หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 17 ลุกขึ้นเถอะ
บทที่ 17 ลุกขึ้นเถอะ
บทที่ 17 ลุกขึ้นเถอะ
ขณะที่ข่าวการจมน้ำแพร่เข้าสู่พระราชวัง ซ่งจื่ออานกำลังดูฎีกาที่ถูกนำมาถวาย ซึ่งบังเอิญเป็นฎีกาที่กล่าวถึงการทุจริตเกี่ยวกับน้ำโดยตรง
เขื่อนกั้นน้ำที่มณฑลเหอหนานพังขาดทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ ชาวบ้านและทหารร่วมกันสร้างคันกั้นน้ำแต่กลับได้รับค่าแรงไม่เท่ากัน
เกิดความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ย่อมนำมาซึ่งความไม่พอใจของประชาชน อุทกภัยยังไม่ทันสงบ กลับก่อให้เกิดเหตุจลาจลที่ประชาชนล้อมเจ้าหน้าที่จนในที่สุดก็มีคนเสียชีวิตไปกว่าสิบคน!
ไม่มีทางเลือกเมื่อเรื่องราวบานปลายขนาดนี้รองเสนาบดีจึงเล็งเห็นโอกาสรายงานเรื่องนี้ขึ้นมา
“โกงกินสินบน ทุจริตต่อหน้าที่ เพิกเฉยต่อประชาชน สมควรตาย”
ซ่งจื่ออานขมวดคิ้วแน่น สวมชุดคลุมสีเหลืองทองพร้อมมงกุฎทองประดับทับทิมที่ศีรษะ ใบหน้าด้านข้างคมคายราวกับถูกแกะสลักภายใต้แสงโคมไฟทำให้รู้ถึงความอบอุ่นที่แพร่กระจายอยู่รอบ ๆ ตัว แต่แววตาที่เปล่งประกายออกมากลับเย็นชาอย่างยิ่ง
ในพระราชวังที่งดงามกลับมีเพียงข้าราชบริพารไม่กี่คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เงียบสงัดราวกับรูปปั้น
หลังจากตรวจฎีกาจบไม่นาน เซี่ยเหิงเข้าเฝ้าและรายงานด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท บุตรสาวคนโตของท่านอัครมหาเสนบดีตกน้ำ และตอนนี้ยังไม่ทราบว่านางจะมีชีวิตรอดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะที่ซ่งจื่ออานกำลังจะพักผ่อน พอได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วโน้มตัวเข้าไปถามเซี่ยเหิงว่า “เหตุใดจึงตกน้ำ?”
เซี่ยเหิงมีสีหน้าซับซ้อนก่อนเอ่ยว่า “จากที่หน่วยสอดแหนมรายงานมาว่าเป็นคุณหนูใหญ่มีเรื่องกับกับฮูหยินรองในจวน…จึงพลัดตกน้ำโดยมิได้ตั้งใจพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออานเหลือบมองดูสีหน้าของเขา รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ปกติจึงก้าวเดินออกไปข้างนอกพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “บอกความจริงมาเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
เซี่ยเหิงพยักหน้า แล้วรายงานทุกสิ่งที่หน่วยสอดแนมได้รับรู้มาให้ซ่งจื่ออานทราบทั้งหมด ซ่งจื่ออานหวนระลึกถึงวันที่พบกับสตรีผู้นั้นบนถนนโดยบังเอิญ นางมีรูปโฉมงดงามน่าพิศวงจนทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลง
และนางกลับเป็นบุตรสาวคนโตของอัครมหาเสนาบดี ในไม่ช้านางก็จะต้องเข้าวัง ภายในใจของเขารู้ยินดีที่จะได้พบกับนางอีกครั้งแต่ไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับนางเช่นนี้
ซ่งจื่ออานถอดชุดคลุมมังกรแล้วเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดา ดวงตาคู่งามของเขาเปล่งประกายระรื่นด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าทางคืนนี้ตระกูลอันจะมีงิ้วฉากใหญ่ เจ้าจงตามเราไปดูหน่อยเถิด”
เซี่ยเหิงไม่ได้ขัดขวาง นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่ซ่งจื่ออานจะเข้าออกวังหลวงโดยพละการเช่นนี้ เขาไม่เคยจะแจ้งให้ผู้ใดรับรู้เพียงหยิบป้ายแล้วก็ควบม้าออกจากวังหลวงไป
ผู้ใดจะคาดคิดว่าจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์และองครักษ์คู่ใจกลับลอบเข้าไปในจวนอัครมหาเสนาบดีราวกับโจรย่องเบาในยามราตรีเช่นนี้ โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแม้แต่น้อย
แต่ยังไม่ทันจะถึงจุดหมายของทั้งสองคน พวกเขาก็มองเห็นแสงไฟสว่างไสวและได้ยินเสียงร้องไห้อย่างน่าหดหู่และน่ารำคาญดังขึ้นมา
“ท่านพี่ มิใช่ข้าตั้งใจจะทำให้หรูอี้เสียคนนะเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่ตามใจนางมากไปเกิน เป็นห่วงเกรงกลัวว่านางอาจจะโดนกลั่นแกล้งได้ง่าย แต่ผู้ใดจะคิดว่าการกระทำที่ข้าหวังดีจะนำมาซึ่งเรื่องร้ายเช่นนี้ได้ หรูอี้มีนิสัยแข็งกระด้างขึ้นเรื่อย ๆ มิยอมรับการตักเตือน จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!”
