หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 18 ซ่งจื่ออานยื่นมือช่วยเหลือ
บทที่ 18 ซ่งจื่ออานยื่นมือช่วยเหลือ
บทที่ 18 ซ่งจื่ออานยื่นมือช่วยเหลือ
เมื่อยามราตรีล่วงเข้ามา ผู้คนต่างก็เริ่มทยอยจากลา
แสงไฟในเรือนเหมันต์กำลังดับลงทีละดวง แต่ซ่งจื่ออานกลับยังไม่ได้จากไปไหน เขาราวกับเฝ้ารอให้อันหรูอี้นอนหลับก่อนเขาจึงจากไป
เถาหงหลิวลวี่ถือโคมไฟเล็ก ๆ สองอันเข้ามาในห้อง สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนจึงไม่กล้าอยู่นาน บรรดาข้ารับใช้ข้างนอกต่างเดินผ่านไปโดยก้มหน้า
“แม้จะมิสามารถทำให้ใจท่านอัครมหาเสนาบดีทั้งหมดกลับมาอยู่ที่คุณหนูได้ในทันที แต่ก็สามารถทำให้ท่านเข้าใจถึงความไร้เดียงสาในอดีตของคุณหนูได้ กอปรกับความรู้สึกผิดในใจ วันข้างหน้านายท่านต้องปฏิบัติต่อคุณหนูเป็นอย่างดีแน่นอน”
เถาหงฉลาดกว่าหลิวลวี่ตรงที่รู้ดีว่าส่วนไหนเป็นสิ่งสำคัญกว่า “นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นคนใจอ่อน ย่อมโกรธฮูหยินรองเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพียงแค่นางเป่าหูสักหน่อย ไม่กี่วันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว”
อันหรูอี้ขมวดคิ้วพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “ดังนั้น เป้าหมายครั้งนี้จึงมิได้อยู่ที่ตรงนี้”
หลิวลวี่ขมวดคิ้วสงสัย “แล้วคุณหนูต้องการทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
“เพื่อ ‘แก้ไขปรับปรุงตนเอง’ ต่างหาก” อันหรูอี้ดูเหมือนจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง “แต่ท่านพ่อของข้ามิได้เพียงใจอ่อนเท่านั้น หูของเขาก็ยังอเบาด้วยเช่นกัน… เฮ้อ คนแบบนี้ควบคุมได้ง่ายที่สุด ก็มิใดแปลกใจที่ท่านพ่อจะเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี”
ช่างเป็นคำกล่าวที่บังอาจจริง ๆ! เซี่ยเหิงแสดงสีหน้าตกใจ มองไปที่ซ่งจื่ออาน แต่กลับเห็นรอยยิ้มที่มุมปากโดยไม่แสดงท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด
เถาหงและหลิวลวี่ไม่เข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดเล็กน้อย เถาหงมองไปที่ประตูด้วยความระมัดระวังและเอ่ยขึ้น “คุณหนู เหตุการณ์วันนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านยังมีบาดแผลอยู่ พักผ่อนก่อนเถิดนะเจ้าค่ะ”
“อืม” นางก็เริ่มรู้สึกตัวร้อนเล็กน้อย อันหรูอี้กะพริบตา “เทียบยาที่ท่านหมอเขียนไว้ให้ เก็บไว้หรือไม่?”
เถาหงพยักหน้า
อันหรูอี้ยิ้ม “วันพรุ่งนี้สั่งครัวต้มยาตามเทียบยาส่งเข้ามาให้ข้า เจ้าก็ไปเอายาอีกชุดจากข้างนอกมาเก็บไว้ในห้องนี้”
หลิวลวี่กับเถาหงหันมองหน้ากัน เข้าใจดีว่าหากใช้ยาภายในจวนอาจถูกอันหลิงหลงลอบทำร้ายได้
เรื่องอาหารการกินภายในจวนแห่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง อันหรูอี้แม้ไม่ต้องการเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าวัง แต่ก็ไม่ควรให้ตัวเองถูกทำร้ายในจวนแห่งนี้ได้
นางต้องมีชีวิตรอดต่อไป
หลังจากสาวใช้ทั้งสองออกไป อันหรูอี้ก็เข้านอนโดยไม่ได้ขยับตัวไปสักพัก
ซ่งจื่ออานผลักหน้าต่างออก แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งใดที่อยู่หลังม่านที่ปิดลง มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาจากห้องนอนอย่างรุนแรง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดหน้าต่างลง
“วันรุ่งขึ้นให้โจวฟูเข้าเวร” ซ่งจื่ออานมองไปที่เซี่ยเหิง “เข้าใจหรือไม่?”
