หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 12 วัดหวงเมี่ยว
บทที่ 12 วัดหวงเมี่ยว
บทที่ 12 วัดหวงเมี่ยว
หากจะกล่าวว่าอันหรูอี้รู้สึกเสียใจหรือไม่ แน่นอนว่าไม่รู้สึกอันใดเลย เพียงหวนนึกถึงชาติก่อนที่ตนถูกทรมานให้อดอาหารจนตายก็ดูเหมือนจะทำให้ไม่เสียใจอันใด
กำแพงสีขาวเรือนเหมันต์ที่อยู่เบื้องหน้า นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางได้เห็นในชาติก่อนเพราะนางไม่เคยหนีออกไปได้
แม้จะอยู่ในจวนเดียวกันแต่บิดาผู้ให้กำเนิดนาง เขาไม่เคยมาเยี่ยมนางสักครั้ง
ถึงแม้นางจะถูกหวังซื่อสั่งสอนอบรมนางให้เป็นคนโง่เขลาและหยาบกระด้างเพียงใด แต่นางก็ยังเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของเขา แต่ทว่าเขากลับไม่มาดูใจนางเลยสักครั้ง จนลมหายใจครั้งสุดท้ายของนางเขาก็ยังไม่มา…
บิดาเช่นนี้นางไม่จำเป็นต้องคาดหวังอันใดกับเขาแล้ว ครั้งนี้นางเข้าใจทุกอย่างชัดเจนแล้ว
เสียงของหลิวลวี่ดังก้องข้างหูอย่างโกรธแค้น ทุกประโยคล้วนแต่กล่าวตำหนิความลำเอียงของอันก่วงเหนิง “ต่างก็เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เช่นกัน คุณหนูยังเป็นถึงบุตรสาวคนโต เรื่องมันชัดเจนเพียงนี้ เหตุใดนายท่านจึง…”
“มิต้องเอ่ยอันใดอีกแล้ว” อันหรูอี้ยิ้มเล็กน้อย “พวกเราชนะแล้วมิใช่หรือ นอกจากนี้ บิดาคงรู้สึกผิดต่อข้ามาก…แค่นี้ก็พอแล้ว”
หลิวลวี่มึนงงไปชั่วขณะ “ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?”
อันหรูอี้เอ่ยอย่างแผ่วเบา “ยามนี้บิดาทั้งรู้สึกผิดและได้รับบทเรียนเช่นนี้ อย่างน้อยในวันข้างหน้า หากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ท่านพ่อจะมิลงโทษผู้ใดโดยปราศจากหลักฐานด้วยท่าทีนิ่งเชยเช่นนี้อีก”
หลิวลวี่มองคุณหนูของตนด้วยแววตาประหลาดใจระคนสงสัย“คุณหนูเมื่อครู่นี้ท่าน…”
“แค่แสร้งทำ…” นางวางมือลงบนกำแพงสีขาว ก้าวเข้าไปในประตูเรือน อันหรูอี้ นางมองเห็นเถาหงวิ่งมาด้วยสีหน้าตกใจ ริมฝีปากอันหรูอี้ค่อย ๆ คลี่ยิ้ม “ข้ามิได้สนใจเขา…”
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ลานหน้าจวนได้แพร่สะพัดไปยังเรือนด้านหลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เถาหงกำลังเดินไปเดินมาด้วยสีหน้ากังวลในเรือนเหมันต์ แต่เมื่อผู้ที่ปรากฏตัวที่หน้าประตูเรือนเป็นผู้ใดจึงรีบเร่งก้าวไปหาทันที
เมื่อเดินเข้ามาถึงตัวคุณหนูของตนเอง เถาหงก็พบว่าบนหลังมือของอันหรูอี้มีรอยเลือดสีแดงปรากฏ ใบหน้าเถาหงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที นางอุทานด้วยความตกใจ “คุณหนูเกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ!? นายท่าน… นายท่านลงโทษคุณหนูหรือเจ้าคะ?!”
อันหรูอี้ส่ายหน้าช้า ๆ เอ่ยขึ้นว่า “มิใช่หรอก ข้าเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
แม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บไม่มาก แต่ซ่งจื่ออานก็ได้ช่วยทำแผลพันผ้าให้นางแล้ว จึงไม่มีอันใดร้ายแรงนัก
“เจ้าอย่าเพิ่งซักถามอันใดเลย” หลิวลวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าพาคุณหนูเข้าข้างในก่อนเถิด อากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนักมิควรยืนตากลมข้างนอกนาน ๆ”
เถาหงรีบพยุงคุณหนูของตนเข้าไปในเรือน และขณะเดียวกันก็บอกให้ลหลิวลวี่ไปเตรียมน้ำร้อน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณหนู… ให้ข้าไปเรียกหมอมาดูดีหรือไม่เจ้าคะ ให้ท่านหมอมาตรวจดูสักหน่อยก็ยังดีนะเจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูมีแผลเป็นขึ้นมา…”
ถึงอย่างไรรอยแผลเป็นบนเรือนร่างสตรีย่อมดูไม่ดีอยู่แล้ว อันหรูอี้จึงพยักรับตอบรับเถาหงไปรับ บิดาของนางก็คงทราบเช่นกัน…
ท่านพ่อรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ หากไม่เชิญหมอมารักษาคงดูไม่เหมาะสมนัก
เมื่อสาวใช้ทั้งสองออกห้องนางไป อันหรูอี้ก็พลันถอนหายใจยาว ยามนี้สิ่งที่นางกังวลใจไม่ใช่เรื่องหวังซื่อและอันหลิงหลงจะวางแผนเล่นงงานนางอย่างไร หรือกังวลว่าอันก่วงเหนิงจะรู้สึกว่านางมีใจคับแค้นหรือไม่ สิ่งที่นางกังวลคือเรื่องการคัดเลือกสนมเข้าวังต่างหาก
แม้นางจะไม่ชอบการแย่งชิงดีในจวนแห่งนี้ แต่นางไม่ชอบการคัดเลือกสนมเข้าวังที่จะมาถึงนี้เสียยิ่งกว่า
จากกรงขังหนึ่งไปสู่อีกกรงหนึ่ง ซ้ำกรงขังนั้นยังน่ากลัวยิ่งกว่า… เช่นนั้นมันจะไปมีความหมายอันใดกันเล่า
…
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม อันหรูอี้ก็เห็นหมอชราผมหงอกเคราขาวเดินตามหลังเถาหงเข้ามาในห้อง หมอชราผู้นี้เป็นหมอประจำจวนอัครมหาเสนาบดี เขาวางมือเบา ๆ บนข้อมืออันหรูอี้เพื่อตรวจชีพจรของอันหรูอี้ เมื่อเขาไม่เห็นอาการผิดปกติอันใดเขาจึงไปตรวจดูบาดแผลต่อ
หลังจากที่หมอชราตรวจอาการอันหรูอี้ไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “บาดแผลที่มือของคุณหนูใหญ่มิร้ายแรงเท่าไรนัก เพียงแค่ทายาตามใบสั่งของข้าอยู่ตลอดเวลา บาดแผลเหล่านี้ก็จะหายเองแต่ระวังอย่าให้ถูกน้ำเป็นอันขาด”
อันหรูอี้พยักหน้ารับ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเฉย “ขอบคุณท่านหมอ หลิวลวี่ไปส่งท่านหมอเถิด”
ช่วงนี้จวนอัครเสนาบดีช่างมีเรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน คุณหนูรองเพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้คุณหนูใหญ่ยังมาบาดเจ็บอีก ‘เฮ้อ…มิรู้ว่าข้าจะต้องอยู่ตำแหน่งทำหน้าที่รักษาอยู่ที่นี่ไปได้อีกกี่วันกัน’
ในขณะที่หมอชรากำลังจะลุกขึ้น อันหรูอี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอพอจะมีกำมะถันบ้างหรือไม่?”
กำมะถันมีประโยชน์ในการรักษาโรคลมหนาว*[1]มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แต่ก็ให้โทษต่อร่างกายเช่นกัน นั้นเพราะมันมีฤทธิ์ร้อนที่ค่อนข้างรุนแรงและเป็นพิษต่อร่างกาย
หมอชราจ้องมองอันหรูอี้ด้วยความระมัดระวัง แล้วเอ่ยอย่างประหม่าว่า “คุณหนูใหญ่มิต้องกังวลสิ่งใด โรคลมหนาวของท่านหายมานานแล้ว มิจำเป็นต้องใช้กำมะถันเป็นยาอีกต่อไป”
อันหรูอี้มองเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ขอให้ท่านหมอเดินทางกลับปลอดภัย”
“เอ่อ… เช่นนั้นข้าขอตัว” แพทย์หลวงเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
บานประตูในห้องถูกปิดลอง ความเย็นในอากาศค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นจากเตาถ่านที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมย อันหรูอี้ค่อย ๆ หลับตาลง แต่แล้วภาพใบหน้ายิ้มที่อ่อนโยนของซ่งจื่ออานสายตาตาที่ดูห่วงใยนางกลับปรากฏขึ้นภายในใจของอันหรูอี้
เขาช่างเป็นบุรุษที่อ่อนโยนมาก แน่นอนว่าถ้าแววตาที่เย็นชานั้นลดลงอีกนิด มันก็คงจะดียิ่งกว่านี้…
หลังจากที่เถาหงโบกมือลาหลิวลวี่ที่ไปส่งท่านหมอ เถาหงก็ถือผ้าชุบน้ำร้อนเข้ามาในห้อง นางเช็ดตัวอันหรูอี้อย่างแผ่วเบาจากนั้นก็ห่มผ้าให้คุณหนูของตนอย่างเรียบร้อย ก่อนจะถอยออกจากห้องไป
วันนี้อันหรูอี้ถูกอันหลิงหลงลงมืออย่างหนักหน่วง ซ้ำยังนั่งบนรถม้าที่โคล้งเคลงไปมา ความเหนื่อยล้าในวันนี้มากเกินที่อันหรูอี้จะทนรับได้พอได้ล้มตัวลงนอนก็หลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ณ เรือนไม้ไผ่ อีกฟากหนึ่งของจวนอัครมหาเสนาบดีนอันหลิงหลงกำลังคลุ้มคลั่งขว้างปาสิ่งของในห้องจนกระจัดกระจาย
“นังสารเลว! นังเลว! นังคนต่ำช้า!…”
ข้ารับใช้นั่งหมอบก้มหน้าอยู่กับพื้น ใบหน้าที่ถูกเศษกระเบื้องจากแก้วถูกบาดจนเลือดไหล ด้วยความหวาดกลัวจึงทำได้เพียงก้มหน้าไม่กล้าที่ส่งเสียงใด ๆ ออกมา หากสามารถเอาตัวเองมุดหายไปในพื้นได้ นางคงไม่ลังเลที่จะทำแน่นอน
อันหลิงหลงโกรธจนบิดผ้าเช็ดหน้าม้วนจนเป็นก้อนแน่นพร้อมกับปากที่กล่าวคำสบถไม่หยุด “ข้าย่อมรู้ดีว่านังสารเลวนั่นมันร้ายเพียงใด ต่อหน้ามันแสร้งทำเป็นอ่อนหวาน แต่ยามลับหลังมิมีผู้ใดรู้หรอกว่ามันทำตัวชั่วช้าอันใดบ้าง!”
ขณะที่หวังซื่อก้าวผ่านประตูห้องเข้ามา อันหลิงหลงก็ยังคงด่าทอไม่หยุดปาก
“เอาละ พวกเจ้าออกไปได้”
หลักจากที่หวังซื่อโบกมือไล่ข้ารับใช้ออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงสาวรับใช้อยู่สองนางเท่านั้น อันหลิงหลงโผเข้ากอดหวังซื่อด้วยความน้อยใจ พร้อมเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ท่านแม่เจ้าค่ะ อันหรูอี้นางชั่วช้าเหลือเกิน ท่านพ่อก็ทำกับลูกเกินไปแล้ว ท่านพ่อบอกจะส่งลูกไปยัง…วัดหวงเมี่ยว”
วัดหวงเมี่ยวคือสถานที่ใดน่ะหรือ?
นั่นคือสถานที่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยพระราชครูของฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และบุตรหลานขุนนางได้เล่าเรียนเกี่ยวกับมารยาท แม้ฟังแล้วอาจดูเป็นสถานที่ที่ดียิ่งนัก แต่ทว่าทุกคนย่อมรู้ดีว่าผู้ที่ถูกส่งไปยังสถานที่นั้นล้วนเป็นบุตรหลานที่ก่อเรื่องร้ายแรงในพระราชวังหรือในจวนเท่านั้น!
หากนางถูกส่งไปที่นั่นเท่ากับประกาศให้คนทั่วเมืองหลวงรับรู้ว่า อันหลิงหลงเป็นสตรีที่ก้าวร้าว ไร้ระเบียบ ประพฤติตนให้เสื่อมเสีย
อย่าว่าแต่การคัดเลือกสนมเลย แม้แต่การออกเรือนของสตรีผู้หนึ่งควรจะมียังยาก แล้วจะมีผู้ใดกล้าแต่งนางเข้าตระกูลเล่า?
บุรุษผู้นั้นก็เช่นกัน… พลันอันหลิงก็นึกถึงบุรุษหนุ่มรูปงามที่เจอในร้านค้า ใบหน้างดงามนั้นทำให้ใบหน้าอันหลิงหลงแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว
หวังซื่อไม่ได้สนใจใบหน้าของบุตรสาวที่จู่ ๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นมา นางเพียงดึงมืออันหลิงหลงมาประคองไว้ในมือ แล้วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ในอดีตข้าเคยมองนางเป็นสตรีที่โง่เขลา มิคิดเลยว่านางจะมีเล่ห์เหลี่ยมลึกซึ้งถึงเพียงนี้”
“ท่านแม่ ท่านต้องช่วยลูกแก้แค้นให้ได้ มิเช่นนั้นลูกคงกลืนความแค้นนี้ไม่ลงจริง ๆ”
“ได้ ได้ แม่รับปากแล้ว แต่ว่า…” หวังซื่อเงยหน้าขึ้น แววตาประกายเจ้าเล่ห์ “เรื่องนี้ต้องวางแผนให้รอบคอบ เพราะตอนนี้เรามิอาจปฏิบัติต่อนางเช่นเดิมได้อีกแล้ว”
เมื่อได้รับคำสัญญาจากมารดาตนเอง อันหลิงหลงจึงสงบอารมณ์ลง พลางพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “นางเป็นเพียงคนต่ำช้าสามัญที่แต่ก่อนเคยโง่งม บัดนี้นางจะมีสติปัญญาปราดเปรื่องเอาตัวรอดไปได้นานเท่าไรกัน?”
หวังซื่อพูดอย่างหมดหนทาง “ลูกรักของแม่ เจ้าลืมคำเตือนของบิดาแล้วงั้นหรือ? ครั้งนี้หากเราผิดพลาดบิดาเจ้าโกรธจริงนะ ๆ!”
อันหลิงหลงกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ นางไม่ใช่คนโง่ที่จะพลาดอีกจึงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “…ข้าเข้าใจความหมายของท่านแม่แล้ว ช่วงนี้ลูกจะเอาอกเอาใจท่านพ่อให้ยิ่งขึ้น ท่านพ่อเป็นคนใจอ่อนมิติดใจถือสาเอาความอันใดกับลูกแน่”
คำกล่าวนี่คือความจริง อันก่วงเหนิงเป็นคนใจอ่อนและหูเบาจริง ๆ
หวังซื่อเผยยิ้มเล็กน้อยแต่กลับทำให้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บ “เจ้าอย่ากังวลอันใดเลยลูกรัก อันหรูอี้… มันไม่สามารถมาขวางทางอันใดเจ้าได้หรอก”