หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 16 ร้องทุกข์
บทที่ 16 ร้องทุกข์
บทที่ 16 ร้องทุกข์
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าอันก่วงเหนิงจะปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ยกเว้นอันหรูอี้แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาให้เรื่องอื่นแล้ว
ตอนนี้อันหรูอี้กำลังจะจมน้ำอย่างแท้จริง นางประเมินความเย็นของน้ำในใกล้ช่างปลายฤดูหนาวเกินต่ำไป พอร่างกายได้สัมผัสน้ำในสระนางก็รู้สึกราวกับถูกเข็มทิ่มทั้งร่างโดยเฉพาะบาดแผลที่นางได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้
ไม่… นางไม่อยากตาย…
เมื่อชีวิตก่อนตอนที่นางใกล้จะตายด้วยความหิว นางถึงกลับต้องกินเครื่องสำอางในห้องของตัวเองเพื่อประทังชีวิต รวมถึงหญ้าที่พอจะกลืนลงไปได้ ความรู้สึกที่ค่อย ๆ ถูกพรากชีวิตให้สิ้นลมหายใจอย่างช้า ๆ มันช่างเจ็บปวดและทรมานยิ่งนัก
นางไม่อยากตายอีกแล้ว นางอยากมีชีวิตอยู่… นางจะต้องมีชีวิตต่อไป!
“ช่วยด้วย!” อันหรูอี้ ใช้แรงครั้งสุดท้ายตีผิวน้ำตะเกียกตะกายอย่างสุดกำลัง “ท่านพ่อ! ช่วยข้าด้วย…”
หลิวลวี่พุ่งเข้าตัวไปริมสระอย่างบ้าคลั่ง “นายท่าน! ขอร้องท่าน ได้โปรดช่วยคุณหนูของข้าด้วย! คุณหนูถูกฮูหยินรองผลักตกลงไปในสระน้ำเจ้าค่ะ! คุณหนูยังบาดเจ็บอยู่ด้วย! นายท่านข้าขอร้อง!”
“ยังจะนิ่งเฉยกันอีกรึ?!” อันก่วงเหนิงวิ่งเข้าตรงมาที่ริมสระด้วยความตกใจแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผลักหวังเสวี่ยเฟิงที่ยังยืนงงให้ออกไป “เร็ว! รีบช่วยบุตรสาวของข้า!”
ข้ารับใช้ที่ตามอันก่วงเหนิงมา ต่างพุ่งกระโจนลงไปในสระน้ำราวกับเกี๊ยวที่ถูกโยนลงไปในหม้อ หลิวลวี่คลานมาที่ริมฝั่งพลางถอดเสื้อคลุมของนางออก มองดูอันหรูอี้ที่สำลักน้ำไปหลายครั้งด้วยความปวดใจ
หลังจากได้ยินเสียงอันก่วงเหนิงตวาดเรียกชื่อตน หวังเสวี่ยเฟิงตกใจกับสิ่งที่นางเพิ่งทำลงไป นางทรุดตัวลงกับพื้น ไม่รู้ว่าตนจะทำอย่างไรดี
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอันหรูอี้จะสร้างปัญหามากมายเพียงใด แม้ท่านอัครมหาเสนาบดีจะโกรธ แต่ก็ไม่เคยลงมือทำอันใดกับนางเลย แต่ตอนนี้มันต่างออกไป อันหรูอี้มิใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังเสวี่ยเฟิงก็รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวนางแล้ว ยามนี้นางทำได้เพียงภาวนาอยู่บนฝั่งให้อันหรูอี้ปลอดภัย
ข้ารับใช้รีบช่วยกันตัวอันหรูอี้ขึ้นมาจากสระ จากนั้นก็รีบผละออกไปกันข้อครหา หลิวลวี่รีบใช้เสื้อคลุมห่มกอดนางไว้แล้วร้องเสียงดัง “นายท่าน คุณหนูเลือดออก!”
