิงหลงไม่สนใจมารยาทอีกต่อไป ร้องไห้ลั่น “โอ๊ย ช่วยด้วย! เจ็บ! ใครก็ได้ช่วยข้าที…”
อันหลิงหลงพยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามือของอันหรูอี้จะแข็งแรงเหมือนคีมเหล็ก ข้ารับใช้ทั้งสองที่อันหลิงหลงพาตัวมาต่างก็ตกใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น
กลิ่นเนื้อไหม้ลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ใบหน้าและศีรษะของอันหลิงหลงเต็มไปด้วยเหงื่อ ขณะที่มือก็ดำคล้ำปนกับเลือดสดราวกับเป็นมือของภูตผีปีศาจ
อันหรูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกศาลบรรพชน จึงคลายมือลงปล่อยอันหลิงหลงให้เป็นอิสระ
อันหลิงหลงในตอนนี้ราวกับปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรก นางวิ่งพุ่งเข้าไปหาอันหรูอี้ราวกับคนเสียสติ ยื่นมือเข้าบีบคออันหรูอี้อย่างบ้าคลั่ง ปากก็พลางตะโกนด่า “นังสารเลว! เจ้ากล้าทำร้ายข้า! ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย…”
“แคก ๆ นะ.. น้องสาว เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อน.…”
อันหรูอี้เอ่ยพลางไอ พร้อมทั้งเอ่อร้องอย่างอ่อนโยน นางแกล้งทำเป็นล้มกลิ้งไปบนพื้น เสื้อผ้าของหญิงสาวเปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว คอของอันหรูอี้เปื้อนเลือดสดจากมือของอันหลิงหลง ทำให้เกิดเป็นภาพที่ดูน่าเวทนายิ่งนัก
“อันหลิงหลง! เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่! หยุดมือเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนของอัครมหาเสนาบดีดังมาจากประตูทางเข้าศาลบรรพบุรุษ เขาเห็นอันหลิงหลงยังไม่กลับมา จึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น และพบว่าอันหลิงหลงกำลังบีบคออันหรูอี้อย่างรุนแรงราวกับกำลังจะฆ่านาง!
หวังซื่อเองก็ตกใจ เมื่อเห็นสีหน้าอันเคร่งขรึมของอัครมหาเสนาบดี จึงรีบสั่งให้คนไปดึงอันหลิงหลงออก
อันหรูอี้ทำใบหน้าราวกับเห็นผู้มาโปรด จึงรีบคลานไปหาอัครมหาเสนาบดีพร้อมกับร้องไห้ออกมา “ท่านพ่อ! ท่านมาแล้ว…หากท่านมาช้ากว่านี้ ลูกก็คงไม่มีชีวิตรอดแล้ว…”
“มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่อ! นางเป็นหญิงชั่ว! นางสารเลวนั่นเอามือของข้าไปกดบนเชิงเทียน ทำให้มือข้าถูกเผาจนไหม้เช่นนี้!” อันหลิงหลงตกใจจนลืมสงวนท่าทีของตน ตวาดกลับไปอย่างรุนแรง
อัครมหาเสนาบดีพอเห็นบุตรสาวคนรองของตนที่รักและทะนุถนอมแสดงความก้าวร้าวและเอ่ยวาจาหยาบคายราวกับหญิงสาวชั้นต่ำในตลาดเยี่ยงนี้ ก็พาลรู้สึกรังเกียจขึ้นมา จึงโบกมือไล่นางไป “ช่างน่ารังเกียจนัก! ข้าเห็นแต่เจ้าทำร้ายพี่สาวของเจ้าอยู่ฝ่ายเดียว ข้าไม่เห็นพี่สาวเจ้าทำอันใดกับเจ้าเลย!”
หวังซื่อกระแอมเบา ๆ โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
อันหลิงหลงที่ได้สติก็รีบปั้นหน้าแสร้งทำเป็นเอ่ยอย่างชอบธรรมว่า “ท่านพ่อ แม้ท่านจะโกรธที่ลูกเอ่ยวาจาไม่เหมาะสม แต่ลูกมีเหตุผลที่เอ่ยเช่นนั้นนะเจ้าค่ะ อันหรูอี้มิเคารพท่านและนางยังดูถูกความเมตตาของท่าน ลูกจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาไม่ดีใส่นาง!”
“อันใดนะ?” อัครมหาเสนาบดีหันไปมองอันหรูอี้
อันหรูอี้ดูหวาดกลัวและส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านพี่ หลิงหลงมิเคยโกหกเลยนะเจ้าคะ…” หวังซื่อเอียงตัวเข้าหาอัครมหาเสนาบดีพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาน ดวงตาของนางสื่อความหมายบางประการ
อัครมหาเสนาบดีนวดขมับด้วยความปวดหัวอย่างหัวเสีย “พวกเจ้าแต่ละคน ไม่มีผู้ใดทำให้ข้าสบายใจได้เลย ข้าปวดหัวยามออกจากท้องพระโรงมาก็อย่างแล้ว แต่พวกเจ้ายังมาทำให้ข้าปวดหัวซ้ำอีก ช่างเป็นบุตรสาวที่ดีเสียจริง!”
กล่าวจบก็ไม่คิดจะสนใจอันหรูอี้ สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
อันหรูอี้ร้องเรียกออกมาเบา ๆ ก่อนจะทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
ท่านอัครมหาเสนาบดีตกใจ เมื่อเห็นอันหรูอี้หน้าซีดเซียวล้มลงกับพื้น ก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เกิดอันใดขึ้น?”
