หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 19 ภาพลักษณ์ที่พึงมีของจวนอัครมหาเสนาบดี
บทที่ 19 ภาพลักษณ์ที่พึงมีของจวนอัครมหาเสนาบดี
บทที่ 19 ภาพลักษณ์ที่พึงมีของจวนอัครมหาเสนาบดี
โจวฟูมาที่จวนอัครมหาเสนาบดีหลายครั้งแล้ว เพราะอาการป่วยของอันหรูอี้กำเริบอยู่เรื่อย ๆ ราวกับปีศาจร้ายตามรังควานรั้งไว้ไม่ให้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความเจ็บป่วย
ใกล้กำหนดการคัดเลือกพระสนม เหล่าบรรดาคุณหนูจากตระกูลขุนนางในเมืองหลวง ต่างล้วนเตรียมตัวกันยกใหญ่ แต่กลับมีเพียงผู้เดียวที่ยังนอนซมอยู่บนเตียง
อันก่วงเหนิงเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ไร้หนทาง จึงหวังหันไปพึ่งอันหลิงหลง อย่างไรก็ตาม ตระกูลอันจะต้องส่งบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินใหญ่เข้าวังสักหนึ่งคนและเขาก็ไม่ได้มีบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินใหญ่เพียงคนเดียว
หวังเสวี่ยเฟิงเห็นว่าได้โอกาส จึงรีบสั่งให้ข้ารับใช้แต่งตัวและนำเครื่องสำอางมาแต่งหน้าให้ดูเหนื่อยล้าแต่ยังคงความงดงามไว้แล้วจึงเดินเข้าไปในเรือนเหมันต์
หลายวันที่ผ่านอันก่วงเหนิงยังคงโกรธนางอยู่ แต่มีอนุเซียวที่คอยเอาอกเอาใจอันก่วงเหนิงอยู่ตลอดทั้งวัน ทำให้อันก่วงเหนิงมีท่าทีว่าจะใจอ่อนลง เช่นนั้นนางย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสนี้เป็นอันขาด
เมื่ออันก่วงเหนิงต้องมาเยี่ยมอันหรูอี้ทุกวัน นางจึงได้โอกาสทั้งเอาอกเอาใจอันก่วงเหนิง ทั้งได้มาดูอาการของอันหรูอี้ที่ซูบผอมจนน่าสมเพช นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย
แต่เมื่อเถาหงเห็นหวังเสวี่ยเฟิงตั้งแต่เช้าตรู่ก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที “โอ้ หวังซื่อมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านมีเวลาว่างมากถึงได้มาเดินเล่นในเรือนเหมันต์ของพวกเราแล้วหรือ”
เรื่องที่คุณหนูตกน้ำในที่สุดอันก่วงเหนิงก็ลงโทษหวังเสวี่ยเฟิ่งเพียงให้คัดลอกพระคัมภีร์ ตำหนิเล็กน้อย แล้วก็ให้สำนึกผิดอยู่แต่ในเรือนเท่านั้น ผู้ใดจะคิดว่าใจของเขาจะลำเอียงจนตาบอดถึงเพียงนี้ เถาหงยังคงไม่พอใจเรื่องนี้มาจนถึงทุกวันนี้
หวังเสวี่ยเฟิงหัวเราะเย็นชา “ถึงอย่างไร ข้าก็คือนายส่วนเจ้าเป็นเพียงข้ารับใช้กลับกล้ามากล่าววาจากับข้าเช่นนี้ ดูเหมือนว่ากฎระเบียบในเรือนเหมันต์แห่งนี้จะมิได้เรื่องเสียแล้ว”
สำหรับเรือนเหมันต์แล้ว รูปลักษณ์ที่แท้จริงของหวังเสวี่ยเฟิ่งไม่ใช่ความลับ นางจึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป นางผลักเถาหงออกไปแล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างองอาจ
เถาหงหน้าเปลี่ยนสีทันที มองไปที่หวังเสวี่ยเฟิงที่เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจผู้ใด ยังไม่ทันจะเข้าประตูเรือนก็พูดจาเสียดสีแล้ว “โอ้โห นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น คุณหนูใหญ่ที่ทำตัวเป็นสูงส่ง ฮูหยินใหญ่มาถึงแล้วยังนอนอยู่ ไม่คิดจะลุกขึ้นมาคำนับหน่อยรึ?”
คำพูดนี้ยังไม่ทันจบ ประตูใหญ่ที่ปิดแน่นก็ได้เปิดออก หวังเสวี่ยเฟิงที่กำลังจะผลักประตูก็ได้ล้มลงไปนอนกับพื้น ‘โอ๊ย’ เสียงร้องโอดโอยดังขึ้น นางยังลุกไม่ขึ้นอีกนาน
สาวใช้ที่เดินตามมารีบเข้าไปประคอง แต่กลับถูกผลักออกอย่างแรงจนล้มลงไปกับพื้นเช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงทำแต่เพียงลุกขึ้นยืนอย่างเงียบ ๆ
ทางฝั่งหวังเสวี่ยเฟิงที่กำลังเผชิญหน้ากับอันหรูอี้ที่เปิดประตูมา “บุตรกำพร้ามารดาเช่นเจ้า ยังกล้าคิดร้ายต่อข้าอีกหรือ!”