ด้วยความโกรธ อันก่วงเหนิงถอยหลังไปสองก้าวกระชากเสื้อให้ของหวังเสวี่ยเฟิงให้ลุกขึ้นแล้วตบไปที่หน้าของหวังเสวี่ยเฟิงอย่างแรงพลางชี้หน้าด่า “นางปีศาจ!”
ใบหน้าของอันหรูอี้ซีดเผือดไร้สีเลือด ยามอู่บุตรสาวยังนั่งคุยจิบชากับเขาอยู่เลย แต่บัดนี้นางกลับมีสภาพเช่นนี้ได้
เมื่อนึกถึงฮูหยินใหญ่ที่เสียชีวิตเพราะจมน้ำตายเช่นกัน เช่นนั้นจะไม่ให้เขาเจ็บปวดได้อย่างไร
อันก่วงเหนิงจ้องมองไปยังหวังเสวี่ยเฟิงด้วยตาแดงก่ำ กล้าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าภาวนาให้หรูอี้ปลอดภัยซะ… มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี!”
หลังจากที่หวังเสวี่ยเฟิงถูกอันก่วงเหนิงตบนางก็นั่งกุมแก้มที่บวมเป่งของตนเอง นางนั่งนิ่งเงียบราวกับนางได้สูญเสียสติปชัญญะแล้วสิ้น
อันก่วงเหนิงไม่สนใจนางอีกต่อไป เขาอุ้มอันหรูอี้ไปยังเรือนเหมันต์ เขาที่กำลังอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ การอุ้มเด็กสาวที่หนักร้อยชั่งเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง แต่เขากลับรู้สึกว่าร่างของอันหรูอี้ช่างเบาดุจปุยนุ่น
โดยปกติแล้วเมื่อคนเราหมดสติร่างกายจะรู้สึกหนักมาก ยิ่งเป็นหน้าหนาวด้วยแล้วไม่ต้องเอ่ยถึง กปอรกับเสื้อผ้าที่เปียกน้ำของนางด้วย เขากลับยิ่งรู้สขึกว่าอันหรูมีน้ำหนักที่เบาจนผิดปกติ
สีหน้าของอันก่วงเหนิงซีดเผือด เขาตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนจนได้ยินเสียงบางอย่างออกจากริมฝีปากของบุตรสาวตน เขาจึงชะลอความเร็วลงแล้วก้มหน้าลงไปใกล้ริมฝีของอันหรูอี้ เพื่อที่จะฟังคำละเมอที่อันหรูอี้เอ่ยออกมา ไม่นานนักหลิวลวี่กับข้ารับใช้ที่วิ่งตามหลังมาก็เริ่มไล่ตามหลังอันก่วงเหนิงทัน
โคมไฟนับร้อยห้อยระย้าอยู่บนถนนทางเดินเป็นรูปโค้ง ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง แต่กลับไร้ซึ่งแสงสว่างจากโคมไฟเหล่านั้นราวกับจงใจขับเน้นให้เห็นถึงความซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงบนใบหน้าของบุรุษผู้อุ้มร่างน้อย
อันหรูอี้ขยับตัวเล็กมองอันก่วงเหนิงอย่างสะลึมสะลือแล้วร้องออกมาเบา ๆ “ท่านพ่อ… ทำไม…ท่านมิช่วยข้า?”
ตอนข้าใกล้จะตายเพราะความหิว เหตุใดท่านถึงไม่มาช่วยข้า? เหตุใดท่านจึงไม่มา…
เมื่อพาตัวอันหรูอี้มาถึงเรือนเหมันต์ เถาหงก็แทบจะเป็นลมแต่นางก็ยังตั้งสติไว้ สั่งให้คนไปต้มน้ำร้อนและเตรียมเสื้อผ้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับคุณหนูของตนหลังฉากกั้น จากนั้นจึงให้หมอเข้ามาดูอาการ
หมอชรายืนที่คอยอยู่นอกประตู พลันในใจก็คิดว่าคุณหนูผู้นี้ช่างมีชีวิตที่อาภัพนัก ไม่กี่วันนางก็เพิ่งเจอกับความยากลำบาก ทั้งที่นางเพิ่งจะอายุสิบหกปี ร่างกายของนางจะทนไหวได้อย่างไร…
“คารวะท่านอัครมหาเสนาบดี” หมอประจำตระกูลกล่าวทันทีที่เข้ามาในห้อง
อันก่วงเหนิงร้อนใจ “เวลานี้จะพิธีรีตองอันใด! ช่วยคนสำคัญกว่า!”