หวังซื่อแอบคิดในใจว่าแย่แล้ว อันหรูอี้เมื่อครู่นี้ยังสบายดีอยู่เลย ตอนนี้กลับเป็นลมไป แสดงว่านางต้องวางแผนบางอย่างแน่! เมื่อเผชิญกับสีหน้าไม่พอใจของอัครมหาเสนาบดี นางก็มิกล้าจะกระทำสิ่งใด อย่างน้อยก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ภรรยาที่ดีและแม่ที่ดีเอาไว้ก่อน
นางจึงรีบเรียกหมอที่ยืนรอข้างนอก แล้วเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “เจ้ารีบไปดูคุณหนูใหญ่สิ คุณใหญ่เป็นอันใดไป!”
“เรียนท่านอัครมหาเสนาบดี คุณหนูใหญ่… อยู่ในอาการตกใจกลัวมากขอรับ รวมทั้งคุณหนูยังมีร่างกายที่อ่อนแอจึงทำให้หัวใจของนางเต้นเร็วเกินไปขอรับ” หมอปาดเหงื่อบนหน้าผากหลังจากที่จับชีพจรเสร็จก็รีบรายงานด้วยท่าทางที่เคารพ
อัครมหาเสนาบดีมองไปยังอันหลิงหลงด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า หากมิใช่เพราะบุตรสาวคนรองของตนมีจิตใจที่คับแคบเกินไป อันหรูอี้จะ ‘ตกใจกลัว’ ได้อย่างไร?
จังหวะนั้นเอง อันหรูอี้ได้ส่งเสียงครางออกมาอย่าวแผ่วเบาแล้วค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา
นางมองไปยังอัครมหาเสนาบดีด้วยสายตาอ่อนโยน “ท่านพ่อ ลูกยอมรับผิดแล้ว ท่านพ่อได้โปรดยกโทษให้ลูกด้วย”
อัครมหาเสนาบดีมองอันหรูอี้ด้วยแววตาที่เจ็บปวดเล็กน้อยและตะโกนสั่งข้ารับใช้ว่า “พวกเจ้ายังไม่รีบพาคุณหนูใหญ่กลับไปพักในห้องอีก หากบุตรสาวของข้าป่วยขึ้นมา พวกเจ้าได้โดนลงโทษแน่! ”
อันหรูอี้ถอนใจออกมาอย่างแผ่วเบา นางรู้สึกดูถูกบิดาของตนเล็กน้อยที่มองเรื่องราวทั้งหมดไม่ออก แต่ต่อหน้าอันหรูอี้ นางยังคงแสดงสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเคารพอย่างสุดซึ้งออกมา
นางรู้ดีว่าเมื่อนางผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้แล้ว บิดาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีที่มีอารมณ์แปรปรวนง่ายของนางก็คงจะยกโทษกับความเสียมารยาทของนางแล้ว
ขณะที่อันหรูอี้ถูกข้ารับใช้พยุงขึ้นอย่างอ่อนโยน อันหรูอี้ก็ไม่ลืมที่เหยียบเท้าอันหลิงหลงอย่างแรง พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านพ่อ หลิงหลงก็มิได้ตั้งใจ ท่านโปรดยกโทษให้นางเถิดนะเจ้าค่ะ”
เดิมทีอัครมหาเสนาบดีได้ลืมความผิดของหลิงหลงไปแล้ว แต่เมื่อได้ถูกคำกล่าวสะกิดเตือนเช่นนี้ ความโกรธของเขาพลันพุ่งพรวดขึ้นมาอีกครั้ง จึงหันมองอันหลิงหลงด้วยความผิดหวังและกล่าวว่า “เจ้าไปรักษาบาดแผลตัวเองให้หาย แล้วกลับไปสำนึกผิดในเรือนของเจ้าซะ หากเจ้าคัดตำราสอนหญิงไม่ครบหนึ่งร้อยครั้ง ก็ห้ามออกจากเรือนเด็ดขาด!”
อันหลิงหลงโกรธจนแทบจะหายใจไม่ออก
ชัดเจนว่านางเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บและถูกตีก่อน แต่เหตุใดกลับต้องเป็นฝ่ายรับโทษ?
นางมองอันหรูอี้ด้วยความเกลียดชัง แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งบิดาของนางที่กำลังโกรธจัด จึงเพียงพยักหน้ารับและอดกลั้นเก็บความรู้สึกโกรธแค้นนี้ลงไป
ก่อนอัครมหาเสนาบดีจะจากไป เขายังไม่ลืมที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังว่า “เจ้านี่ช่างเป็นความอับอายต่อหน้าวงศ์ตระกูลยิ่งนัก…”
“อ้อ ใช่แล้ว.. นี่ช่างน่าอับอายต่อวงศ์ตระกูลจริง ๆ” เมื่ออัครมหาเสนาบดีจากไป ‘ความอ่อนแอ’ ก่อนหน้านี้ของอันหรูอี้ก็หายไป มันถูกแทนที่ด้วยท่าทางที่มีชีวิตชีวาทันที
อันหรูอี้ฉีกยิ้มกว้างที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง ดวงตาเหลือบมองไปยังหวังซื่อและอันหลิงหลงโดยไม่รู้ว่าประโยคที่นางเอ่ยออกมานั้นกำลังหมายถึงใคร
เมื่อเห็นดวงตาที่มืดมนของพวกนาง อันหรูอี้ก็รู้สึกสบายใจยิ่งนัก
ในอดีต นางเป็นเพียงเนื้อปลาที่ถูกมีดแล่ แต่วันนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง!
ปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกร*[1]ได้แล้ว ส่วนปลาไหลที่ดิ้นอยู่ในโคลนก็รอคอยไปเสียเถอะ!
ในชีวิตนี้ผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้…
[1] ปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกร เป็นสำนวนที่แสดงถึงการก้าวข้ามอุปสรรคและประสบความสำเร็จ