หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 14 หวังซื่อมาหาถึงเรือน
บทที่ 14 หวังซื่อมาหาถึงเรือน
บทที่ 14 หวังซื่อมาหาถึงเรือน
ในชาติที่แล้วนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงอยากจะเข้าวังหลวง แต่ในชาตินี้นางไม่ปรารถนาอีกต่อไป ในเมื่อรู้ว่าบนภูเขามีเสือเหตุใดจึงต้องเสี่ยงขึ้นไปบนภูเขา*[1]ด้วยเล่า
เรื่องเล็กเป็นความตายเพียงชีวิตเดียว เรื่องใหญ่คือความตายของคนทั้งตระกูล หากอยู่ในตำแหน่งที่สูงศักดิ์เช่นนั้น จะปล่อยความรู้สึกส่วนตัวมาทำลายวงศ์ตระกูลตนเองได้เช่นไร? หากนางรับตำแหน่งนั้นไว้ก็ต้องจำใจใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง หากไม่รับ จะอ้างเหตุผลใดมาแก้ต่างได้เล่า?
นางเป็นบุตรสาวของอันก่วงเหนิง ยากที่หลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้ เว้นเสียนางจะลงมือทำร้ายตัวเองจนเสียโฉม แต่นางไม่มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองแม้แต่น้อย
แต่หากมีคนเต็มใจจะลงมือแทน นางก็ยินดีอย่างยิ่ง!
“คุณหนู… คุณหนู!”
อันหรูอี้สะดุ้งเล็กน้อย รู้สึกตัวอีกทีตนเองก็เกือบจะเดินชนเข้ากับเสาไม้แล้ว ยังดีที่หลิวลวี่ดึงนางไว้ทัน
“คุณหนู ระวังด้วยเจ้าค่ะ” หลิวลวี่เมื่อเห็นอันหรูอี้ยังไม่เดินชนเข้ากับเสาไม้ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยว่า “จริงสิ ช่วงนี้น้องรองของข้ากับฮูหยินรองเคลื่อนไหวอันใดบ้างหรือไม่?”
“ยังมิมีเจ้าค่ะ” หลิวลวี่นึกถึงสิ่งที่ชุนหัววิ่งแจ้งข่าวเมื่อครั้งก่อน ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ “คุณหนู ชุนหัวบอกว่าพวกนางคิดร้ายต่อคุณหนูอยู่นะเจ้าค่ะ พวกเราออกไปนอกเรือนเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ?”
อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ “มีอันใดมิดีล่ะ? หากเราจะล้มเลิกในสิ่งที่จะทำ เพียงเพราะกลัวอันตราย มันคุ้มกันหรือ ข้าจะรอดูว่าพวกนางมีแผนการอันใด”
ไม่ว่าพวกนางจะมีแผนร้ายอันใด นางก็ยินดีที่จะรับมัน!
หลิวลวี่พยักหน้าครู่หนึ่งก็อดที่จะเย้าแหย่ไม่ได้ “หรือว่าพวกนางจะกลัวคุณหนูใหญ่ จึงไม่กล้ามาแล้วกระมังเจ้าคะ?”
อันหรูอี้หัวเราะพลางดุอย่างไม่จริงจัง “เจ้าเด็กโง่”
หลิวลวี่ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย “ข้ามิใช่เด็กน้อยแล้วนะเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ พลางหยอกล้อกับหลิวลวี่ต่อ ชาติที่แล้วเป็นเพราะนางไม่ฟังคำเตือนของพวกสาวใช้ข้างกายตน นางจึงต้องพบจุดจบเช่นนั้น ชาตินี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะปกป้องสาวใช้สองคนที่จริงใจต่อนางทั้งสองคนนี้ให้ได้
“มีเรื่องอันใดน่ายินดีหรือ ถึงได้รื่นเริงเช่นนี้?”