โจวฟูเป็นหมอหลวงประจำสำนักหมอหลวง
หมอหลวงผู้นี้แม้อายุจะไม่มากนักแต่ฝีมือการแพทย์กลับเก่งกาจกว่าผู้มีประสบการณ์มากกว่า เขาเพิ่งลาหยุดไปสองวันเพื่อไปร่วมงานวันเกิดอายุหกสิบปีของบิดาที่จวน แต่บัดนี้กลับถูกเรียกตัวกลับมากะทันหัน
เชี่ยเหิงพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ซ่งจื่ออานมองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง แล้วเอ่ยว่า “…ไปกันเถิด กลับวัง”
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่อันก่วงเหนิงเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสร็จก็รีบไปที่สำนักหมอหลวงทันที เพื่อเชิญหมอหลวงกลับไปที่จวน ปรากฏว่าเมื่อไปถึงกลับพบเป็นโจวฟูอยู่เวรที่สำนักหมอหลวงพอดี อันก่วงเหนิงจึงเชิญโจวฟูไปที่จวนของตน
เมื่อโจวฟูมาถึงพบว่าอันหรูอี้กำลังมีไข้สูง ใบหน้างดงามนั้นแดงก่ำราวกับกำลังถูกย่างไฟ
หมอหลวงได้สั่งยาเพื่อลดไข้ให้แล้ว แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก โจวฟูดูเทียบยาที่หมอหลวงคนก่อนจัดให้ แล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เทียบยานี้ดีแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกังวลว่าร่างกายของคุณหนูอ่อนแอเกินไปที่จะรับยากระตุ้น จึงลดปริมาณยาลง”
พูดจบโจวฟูก็เหลือบไปมองอันหรูอี้ที่กำลังนอนหลับอยู่หลังม่านสีแดงที่ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมา ม่านบังใบหน้าของอันหรูอี้ไว้เพียงแค่บางส่วน แต่ก็ยังไม่สามารถบดบังความงามของสตรีผู้นี้ได้เลย โจวฟูนึกถึงคำสั่งของเซี่ยเหิงว่า ฮ่องเต้ให้เขาไปขึ้นเวรที่สำนักหมอหลวงเพื่อรออันก่วงเหนิง
เป็นไปได้ว่าที่ฝ่าบาททรงรับสั่งเซี่ยเหิงมา คงเป็นเพราะคุณหนูผู้นี้อย่างแน่นอน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ขณะที่โจวฟูกำลังจัดเก็บของแล้วออกจากห้องกับอันก่วงเหนิง ระหว่างทางเขาก็หัวเราะพลางกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีมิต้องกังวล เพียงแค่ทานยาตามที่สั่ง แล้วพักผ่อนอีกสักระยะ บุตรสาวของท่านย่อมปลอดภัยแน่นอน”
อันก่วงเหนิงถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางถามต่อว่า “แต่นางจะหายทันวันที่ต้องคัดเลือกสนมหรือไม่?”
โจวฟูยกนิ้วคำนวณแล้วส่ายหน้าตอบว่า “หากบุตรสาวท่านทานยาอย่างจริงจัง และพักผ่อนให้ดี คงไม่พลาดแน่”
ทางด้านอันก่วงเหนิงโล่งอก แต่อันหรูอี้กลับขมวดคิ้ว หมอหลวงในพระราชวังล้วนเป็นผู้มีฝีมือสูง ไม่ควรดูถูก หากเขารักษาโรคของตนให้หายได้จริง ๆ กลัวว่าตนจะไม่สามารถทำตามใจชอบได้อีกต่อไปแน่
แต่หากแกล้งทำเป็นป่วยแล้วผู้อื่นจับได้ขึ้นมา… ไม่ได้ เช่นนั้นต้องให้ไข้ลดลงก่อน หากไข้ของนางขึ้นสูงมาจริง ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อันหรูอี้ก็เรียกเถาหงมา สภาพที่อ่อนแรงของนางช่างน่าเวทนาจริง ๆ อันหรูอี้พูดเสียงแหบว่า “หลิวลวี่นางเป็นคนหุนหันใจร้อน เรื่องนี้ข้าต้องวานให้เจ้าไปเอายาที่ร้านยาข้างนอก ระวังอย่าให้ผู้ใดเห็นเจ้าเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เถาหงจัดผ้าห่มให้เรียบร้อย แล้วพูดเบา ๆ ว่า “คุณหนู ท่านวางใจได้ ข้าจะระวังเจ้าค่ะ”
เถาหงซื่อสัตย์และขยันทำงานเสมอมา อันหรูอี้จึงพยักหน้า แล้วค่อย ๆ หลับตาลง เถาหงสั่งให้หลิวลวี่อยู่เฝ้าดูแลคุณหนูใหญ่ อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้ห้องของคุณหนู จากนั้นนางก็หิ้วตะกร้าดอกไม้ออกจากประตูเรือนไป
คนเฝ้าประตูเห็นว่าผู้ที่ออกมาคือเถาหง ปกติแล้วพวกเขาจะต้องเอ่ยถามสักสองสามประโยค แต่วันนี้กลับมิได้ขวางแต่ปล่อยให้นางเดินออกจากจวนได้อย่างปกติ
เถาหงเดินตรงไปยังร้านขายยา หยิบห่อยามาหกห่อแล้วเดินออกมาจากร้าน มุ่งตรงไปยังร้านดอกไม้
เถาหงซื้อได้ดอกไม้กระดาษสีสันสวยงามมาหลายดอก จากนั้นจึงมุ่งตรงกลับสู่จวนอัครมหาเสนาบดี
แต่เมื่อเถาหงก้าวออกจากร้านดอกไม้ได้เพียงสามก้าว นางกับพบหบุรุษรูปงามผู้หนึ่งดวงตาเรียวยาว ท่วงท่าสง่างามราวกับผู้สูงศักดิ์ ด้านหลังบุรุษผู้นั้นยังมีหนุ่มรูปอีกหนึ่งคนเดินตามด้านหลัง
เถาหงเบิกตากว้าง ใบหน้าแย้มยิ้มด้วยความดีใจ “คุณชาย! ท่านนี่เอง บังเอิญจริง ๆ นะเจ้าค่ะ”
ซ่งจื่ออานชี้ตนเองด้วยพัดไม้ในมือ “เจ้าเรียกข้าหรือ?”