กล่าวจบก็ยกแขนง้างฝ่ามือ หวังจะเข้าไปตบอันหรูอี้
หลิวลวี่ร้องออกมาด้วยความตกใจและพุ่งตัวเข้าไปบังทันที แต่อันหรูอี้กลับตะคอกกลับมา “ปล่อยให้นางตบ! ยังไงซะเดี๋ยวท่านพ่อก็มาแล้ว อยากรู้นักเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร!”
หวังเสวี่ยเฟิงชะงักมือและถุยน้ำลายออกมาด้วยความโมโห นางเดินไปนั่งที่โต๊ะและสาปแช่งอย่างร้ายกาจ “ใกล้ถึงวันคัดเลือกแล้ว ด้วยสภาพร่างกายเช่นเจ้า ข้าดูแล้วเจ้าคงมิมีวาสนาแล้ว เช่นนั้นข้าขอชี้แนะเจ้าว่าทำตัวสงบเสงี่ยมให้มากขึ้นเถิด บางทีอาจจะมีชีวิตรอดอยู่ได้อีกสองปี!”
หลิวลวี่โกรธจัดแต่อันรหรูอี้จับตัวนางไว้ แล้วเดินไปนั่งอย่างสง่างามตรงข้ามหวังเสวี่ยเฟิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ป้าหวังช่างแปลกนัก ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา เป็นข้าที่ตั้งใจยั่วยุอย่างนั้นหรือ?”
หวังเสวี่ยเฟิงจ้องเขม็ง “เจ้ามิควรเกิดมาด้วยซ้ำ!”
แม้นางจะเป็นฮูหยินรองแต่ที่ผ่านมาก็เคยเลี้ยงดูนางมาบ้าง ไม่น่าเชื่อว่านางจะร้ายถึงเพียงนี้
อันหรูอี้ถอนหายใจเบา ๆ บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ย “อนุตัวเล็ก ๆ กล้าเอ่ยวาจาสามหาวเช่นนี้ ‘อนุหวัง’ เจ้าลืมฐานะของตัวเองไปแล้วงั้นรึ? หรือเพียงเพราะข้าเรียกท่านว่าฮูหยินรองมากเกินไป?”
หวังเสวี่ยเฟิงแทบจะกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่อยู่ นางกัดฟันจนแทบแหลกละเอียด “เจ้าอย่าคิดว่าตนเองเป็นคุณหนูใหญ่แล้วคิดจะทำอันใดก็ได้งั้นหรือ? หึ บุตรกำพร้าที่ไร้มารดาเช่นเจ้า คิดว่าตนเองจะยืนอยู่ข้างบนสุดได้นานแค่ไหนกันเชียว”
ลูกกำพร้าที่ไร้มารดางั้นหรือ?
อันหรูอี้กำมือแน่นอย่างช้า ๆ “หลังจากที่ท่านพ่อจากไป… ศาลบรรพบุรุษตระกูลอันของข้าจะมิมีวันจารึกชื่อของเจ้าไว้ข้าง ๆ ท่านพ่อ หวังเสวี่ยเฟิงเจ้าจำไว้ว่าเจ้ามันเป็นได้เพียงแค่ฮูหยินรอง แค่ ‘อนุ’ เท่านั้น!”
หวังเสวี่ยเฟิงราวกับศีรษะของตนเองจะระเบิดออกมา นางอ้าปากกำลังจะด่ากลับ แต่ได้ยินเสียงสาวใช้ข้างกายพูดขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ ท่านอัครเสนาบดีมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เป็นเพียงแค่อนุ แต่กลับกล้าให้ผู้อื่นเรียกตนว่า ‘ฮูหยินใหญ่’ อันหรูอี้เหลือบมองอันก่วงเหนิงที่กำลังเดินเข้ามาจากทางเข้าเรือนเหมันต์
ล้วนเป็นเพราะชายผู้นี้ตามใจทั้งนั้น…
หวังเสวี่ยเฟิงชะงักทันทีทำได้เพียงกัดฟันทนไว้ อันหรูอี้ในอดีตแค่กระตุ้นนิดหน่อยก็เหมือนประทัดที่จุดติดแล้วส่งเสียงดังไม่หยุด แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะยั่วยุยังไงก็ไม่กระเพื่อมแม้แต่น้อย นางกล้าดียังไงมาเหน็บแนมข้า?!
แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ นางก็ไม่อาจปล่อยให้ความพยายามของตนสูญเปล่าไปได้ จึงแสร้งทำเป็นแม่เลี้ยงใจดีที่มีเมตตา
“หรูอี้ ข้าไตร่ตรองดูแล้ว เรื่องราวในอดีตล้วนเป็นความเข้าใจผิดทั้งสิ้น คนเราแต่เดิมนั้นล้วนมีจิตใจดี เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ฮูหยินเช่นข้าเสียใจอย่างสุดซึ้งนัก”
หวังเสวี่ยเฟิงปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงออก แล้วจับมืออันหรูอี้อย่างสนิทสนม “ช่วงนี้อาการป่วยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเห็นเชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินหยุดอยู่ที่ข้างประตู อันหรูอี้เม้มริมฝีปาก พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นกัน “ขอบคุณฮูหยินรอง ร่างกายของข้าดีขึ้นมากแล้ว ฮูหยินรองต้องคอยดูแลเรื่องในจวน จนมิมีเวลาดูแลข้า เป็นลูกเองที่ไม่สามารถช่วยเหลืออันใดฮูหยินรองได้เลย”
หวังเสวี่ยเฟิงใจเต้นรัวมองอันหรูอี้ด้วยแววตาที่ดูลึกล้ำขึ้นในทันใด นี่ความหมายว่าอย่างไร? นางต้องการควบคุมจวนแห่งนี้งั้นหรือ?
พอดีอันก่วงเหนิงที่เพิ่งมาถึงพอได้ยินทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างปรองดอง ก็รู้สึกโล่งใจ แล้วพูดขึ้นว่า “เช่นนี้แหละคือภาพที่พึงมีของจวนอัครมหาเสนาบดีของข้า”
ทั้งสองคนตกใจพร้อมกัน ราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าอันก่วงเหนิงมาถึง ทั้งสองลุกขึ้นคำนับ
วันนี้อันก่วงเหนิงอารมณ์ดี โบกมือแล้วนั่งลงที่เก้าอี้หลังแล้วยิ้ม “มิต้องมากพิธีแล้ว หรูอี้ก็ยังป่วยอยู่ หากพวกเจ้าจะคุยกันก็ควรปิดประตูบ้าง ระวังจะป่วยเอาได้”
หวังเสวี่ยเฟิงรีบก้าวเข้าไปข้างหน้า ก้มลงคำนับด้วยใบหน้าซีดเซียวแต่ยังมีเสน่ห์ จนอันก่วงเหนิงจ้องมองอย่างตั้งใจ แต่ก็ได้ยินหวังเสวี่ยเฟิงเอ่ยว่า “ท่านพี่ ท่านกล่าวถูกแล้ว เป็นข้าที่มิรอบคอบเองเจ้าค่ะ”
อันก่วงเหนิงขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงได้หน้าซีดเช่นนี้ เจ้าได้ให้หมอตรวจดูบ้างหรือไม่?”
หวังเสวี่ยเฟิงรีบป้องปากแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “มิเป็นอันใดเข้าค่ะ แค่ช่วงนี้อากาศเย็นขึ้น คงไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ เห็นอันก่วงเหนิงถอนหายใจแววตาเต็มไปด้วยความสงสาร ในใจอันหรูอี้ยิ่งรู้สึขบขันแต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่หลิวลวี่กลับทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว เทถ้วยชาแล้ววางลงบนโต๊ะอย่างแรง “ท่านอัครมหาเสนาบดี ชาเจ้าค่ะ!”
อันก่วงเหนิงตกใจเล็กน้อย กำลังจะขมวดคิ้วแต่เหลือบไปเห็นอันหรูอี้ที่ยังนั่งนิ่งอยู่ เขาก็ชะงักทันที
“หากป่วย ก็ควรเรียกหมอมาตรวจ” อันก่วงเหนิงครุ่นคิด “พวกเจ้าต่างก็ป่วยทั้งคู่อย่าเพิ่งมาหาสู่กันเลย ระวังจะติดโรคกัน”
หวังเสวี่ยเฟิงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก้มศีรษะลงอย่างนุ่มนวล “เจ้าค่ะ ท่านพี่…”
ความจริงอันก่วงเหนิงมาที่นี่เพื่อจะบอกข่าวดีแก่อันหรูอี้ แต่ในเมื่อหวังเสวี่ยเฟิงอยู่ด้วย ก็ไม่อยากจะกล่าวออกมา จึงสนทนากันเพียงไม่กี่ประโยคก็จากไป
สิ่งที่อันก่วงเหนิงคิดว่ามันคือเรื่องดี อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีของอันหรูอี้ก็ได้
วันนี้อันก่วงเหนิงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ต่อมาเขาถูกเรียกตัวเข้าไปในห้องข้างของตำหนักไท่เหอเพียงลำพัง เดิมทีเขาคิดว่าฮ่องเต้คงมีเรื่องการบ้านการเมืองสำคัญจะปรึกษาเขา แต่ไม่คิดเลยว่าจะถามถึงอาการป่วยของอันหรูอี้
ในตอนนั้นซ่งจื่ออานกำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบ เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใดมากนัก เขาเพียงค่อย ๆ วางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ยินมาว่า บุตรสาวคนโตของอัครมหาเสนาบดีตกน้ำ แล้วยังต้องตามหมอหลวงไปดูอาการ มิทราบว่าตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”