ซ่งจื่ออานขมวดคิ้ว แล้วได้ยินเสียงหญิงสาวอีกคนพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ตำหนิท่านแม่เลย หลายปีที่ผ่านมาท่านแม่เกรงว่าท่านพี่อาจจะน้อยใจที่มิได้รับการดูแลที่ดี ท่านแม่จึงตามใจนาง มิกล้าที่จะอบรบสั่งสอน นี่มิใช่ความผิดของท่านแม่เลย!”
ซ่งจื่ออานซ่อนตัวอยู่หลังหน้าต่าง เขาค่อย ๆ แง้มหน้าต่างให้เกิดช่องว่างเพียงเล็กน้อยเพื่อมองเข้าไปข้างใน เห็นอันหลิงหลงกำลังคุกเข่าร้องไห้อยู่ข้างหน้าอันก่วงเหนิง ส่วนสตรีที่อยู่ข้าง ๆ นางหลงเหลือความงดงามอยู่ราว ๆ สามส่วน ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงร่างกายก็สั่นเทิ้มอยู่ตลอด ใบหน้าอีกซีกหนึ่งก็บวมเป่งราวกับหัวหมู
ดูแล้วนี่คงเป็นหวังเสวี่ยเฟิงแล้ว สายตาของซ่งจื่ออานเพ่งมองเข้าไปด้านใน เขามองผ่านสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ คนหนึ่งชุดน้ำเงิน คนหนึ่งชุดแดง สุดท้ายก็มาหยุดที่ข้างเตียง
จากตำแหน่งของเขาในตอนแรก เขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่บนเตียงได้ชัดเจน แต่ไม่นานนักก็เห็นเป็นอันหรูอี้ที่ลุกขึ้นมาจากเตียง
หลังจากที่ฟังคำแก้ตัวที่เหลวไหลของทั้งสองคน อันก่วงเหนิงก็โกรธจนอยากจะลงมือฆ่าใครสักคน แต่ทันใดนั้นก็เห็นสาวใช้กำลังประคองอันหรูอี้เดินเข้ามา
“หรูอี้! เหตุใดเจ้าจึงลุกขึ้นมาจากเตียงเล่า!”
อันหรูอี้เพียงส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่หน้าอันก่วงเหนิง ร่างกายบอบบางซีดเซียวปรากฏในสายตาของซ่งจื่ออานทันที เมื่อเห็นว่านางต้องมีคนพยุงแม้กระทั่งนางกำลังจะคุกเข่า หัวใจของเขาก็ราวกับถูกบีบรัดจนรู้สึกเจ็บปวด
อันก่วงเหนิงก็ตกใจ “หรูอี้ เจ้าจะทำสิ่งใดกัน! ร่างกายของเจ้าตอนนี้ไม่สามารถจะแตะพื้นได้ เจ้า…”
“ท่านพ่อ” อันหรูอี้ขัดจังหวะเขา “การที่ท่านมาเยี่ยมลูกในวันนี้ ลูกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง”
นี่ไม่เหมือนคำกล่าวที่บุตรจะเอ่ยกับผู้ที่เป็นบิดา แม้อันก่วงเหนิงจะรู้สึกขมขื่นเล็กน้อยแต่ก็ปล่อยให้นางกล่าวต่อ
อันหรูอี้ไอออกมาเบา ๆ เห็นชัดว่าร่างกายของนางยังไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรนัก แต่แววตาของนางกลับมุ่งมั่งแม้กระทั่งน้ำเสียงที่หนักแน่นก็ยากที่จะโต้แย้งกับนางได้ “ท่านพ่อ เรื่องนี้มิสามารถโทษฮูหยินรองได้”
หลังจากที่อันหรูอี้กล่าวจบ แม้แต่อันก่วงเหนิงก็ยังตกตะลึงครู่หนึ่ง “หรูอี้ เจ้ามิโทษนางงั้นรึ?”