หมอชราปาดเหงื่อที่หน้าผาก รีบเดินไปที่เตียงสั่งให้เถาหงช่วยกดหน้าท้องและตบหลังคุณหนู เพื่อให้น้ำที่สำลักเข้าไปออกมาให้หมดก่อน
อันหรูอี้พยายามอาเจียนอย่างยากลำบาก ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงของนางเป็นอุปสรรคอย่างมาก แต่หมอชราก็มิได้สนใจสิ่งนั้น ตะโกนบอกว่า “รีบไปต้มซุปโสมมาให้เร็ว!”
พูดจบก็พับแขนเสื้อของอันหรูอี้ขึ้น พบว่าอาการบาดเจ็บที่มือกำลังจะหายของอันหรูอี้กลับปริแตกขึ้นมาอีกครั้ง หมอชรารีบร้อนพูดทันที “ในฤดูหนาวเช่นนี้หากปวดขึ้นมาอีกคงลำบากยิ่ง”
อันก่วงเหนิงยืนฟังอยู่ข้าง ๆ เมื่อนึกถึงที่มาของบาดแผลนั้น เขาก็โกรธจนตัวสั่น แต่ความโกรธทั้งหมดกลับถูกกดไว้ในใจเพียงแค่รอเวลาที่มันจะปะทุออกมาดุจภูเขาไฟในไม่ช้า…
หลังจากโรยยารักษาบาดแผลที่มือแล้ว หมอชราก็หาวิธีช่วยให้อันหรูอี้สำรอกน้ำที่สำลักเข้าไปออกมา จากนั้นก็รีบให้ข้ารับใช้ไปต้มยาขับความเย็นพร้อมกำชับย่าวรับใช้ให้ไม่ต้องกังวลเรื่องราคาให้ใส่ลูกพุทราจีนแดงมากยิ่งขึ้น
หมอหลวงขมวดคิ้ว “ชีพจรเช่นนี้…เต้นไม่สม่ำเสมอประเดี๋ยวช้าประเดี๋ยวเร็ว เกรงว่าจะมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ คุณหนูคงจะตกใจกลัวไม่น้อย เฮ้อ… คุณหนูยังเยาว์วัยกลับได้เห็นโลหิต*[1]… ถือเป็นลางร้ายที่ทำให้นางอายุขัยสั้นลงแท้ ๆ ยิ่งบัดนี้…”
อันก่วงเหนิงถึงกลับงุนงง “หมายความว่าเช่นไรที่เจ้าว่ากล่าว ‘อายุขัยสั้นลง’? ”
“ที่จริงมิได้อันใดมาก สามารถรักษาได้” หมอหลวงมองสีหน้าซีดเซียวของอันหรูอี้ แล้วกระแอมไอ “ท่านอัครมหาเสนาบดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่อาจจะมีอายุขัยที่สั้นลงได้”
หลิวลวี่สูดหายใจเข้าลึกด้วยความตกใจ ส่วนเถาหงก็ปิดปากร้องไห้ออกมา “คุณหนู…”
คุณหนูของนางจะต้องมาทนทุกข์อย่างไร้ความผิดเช่นนี้ได้อย่างไร? แววตาของหลิวลวี่ฉายแววโกรธแค้น ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าอันก่วงเหนิงอย่างแรง!