ทันทีที่อันก่วงเหนิงก้าวเข้ามาในเรือนเหมันต์ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะและพูดคุยอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะที่ดูราวกับมีความสุขในจวนอัครมหาเสนาบดีเช่นนี้เขาไม่ได้ยินมันมานานมากแล้วเช่นกัน ทำให้อารมณ์ของอันก่วงเหนิงพลอยเบิกบานขึ้นมาด้วย
ใบหน้าอันหรูอี้แดงระเรื่อ เดินเข้าไปมาหาอันก่วงเหนิงอย่างช้า ๆ ย่อตัวโค้งคำนับอย่างอ่อนหวาน “ท่านพ่อ ท่านมาพอดีเลยเจ้าค่ะ ลูกกำลังจะให้คนไปถามท่าน ว่ายาที่ให้ท่านพ่อไปคราวก่อนได้ผลบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อนึกถึงยาที่อันหรูอี้มอบให้เมื่อคราวก่อน ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา “ดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่ใส่ใจ”
อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ ดวงตาเป็นประกายดุจผืนน้ำในฤดูใบไม้ผลิ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับสงบนิ่ง “เมื่อท่านพ่อหายดีเช่นนี้แล้ว ลูกก็สบายใจแล้วเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้ให้หลิวลวี่นำเบาะรองนั่งมาวางบนม้านั่งหิน แล้วสั่งให้เถาหงยกชาออกมาต้อนรับ “ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศยามเช้าและยามเย็นยังคงหนาวอยู่นะเจ้าค่ะ ท่านพ่อดูแลร่างกายด้วยนะเจ้าค่ะ”
อันก่วงเหนิงมองบุตรสาวคนโตอย่างเหม่อลอย นางโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วจริง ๆ กิริยาวาจาก็สมเป็นสตรีที่ดียิ่งนัก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคราวก่อนนางก็คงจะไม่ติดใจเอาความแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ย่อมดียิ่งนัก เมื่อมีจิตใจที่เปิดกว้างมากขึ้น การใช้ชีวิตในวังก็คงจะราบรื่นเช่นกัน…
หลิวซู… หากเจ้าที่อยู่บนสวรรค์รับรู้ได้ บุตรสาวของพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ…
อันหรูอี้เห็นอันก่วงเหนิงจ้องมองนางโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอามือตนขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเบา ๆ นางคิดว่ามีสิ่งใดติดอยู่บนใบหน้าของนางหรือไม่
อันหรูอี้จึงหันไปถามเถาหงอย่างแผ่วเบา เถาหงเพียงส่ายหน้าเล็กน้อย
“ท่านพ่อ… ชารสชาติดีหรือไม่เจ้าคะ?”
เสียงเรียกของอันหรูอี้ดึงสติของอันก่วงเหนิงให้กลับทันที เขาเป่าใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำออกเล็กน้อย ก่อนจิบชาไปอึกหนึ่งแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “รสชาติดียิ่งนัก”
“หากท่านพ่อกล่าวว่าชานี้รสชาติดีแล้ว เช่นนั้นลูกจะให้เถาหงกับ
หลิวลวี่นำไปให้ท่านพ่อที่เรือนนะเจ้าค่ะ แล้วลูกจะแบ่งให้ท่านแม่รองกับน้อง ๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
หากตอนนี้อันหรูอี้กำลังซื้อใจคน เช่นนั้นนางก็ทำได้สำเร็จ
เมื่อเทียบอันหรูอี้ที่โตเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้แล้ว
อันก่วงเหนิงก็พลันนึกถึงอันหลิงหลงขึ้นมา เมื่อใดกันนะที่นางจะรู้จักโตเหมือนพี่สาวของน้างบ้าง?
เมื่อเห็นอันก่วงเหนิงขมวดคิ้ว อันหรูอี้ก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องใด นางคาดว่าคงกำลังนึกถึงความไม่รู้จักโตของอันหลิงหลงอยู่เป็นแน่
ถึงบิดาของนางจะเป็นคนที่มิได้สนใจสิ่งใดนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่ผู้นำครอบครัวอย่างเขาต้องการมากที่สุดก็คือความสงบสุขภายในครอบครัว มิใช่การห้ำหั่นแย่งชิงดีชิงเด่นกันเช่นนี้
“ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่สาวคนโต ต่อไปเจ้าต้องคอยเตือนน้องสาวของเจ้าให้มากขึ้น คอยสั่งสอนนางบ้าง ถึงแม้บางครั้งนางจะล่วงเกินเจ้าไปบ้าง แต่เจ้าเป็นพี่สาว หากอภัยให้นางได้ เจ้าก็ควรอภัยให้นางเถิด”
“…ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ลูกทราบแล้ว”
ให้อภัยให้นางงั้นหรือ? ชาติที่แล้วเป็นเพราะนางยอมอ่อนข้อให้มากเกินไป จึงต้องพบจุดจบเช่นนั้น แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ชาตินี้นางจะ ‘สั่งสอน’ น้องสาวคนนี้ให้หนักอย่างแน่นอน!