อันหรูอี้ส่ายหัวเล็กน้อย “ท่านพ่อ… แม้ว่าความบริสุทธิ์จะเป็นสิ่งสำคัญแต่ผู้ที่อยู่ในโคลนตมโดยไม่แปดเปื้อนก็มีมากมายในโลกใบนี้*[1]หลายปีที่ผ่านมา เป็นลูกเองที่มิได้รักษาจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ของตนเอาไว้ ดังนั้นจึงมิควรโทษฮูหยินรองได้เลย”
ซ่งจื่ออานมองด้วยสายตาเพ่งพินิจครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ
เขาสืบรู้มาว่าในอดีตอันหรูอี้มิได้รับความรักจากอันก่วงเหนิงแต่อย่างใด หากนางปล่อยให้อันก่วงเนิงจัดการเรื่องตามนิสัยของตน ท้ายที่สุดก็คงเพียงแค่ลงโทษเบา ๆ เท่านั้น คงมิคุ้มค่าเท่ากับใช้โอกาสนี้กอบกู้ความรักจากบิดาที่สูญเสียไปนานหลายปี เช่นนั้นจะเป็นการได้มากกว่าเสีย
ยิ่งอันหรูอี้อยู่ในสภาพที่น่าเวทนาและดูสงสารเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้คนที่เห็นต้องรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจนางอย่างสุดซึ้ง หลังจากไม่ได้รับความโปรดปรานมานานหลายปี วันนี้กลับพลิกมาชนะด้วยการใช้กลยุทธ์ ‘ถอยเพื่อรุก’ แล้วได้ผลกำไรที่งดงามอย่างแท้จริง
อันหรูอี้ผู้นี้…ฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
ซ่งจื่ออานยังคงมองต่อไป เห็นอันหรูอี้ค่อย ๆ กล่าวกับอันก่วงเหนิงอีกครั้ง
อันหรูอี้ก้มคำนับจนศีรษะแทบจะจรดพื้น เลือดจากบาดแผลที่แขนและมือของนางก็ราวกับจะไหลซึมออกมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ” อันหรูอี้กล่าวอย่างสงบนิ่ง “ลูกกลับขอร้องท่าน อย่าได้ลงโทษฮูหยินรองเลย นางก็มีบุตรสาวของตนเอง ช่วงนั้นลูกกับน้องรองมีอายุไล่เลี่ยกัน การที่ฮูหยินรองจะใส่ใจน้องรองมากกว่าลูกย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”
ซ่งจื่ออานมีสีหน้าสนใจยิ่งขึ้น คราแรกที่พบเขารู้สึกประทับใจในรูปโฉมที่งดงาม ครานี้นอกจากความฉลาดหลักแหลม ไม่รู้ว่านางจะให้เขาประจักษ์สิ่งใดในตัวนางอีกบ้าง…
อันก่วงเหนิงมองหวังเสวี่ยเฟิงด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง เห็นใบหน้าของนางมีสีหน้าเจ็บปวดและรู้สึกผิด ในใจเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา
พลันในใจของอันก่วงเหนิงก็เฝ้าถามตนเองว่าที่ผ่านมาเขาเคยใส่ใจสิ่งใดบ้างหรือไม่? เฮ้อ…
อันหรูอี้ไม่รอให้ทุกคนตอบสนอง นางหันกลับไปมองหวังเสวี่ยเฟิงอีกครั้ง มุมปากแฝงรอยยิ้มจาง ๆ และโค้งคำนับให้หวังเสวี่ยเฟิง!