“นายท่าน! ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณหนูเองก็ประพฤติตนไม่เหมาะสมไปบ้าง แต่ทว่ายามที่นายท่านอยู่นอกจวน ท่านมิเคยทราบเรื่องราวภายในที่แท้จริง นายท่านรู้หรือไม่เจ้าค่ะว่าฮูหยินรองสั่งสอนคุณหนูใหญ่เช่นไร? ”
อันก่วงเหนิงชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลิวลวี่หมอบลงจนศีรษะจรดไปกับพื้น “ฮูหยินจากไปตั้งแต่คุณหนูยังเล็ก ฮูหยินรองจึงเป็นผู้เลี้ยงดูคุณหนูมาตั้งแต่เล็กก็ควรจะมีความผูกพันกันบ้าง! แต่ทว่าฮูหยินรองกลับสอนอันใดแก่คุณหนูนะหรือเจ้าค่ะ? ฮูหยินสอนว่าความยั่วยวนคือความงาม! ความอวดดีคือความสง่างาม! การกระทำตามอำเภอใจคือสิทธิของบุตรสาวคนโตของจวนอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”
เถาหงกัดฟันแน่น ก่อนจะพูดต่อว่า “ตั้งแต่วันที่คุณหนูกลับมาจากท่านปู่ นางก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้ว่าฮูหยินรองจะสั่งสอนด้วยความมุ่งร้ายและคุณหนูรองจะคอยกลั่นแกล้ง แต่คุณหนูก็มิเคยใส่ใจ นางมีจิตใจที่เมตตากว้างใหญ่เฉกเช่นฮูหหยินใหญ่ คุณหนูปฏิบัติต่อข้ารับใช้อย่างดีเสมอมาเจ้าค่ะ!”
“แต่ว่า…” หลิวลวี่พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเกลียดชัง “ฮูหยินรองกับคุณหนูรองกลับใส่ร้ายคุณหนูครั้งแล้วครั้งเล่า! นายท่าน ข้าขอร้อง! ขอร้องนายท่านโปรดให้ความเป็นธรรมแก่คุณหนูใหญ่ด้วย!”
เถาหงพูดเสริมว่า “หากนายท่านมิเชื่อในสิ่งที่ข้าน้อยกล่าว นายท่านเรียกคนรับใช้จากเรือนไม้ไผ่มาสักถามความจริงได้เจ้าค่ะ พวกเขาล้วนเป็นพยาน!”
หลิวลวี่โขกศีรษะกับพื้นดังสนั่น “ท่านอัครมหาเสนาบดี! หลายปีมานี้ ท่านได้โปรดเปิดตาดูความเป็นไปภายในจวนบ้างเถิดเจ้าค่ะ!”
อันก่วงเหนิงรู้สึกว่าลมหายใจของตนจะหยุดไปชั่วขณะ เขาได้ยินเช่นไรนะ? บุตรสาวของเขาถูกสตรีที่เขารักที่สุดเลี้ยงดูมาอย่างผิด ๆ ซ้ำถูกกลั่นแกล้งจนจะเอาชีวิตไม่รอดงั้นหรือ? และเขาไม่รู้เรื่องนี้มาหลายปีแล้ว?
เขาจ้องมองไปที่ข้ารับใช้ด้วยความไม่อยากเชื่อ แล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องนี้ พวกเจ้ารู้เห็นด้วยหรือไม่?”
บรรดาข้ารับใช้จ้องมองกันไปมา สุดท้ายข้ารับใช้ชราผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “นายท่าน! เรื่องนี้…พวกข้าน้อยพอได้ยินมาบ้างเจ้าค่ะ แต่ความจริงที่แน่ชัดคงจะมีเพียงคนเรือนไผ่เท่านั้นที่รู้เจ้าค่ะ”
“เรียกคนมา!” อันกว้างเหนิงตวาดลั่น “พาตัวชุนหัวมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
เถาหงและหลิวลวี่ก้มหน้าสบตากัน แล้วคลี่ยิ้มที่มุมปากเหมือนกับอันหรูอี้ที่นอนอยู่บนเตียง…
[1] อายุยังเยาว์วัยกลับได้เห็นเลือด : เป็นความเชื่อของจีน การที่เด็กหนุ่มหรือเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้เห็นเลือด ถือเป็นลางร้าย เป็นสัญญาณของสิ่งไม่ดีที่จะเกิดขึ้น เช่น อายุขัยสั้นลง สุขภาพไม่ดี นำพาความโชคร้าย