เพราะอันก่วงเหนิงเป็นถึงอัครเสนาบดีจึงมีภาระหน้าที่ให้สะสางมากมาย จึงไม่อาจนั่งพูดคุยอันหรูอี้ได้นานนัก หลังจากดื่มชาไปหนึ่งถ้วยอันก่วงเหนิงก็กลับไปที่เรือนของตน
เมื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอันหรูอี้กับอันก่วงเหนิงดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเถาหงและหลิวลวี่ก็รู้สึกยินดีจากใจจริง
“คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านเสนาบดีดูเหมือนจะเริ่มใส่ใจคุณหนูมากขึ้นแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่บางทีเป็นครึ่งปีก็ยังไม่มาเยี่ยมคุณหนูสักครั้ง”
เถาหงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พยักหน้าเห็นด้วย “มันแน่อยู่แล้ว ยามนี้คุณหนูใหญ่เป็นถึงแก้วตาดวงใจของท่านอัครเสนาบดีเชียวนะ”
อันหรูอี้มองพวกนางพลางคิดในใจว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ง่ายเช่นนั้นแน่ หลังจากที่นางได้เห็นแววตาบิดาของตนแล้ว ยังรู้สึกว่าเขายังแน่วแน่ที่จะส่งนางเข้าวังเช่นเดิม
“เอาล่ะ พวกเจ้าเลิกเอ่ยเรื่องไร้สาระกันได้แล้ว”
หลังจากที่อันหรูอี้ทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จ กำลังจะงีบหลับพักผ่อน เถาหงก็เดินเข้ามาในห้องบอกว่าหวังซื่อต้องการพบนาง
เมื่อเห็นอันหรูอี้กำลังจะสวมเสื้อคลุมเถาหงก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “คุณหนู ครั้งนี้ฮูหยินรองต้องมีแผนชั่วแน่นอนเจ้าค่ะ คุณหนูนอนพักต่อดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปบอกฮูหยินรองว่าท่านหลับไปแล้ว”
อันหรูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ามิต้องกังวล ยามนี้ข้ามิได้กลัวนางแล้ว”
จากนั้นอันหรูก็เรียกเถาหงเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบางอย่างกับเถาหงสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทางที่สง่างาม
ที่สวนบุปผา… ดอกไม้บนกิ่งก้านกำลังจะบาน ใบไม้สีเขียวสดใสชวนน่ามอง ผีเสื้อโบยบินไปตามสายลมช่างเป็นภาพที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ
หวังซื่อใช้มือเรียวยาวของตนลูบดอกไม้ที่ยังตูมอย่างเบามือ ก่อนจะเด็ดมันออกมาแล้วขยี้ในฝ่ามือจนน้ำจากดอกไม้ไหลออกมาเปื้อนนิ้วมือของนางจนเป็นสีแดง
หวังซื่อเช็ดน้ำดอกไม้ออกจากมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหัวเราะเยาะ “ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเจ้า กล้าดียังไงมาต่อกรกับข้า”
“โอ้? มิทราบว่าผู้ใดที่มิรู้จักที่ต่ำที่สูง ช่างกล้ายั่วยุฮูหยินรองเช่นนี้ได้?”
หวังซื่อเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “แค่เด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่ง มิควรค่าให้เอ่ยถึง”
อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ แล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “โอ้? ไม่นึกเลยว่าในจวนแห่งนี้ นอกจากข้าที่เป็นบุตรสาวคนโตแล้ว ยังมีคนที่มีชะตากรรมน่าสงสารเช่นเดียวกับข้าอีก ท่านป้าหวังโปรดบอกข้าหน่อยเถิดนางคือผู้ใดกัน ข้าอยากรู้จักนางยิ่งนัก”
ตอนที่พูด อันหรูอี้จงใจเน้นย้ำคำว่า’ท่านป้าหวัง’ แม้ว่าหวังซื่อจะได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินรอง แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่อนุภรรยา ตราบใดที่อันหรูอี้ยังมีชีวิตอยู่ หวังซื่อก็ไม่มีทางเป็นฮูหยินใหญ่ได้
เมื่อหวังซื่อได้ยินคำว่าท่านป้าหวังสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
แต่เมื่อนึกถึงแผนการของตัวเองจึงพยายามอดกลั้นความโกรธของตนเองไว้
หวังซื่อตบฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากมืออย่างดูแคลน “ไม่มีค่าอันใด อย่าได้เอ่ยถึงเด็กคนนั้นให้เสียอารมณ์เลย”
อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านป้าพูดถูก มิควรทำให้ตัวเองโมโหเพราะคนชั้นต่ำเช่นนั้นหรอก”
ได้ยินคำพูดของอันหรูอี้ อันซื่อโมโหจนแทบคลั่ง แต่เมื่อนึกถึงแผนการของตัวเอง ก็ไม่อาจแสดงท่าทีใด ๆ ออกมาได้
อันหรูอี้มองหวังซื่อด้วยรอยยิ้ม นางอยากรู้จริง ๆ ว่าหวังซื่อจะเล่นละครตบตาเช่นไร อันหรูอี้พูดในใจ ‘ในเมื่อนางอยากทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าก็จักเพียงเมินเฉย เช่นนั้นเรามาลองดูกันสักหน่อยเถิด ว่าผู้ใดจะทนได้มากกว่ากัน’
“จริงสิ ที่เรียกจ้ามาที่นี่ เพราะอยากให้เจ้าช่วยหาปิ่นปักผมของข้าหน่อย ท่านพ่อเจ้าเป็นคนมอบให้เอง… มันเคยเป็นของแม่ของเจ้า…”
[1] บนภูเขามีเสือเหตุใดจึงต้องเสี่ยงไปขึ้นภูเขา เป็นสำนวนจีนหมายถึง รู้ว่ามีอันตราย ทำไมยังเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน