หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 13 หลีกเลี่ยง
บทที่ 13 หลีกเลี่ยง
บทที่ 13 หลีกเลี่ยง
ในช่วงนี้อันหลิงหลงและหวังซื่อไม่ได้มาหาเรื่องอันหรูอี้ นางจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในหลายวันที่ผ่านมา บาดแผลที่มือของนางก็เริ่มหายดีแล้ว แม้ว่ายังมีรอยแผลเป็นอยู่บ้างแต่ก็คงจะหายในอีกไม่กี่วัน
“จะว่าไป ตามธรรมเนียมแล้ว น่าจะมีหนังสือประกาศการคัดเลือกสนมแล้วนะเจ้าค่ะ” เถาหงกล่าวอย่างตื่นเต้น “คุณหนู! ท่านเป็นบุตรสาวคนโตของจวนอัครมหาเสนาบดี ต้องถูกเลือกเข้าวังแน่ ๆ เจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นข้าก็จะได้ติดตามคุณหนูเข้าไปในวังด้วย!”
ลืมตาขึ้นก็ได้ยินเรื่องไม่ดีเสียแล้ว…
อันหรูอี้มองเถาหงอย่างเหนื่อยใจ “การเป็นสนมมันดีขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เถงหงพยักหน้าทันที “แน่นอนสิเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ยังเป็นบุตรสาวคนโตของท่านอันก่วงเหนิงนะเจ้าค่ะ การเข้าวังเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เพราะเป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูง การเข้าวังจึงเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง นี่เป็นวิธีที่ราชวงศ์ใช้เป็นข้อผูกมัดและเป็นการสร้างความจงรักภักดีของขุนนางต่อราชวงศ์
เฮ้อ… อันหรูอี้ถอนหายใจ นางจะไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้ได้อย่างไร
นางไม่ได้รู้ทุกอย่าง ในชาติก่อนหวังซื่อเลี้ยงดูนางอย่างไร้ระเบียบวินัย นางที่ถูกเลี้ยงในห้องหับจึงไม่รู้เรื่องราวในราชสำนักและสถานการณ์บ้านเมืองเท่าไรนัก นางได้แต่คาดเดาตามความรู้สึกของตนเองเท่านั้น นางคิดว่าบางทีอาจเกี่ยวข้องกับตระกูลของฮองเฮา
ในตระกูลของฮองเฮามีบุตรชายอีกสองคน ทั้งสองคนเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีตำแหน่งเป็นถึงโหว นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าพวกเขาได้มีการติดต่อกับขุนนางนอกวัง อย่างลับ ๆ เพื่อแทรกแซงการเมืองสิ่งนี้นางเคยอ่านเจอในตำราเพียงเท่านั้น
ฮ่องเต้จึงอยากดึงอันก่วงเหนิงเข้าร่วมด้วย แต่ในชาติก่อนนางทำเรื่องขายหน้าต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ ทำให้แผนการนี้ล้มเหลวและด้วยเหตุนี้บิดาจึงรู้สึกโกรธและรังเกียจอันหรูอี้ในชาติก่อน
ดังนั้น นางจึงรู้สึกไม่ชอบตัวฮ่องเต้อยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นจวนอัครมหาเสนาบดีก็มีบุตรสาวถึงสองคน ดังนั้นมิต้องจำเป็นต้องนางเสมอไป
“เถาหง” อันหรูอี้เอ่ยขึ้น “อยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดี พวกเรายังสามารถออกไปดูโลกภายนอกที่กว้างใหญ่นี้ได้ แต่ในวังหลวง… พวกเราเปรียบเสมือนนักโทษ ถูกขังอยู่ในวังเช่นนั้นเจ้ายังคิดว่ามันยังดีอยู่ จริง ๆ หรือ?”
เถาหงได้ยินนายตนกล่าวเช่นนั้น หน้านางก็ซีดเผือดทันที รีบหันมองไปรอบข้าง ก่อนจะกระซิบกับนายของตนว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านมิควรพูดเช่นนั้นนะเจ้าค่ะ หากผู้ใดได้ยินเข้าอาจนำภัยมาได้นะเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้หัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าดูสิ แม้แต่ในจวนของตนเอง ยังเอ่ยสิ่งใดไม่ได้ แล้วในวังหลวงแห่งนั้น… เจ้าคิดพวกเราจะกล่าวสิ่งใดได้บ้างเล่า?”
เถาหงอ้าปากนิ่งค้างไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายนางก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เพราะนางรู้ดีว่า ผู้ที่เกิดมาเป็นคุณหนูของจวนอัครมหาเสนาบดีจะมีอิสระในการเลือกคู่ครองได้เช่นไรกัน?
ต้นไม้ใบหญ้าในสวนต่างก็โค้งงอภายใต้สายลมหนาวที่พัดเข้ามา มีเพียงดอกเหมยสองสามดอกที่ยังคงบานสะพรั่งอยู่บนกิ่งไม้ท้าทายหิมะและน้ำค้างแข็งด้วยสีชมพูสดใส เป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวาและความกล้าหาญ…
ทันใดนั้น นางก็ชะงักไป
หลิวลวี่หยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาสวมให้กับอันหรูอี้ด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนู ที่นี่ลมแรง เรากลับเข้าไปกันเกิดเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้จ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย พลางเอ่ยขึ้นว่า “ดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างงดงามอยู่บนกิ่ง เหตุใดจึงต้องมีคนเอื้อมมือไปเด็ดมันลงมาชื่นชมเพียงชั่วครู่ด้วยเล่า?”
หลิวลลวี่ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของอันหรูอี้ จึงเห็นอันผิ่งกับอันหนิง ที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ในสวนบุปผา ดอกเหมยที่กำลังผลิบานออกมาเล็กน้อยต่างก็ถูกสองคนเด็ดลงมาเสียแล้ว
หลิวลวี่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย “น่าเสียดายนะเจ้าค่ะ… โตกว่านี้คงจะเบ่งบานงดงามกว่านี้”
อันหรูอี้ก้มหน้าลง สักพักก็หันหลังกลับ
วันคัดเลือกสนมใกล้มาถึงแล้ว นางจะหลีกเลี่ยงอย่างไรดีนะ? หรือว่าไม่จำเป็นต้องให้หลบ… แต่รอคอยให้ผู้หนึ่งมาช่วยนางเสียเอง?
คนผู้นั้นที่อันหรูอี้กล่าวถึงก็ปรากฏตัว หรืออาจจะกล่าวได้ว่าคนผู้นั้นลงมือได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเถาหงเห็นรอยแดงบนใบหน้าของคุณหนูตนก็ร้องลั่นทันที อันหรูอี้แอบเผยรอยยิ้มอย่างเงียบ ๆ วิธีการเช่นนี้ แค่มองก็รู้ว่าเป็นฝีมือของอันหลิงแต่…
อันหรูอี้จ้องมองหมอนใบใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนเมื่อวานครู่หนึ่ง นางไม่ได้โยนมันทิ้งไปในทันทีแต่กลับใช้มันหนุนนอนอีกครั้ง
หมอชราเดินเข้ามาอย่างร้อนรน ตรวจอาการผ่านม่านอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปหาอันก่วงเหนิงพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านอันก่วงเหนิง อาการของคุณหนูใหญ่เกรงว่า…เป็นโรคที่เกิดจากความเครียดสะสมและในฤดูหนาวคุณหนูทานอาหารรสจัดไปเล็กน้อย หากบำรุงดี ๆ ก็จะหายดีขอรับแต่…”
เมื่อได้ยินว่าเป็นโรคที่เกิดจากความเครียดสะสม สีหน้าของอันก่วงเหนิงที่ไม่ดีอยู่แล้ว ยามนี้เห็นหมอชราพูดตะกุกตะกักสีหน้ายิ่งแย่ลงไปอีก “มีอันใดอีก? รีบพูดมา!”
หมอชราถอนหายใจ “ข้าน้อยมิกล้าปิดบังใต้เท้า เพียงแต่ร่างกายคุณหนูใหญ่ตอนนี้อ่อนแอ ยามนี้ร่างกายของนางมิอาจทนการกระตุ้นของยาใด ๆ ได้แล้วขอรับ”
อันก่วงเหนิงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็นิ่งเงียบ มองลอดผ่านม่านไปยังเตียง ครู่ใหญ่ก็โบกมือให้หมอชราออกไป หลิวลวี่กับเถาหงสบตากัน แล้วก็ค่อย ๆ ถอยออกไปจากห้อง
อันก่วงเหนิงนั่งลงข้างเตียงอย่างช้า ๆ มองดูใบหน้าบุตรสาวของตนที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดใบหน้านี้เริ่มคล้ายมารดาของนางมากขึ้นทุกที ทั้งเย็นชาและห่างเหิน.. แม้นิสัยของนางจะไม่หุนหันพลันแล่นเหมือนก่อนหน้านี้ ทว่ารอยยิ้มของนางกลับน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมากนัก
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง อันก่วงเหนิงก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องพร้อมเอ่ยกับเถาหงว่า “จงเปลี่ยนของใหม่ทั้งหมดในห้องของคุณหนูใหญ่ทั้งหมด เพิ่มของตกแต่งในสวนให้มากขึ้น หากมิใดทำสิ่งใดก็พานางไปเดินเล่นในสวนดอกไม้บ่อย ๆ หากพี่น้องมีเรื่องบาดหมางกันเช่นนี้ ก็อย่าให้พวกนางได้เจอกันเลยจะดีกว่า”
เถาหงมองอัครมหาเสนาบดีด้วยแววตาประหลาดใจ ส่วนหลิวลวี่เพียงตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ‘เจ้าค่ะ’ โดยไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก
คนในห้องไม่รู้ว่าตื่นมาเมื่อใด ลูบหมอนของตนด้วยความเสียดายเล็กน้อย พลางถอนหายใจว่า “อันหลิงหลง เมื่อใดเจ้าจะฉลาดขึ้นบ้าง… หัดใช้วิธีที่มันไม่โจ่งแจ้งสักหน่อยมิได้รึ….”
ผื่นแดงบนใบหน้าของอันหรูอี้ค่อย ๆ หายไป แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันไม่รู้ว่าอันหรูอี้ทานสิ่งใดเข้าไป นางก็เกิดอาเจียนหมดสติ ในขณะนั้นขันทีจากวังหลวงผู้รับผิดชอบการคัดเลือกก็มาถึงจวนอัครมหาเสนาบดี นำสมุดรายชื่อให้มาตรวจสอบหลังจากที่ตรวจสอบไป ขันทีก็เกือบพลาดลืมลงชื่อของอันหรูอี้ไป
โชคดีที่อันก่วงเหนิงมาได้ทันเวลา ทำให้หวังซื่อรีบเพิ่มชื่ออันหรูอี้กลับเข้าไปในรายชื่อทันที แต่ได้กล่าวกับขันทีว่า “หรูอี้ช่วงนี้นางป่วยหนัก เกรงว่าจะนางจะมิสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องต้องขออภัยด้วย”
ขันทีกลับเพียงหัวเราะเบา ๆ “เรื่องนี้มิต้องกังวล บางครั้งการเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ ผู้ใดจะสามารถกำหนดได้เล่า การเข้าร่วมการคัดเลือกขณะยังป่วยไข้เป็นการไม่เคารพต่อฮ่องเต้ ทว่าในอดีตก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน หากถึงเวลานั้น บุตรสาวไม่สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ ให้ท่านอันก่วงเหนิงถวายฎีกาต่อฝ่าบาทในไม่กี่วันข้างหน้าก็พอ ท่านอันก่วงหนิงมิใช่มีบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินใหญ่สองคนหรอกหรือ?”