เถาหงหัวเราะเบา ๆ “ท่านได้ช่วยชีวิตคุณหนูของข้า ยามนี้ท่านก็เปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของข้าเช่นกันเจ้าค่ะ”
ซ่งจื่ออานยิ้มพลางมองดอกกระดาษสีสันสวยงามในตะกร้า ริมฝีปากคลี่ยิ้มลึกซึ้ง แต่ดวงตากลับไร้ความรู้สึกใด ๆ “ครั้งก่อนนั้นเป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น คุณหนูของเจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“เฮ้อ…จะว่าดีได้อย่างไรกันล่ะเจ้าค่ะ” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เถาหงรู้สึกปวดใจ ได้แต่ยิ้มแห้งตอบ แล้วมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
แม้ว่าซ่งจื่ออานจะช่วยคุณหนูของนางไว้ได้ แต่ก็เกือบทำให้คุณหนูถูกลงโทษจากท่านอัครมหาเสนาบดี เมื่อนึกถึงจุดนี้ สีหน้าของเถาหงก็เคร่งขรึมแล้วเก็บสีหน้าทันที พลางกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องด่วนที่จวน ต้องรีบกลับแล้ว เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อนนะเจ้าค่ะ”
ซ่งจื่ออานมิได้ขัดขวาง เมื่อเห็นสาวใช้ของอันหรูอี้จากไปเขาก็หันสายตาไปมองข้ารับใช้ของตระกูลอันที่แอบสะกดรอยตามนางมาด้วยท่าทางมีพิรุธ
“…เซี่ยเหิง” ซ่งจื่ออานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ารอเจ้าอยู่ที่หอสือจื่อ”
เซี่ยเหิงพยักหน้ารับช้า ๆ ซ่งจื่ออานก้าวเท้าเดินนำหน้าแต่เซี่ยเหิงกลับยืนรออยู่ที่เดิม จนกระทั่งคนของตระกูลอันเดินผ่านเขาไปแล้ว เซี่ยเหิงจึงค่อย ๆ หันหลังกลับ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะเดินตามคนเหล่านั้นไป
…
อันหรูอี้นอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มจนเหงื่อออกทั่วตัว ยาที่เถาหงนำกลับมานางทานไปหนึ่งถ้วย ผ่านไปอีกสองชั่วยามจึงให้ท่านเพิ่มไปอีกหนึ่งถ้วย จนกระทั่งฟ้ามืดไข้ของอันหรูอี้จึงค่อย ๆ ลดลง
ข้ารับใช้รายงานเรื่องนี้แก่อันก่วงเหนิง หลังจากที่อันก่วงเหนิงส่งคนมาคอยดูอาการอันหรูอี้ เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวตนตอนนี้ไข้ลดลงมากแล้ว ในที่สุดก็คลายใจลงได้
อันหรูอี้ลุกขึ้นนั่งเปิดหน้าต่าง อากาศหนาวเย็นของฤดูหนาวพัดโชยมา ทำให้นางรู้สึกสั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง พลางสายตาของตนก็เผลอมองไปยังทิศทางของพระราชวัง
ยามค่ำคืนที่โคมไฟสลัวลงครึ่ง แสงจันทร์ส่องสว่างครึ่งท้องฟ้า…
อันหรูอี้ลุกขึ้นนั่ง เปิดหน้าต่างรับลมหนาวของฤดูหนาวที่พัดโหมเข้ามาจนกายสั่นสะท้าน แต่สายตากลับเผลอจ้องมองไปยังทิศทางของพระราชวัง
พระราชวังใหญ่โต ที่เช่นนั้นหลายตำหนักล้วนเต็มไปด้วยหญิงงาม แม้แต่จวนขุนนางเล็ก ๆ แห่งนี้ ยังมีถึงสามสี่ฮูหยินแล้วพระราชวังอันกว้างใหญ่ไพศาลจะต้องมีมากมายเพียงใดกัน?
เมื่อนึกถึงการกระทำของอันก่วงเหนิงที่ผ่านมา นางไม่อาจยอมรับบุรุษที่โอบกอดหญิงงามมากมายได้
“หากใต้หล้ามีแต่บุรุษที่เป็นเฉกเช่นบิดา” อันหรูอี้ยิ้มจาง ๆ “เช่นนั้นอยู่คนเดียวมิสบายใจกว่าหรือ….”