ทุกคนต่างตกตะลึง แต่ได้ยินอันหรูอี้เอ่ยขึ้นว่า “ป้าหวัง ตลอดหลายปีนี้ ท่านก็มิเคยให้ข้าขาดแคลนเสื้อผ้าข้าวปลาอาหารเลย เรื่องในวันนี้ถือเป็นความเข้าใจผิด ต่อไปข้าก็ยังคงเป็นบุตรสาวคนโตของท่าน ท่านก็ยังคงเป็นท่านป้าหวังของข้า เช่นนี้ดีหรือไหมเจ้าค่ะ?”
ซ่งจื่ออานกัดริมฝีปากตนเองไว้ทันที เพราะเขาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว
คำพูดของหรูอี้ดูราวกับจะคลี่คลายความขัดแย้งในวันนี้ แต่แท้จริงคือต้องการให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของบุตรสาวคนโตอย่างนาง
หากพูดถึงในกฎระเบียนภายในจวนแล้ว ด้วยสถานะของหวังเสวี่ยเฟิงจะต้องรักษามารยาทอย่างน้อยสามส่วน! เมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรสาวคนโตของตระกูล!
น่าเสียดายที่หวังเสวี่ยเฟิงไม่อาจโต้แย้งอันใดได้ เพราะอันก่วงเหนิงเป็นผู้ที่ชอบทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเล็ก โดยเฉพาะเรื่องในครอบครัว ตอนนี้นางจึงไม่อาจขัดขืนหรือโต้แย้งอันใดกับเขาได้
คำกล่าวของอันหรูอี้สมกับเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลขุนนางชั้นสูงจริง ๆ ทำให้ภายในใจของอันก่วงเหนิงรู้สึกปลาบปลื้ม อันหรูอี้มองหวังเสวี่ยเฟิงด้วยสายตาที่เหนือกว่า สีหน้าของหวังเสวี่ยเฟิงถูกซ่อนไว้ในเงามืดแต่เสียงร้องไห้ของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
กลับกันซ่งจื่ออานมองเห็นเพียงว่าหวังเสวี่ยเฟิงกับอันหลิงหลงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและแววตาที่อำมหิตราวกับอยากจะฆ่าคน
“ขอบคุณ คุณหนูใหญ่…” หวังเสวี่ยเฟิงยิ้มแข็งทื่อ “ข้ามิคิดเลยว่าจะทำดีกลับกลายเป็นชั่ว ทำให้คุณหนูใหญ่ถูกผู้อื่นเข้าใจผิดเช่นนี้”
ด้วยการที่อันก่วงเหนิงยังอยู่ที่นี่ อันหลิงหลงจึงแสร้งทำท่าทีบ้าง “หลายปีมานี้ น้องรองเข้าใจท่านพี่ผิดมาตลอด ท่านพี่มีน้ำใจกว้างขวางโปรดอย่าได้ถือสาน้องที่โง่เขลาเช่นข้าเลยนะเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ ยื่นมือออกไปให้เถาหงและหลิวลวี่ช่วยพยุงให้นางลุกขึ้น แม้อันหรูอี้จะดูอ่อนแอแต่ก็ยังคงงดงาม
สายตาอันหรูอี้ค่อย ๆ สูงขึ้น วิสัยทัศน์การมองเห็นของนางก็เปลี่ยนไปเป็นเห็นสตรีสองคนราวกับกำลังหมอบคลานอยู่ตรงหน้าเพื่อวิงวอนร้องขอการอภัยจากตนเอง
อันหรูอี้หันหลังให้อันก่วงเหนิง แววตาก็ฉายแววเย็นเยียบออกมา “มิต้องคุกเข่าแล้ว ลุกขึ้นเถอะ”
‘ลุกขึ้นเถิด’ คำพูดนี้ค่อนข้างคล้ายกับคำที่เขามักพูดเป็นประจำ ซ่งจื่ออานเผยรอยยิ้มกว้างแวววับขึ้นทันใด นางช่างสง่างามยิ่งนัก!
[1] ออกมาจากโคลนตมแต่ไม่เปื้อน เป็นสำนวนจีน เปรียบเสมือนคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี แต่ยังคงรักษาความดีงามและความบริสุทธิ์ของตนเองไว้ได้