การคัดเลือกสนมในครั้งนี้ จำเป็นต้องเลือกบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินใหญ่คนหนึ่งอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเบื้องบนคงไม่สั่งให้เขาตรวจสอบรายชื่อและเน้นย้ำพิเศษว่า อย่าพลาดบุตรสาวคนโตของอันก่วงเหนิงเด็ดขาด
หวังซื่อยิ้มอย่างพอใจ หันกลับไปบอกเรื่องนี้กับอันหลิงหลง
“บุตรสาวของข้าจะต้องได้รับเลือก” หวังซื่อหัวเราะเยาะ “ส่วนอันหรูอี้ นางจะมิมีวันได้ออกจากจวนแห่งนี้ไปได้!”
อันหลิงหลงขมวดคิ้ว “แต่ยามนี้ลูกมิอาจออกไปได้ เกรงว่าอาจเกี่ยวข้องกับอันหรูอี้ ท่านพ่อลำเอียงยิ่งนัก! ที่เรือนเหมันต์ท่านพ่อก็มิยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ มันน่าโมโหนัก!”
“หากนางมิได้ไป นางจะสามารถโดนคัดเลือกได้หรือ?” หวังซื่อเดินมาหน้าต่าง มองออกไปยังสระน้ำเย็นยะเยือกในสวน “การคัดเลือกสนมของราชวงศ์ นอกจากรอบคัดเลือกรอบแรกแล้วยังมีให้คัดเลือกอีกสามรอบ อีกสองวันจะถึงการคัดเลือกของรอบแรกแล้ว หากนางผ่านรอบแรกมิได้ นางจะมีสิทธิ์ไปรอบต่อไปได้เช่นไรเล่า?”
แววตาของอันหลิงหลงประกายแวววับทันที “ท่านแม่ ท่านมีวิธีงั้นรึ?”
หวังซื่อลูบแก้มอันหลิงหลงอย่างอ่อนโยน “ลูกเอ๋ย… เชื่อแม่สิ แม่จะมิยอมให้ลูกแพ้นาง นางป่วยอยู่มิใช่รึ? หากนางหายไม่ทันก็คงจะดี…มิใช่หรือ?”
อันหลิงหลงหัวเราะเบา ๆ กอดแขนหวังซื่อแล้วออดอ้อน “ดียิ่งนักเจ้าค่ะ ลูกรู้อยู่แล้วว่าท่านแม่รักลูกที่สุด!”
สองวันต่อมาในยามอู่*[1]
อากาศค่อย ๆ อุ่นขึ้น เถาหงยังคงดูแลสวนด้านหลังของเรือน ส่วนหลิวลวี่ประคองอันหรูอี้ไปที่สวน อันหรูอี้ก้าวเดินในสวนอย่างช้า ๆ จากนั้นนางก็จมอยู่ภวังค์ความคิดของตนเองอีกครั้ง
ผู้คนต่างก็เอ่ยถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันว่าพระองค์ทรงมีพระเมตตาล้นเกล้ายิ่งนัก แต่กระนั้นผู้เป็นกษัตริย์ที่ดีก็มิได้หมายความว่าจะเป็นคู่ครองที่ดีเสมอไป แม้แต่จวนเสนาบดีที่เล็กถึงเพียงนี้ ยังมีการแก่งแย่งอำนาจมากมายถึงเพียงนี้ หากเป็นในวังหลวงล่ะจะเป็นเช่นไร?
ขณะที่อันหรูอี้กำลังตกอยู่ในภวังค์ของตนเองอยู่นั้น ก็มีสาวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาหาอันหรูอี้ด้วยสีหน้าท่าทางรีบร้อน เมื่อนางเห็นอันหรูอี้ก็เอ่ยขึ้นทันที “คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ฮูหยินกำลังวางแผนจะทำร้ายคุณหนูเจ้าค่ะ!”
อันหรูอี้เพียงแค่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “โอ้? โอกาสมาถึงอีกงั้นหรือ?”
ถ้าเช่นนั้น นางควรจะเชิญบิดามาดูการแสดงดี ๆ สักหน่อยแล้ว…
[1] ยามอู่ 11.00-12.59