หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 11 การโต้แย้ง
บทที่ 11 การโต้แย้ง
บทที่ 11 การโต้แย้ง
“ท่านพ่อ โปรดพิจารณาด้วยเจ้าค่ะ” อันหรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “วันนี้อันหลิงหลงชวนลูกออกไปจับจ่ายซื้อของนอกจวน แม้ว่าการไปซื้อของจะมิใช่เรื่องที่คุณหนูใหญ่สมควรจะทำ แต่เมื่อเห็นน้องรองมีน้ำใจกับลูก ลูกจึงมิอาจปฏิเสธนางได้เจ้าค่ะ”
กล่าวถึงตรงนี้อันหรูอี้หยุดไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยขึ้นว่า “แม้ว่าระหว่างนั้นลูกกับน้องรองจะมีเรื่องผิดใจกัน แต่… ลูกในฐานะพี่สาวคนโตย่อมต้องรู้จักอดทนและให้อภัย เช่นนั้นเราทั้งสองจึงแยกกันกลับจวนเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้กล่าวต่อว่า “ทว่าตลาดในเมืองกลับเสียงดังวุ่นวายยิ่งนัก ม้าของลูกตกใจและเกิดพยศขึ้นมา ทำให้ลูกเกือบจะโดนม้าเหยียบสิ้นชีวิตแล้ว โชคดีที่ลูกยังมีท่านแม่บนสวรรค์คอยคุ้มครอง และบุรุษผู้นั้นได้เข้ามาช่วยชีวิตลูกไว้ทัน หลังจากที่ช่วยชีวิตลูกเขาก็จากไปโดยมิได้เอ่ยทั้งชื่อหรือร้องขอสิ่งตอบแทนใด ๆ บุรุษผู้นี้เป็นวีรบุรุษที่แท้จริง”
เดิมทีสิ่งที่อัครมหาเสนาบดีกังวลมากที่สุดคือ การที่บุตรสาวของเขามีความสนิทสนมกับชายแปลกหน้านั่นเป็นการทำให้บุตรสาวของเขาเสื่อมเสียชื่อเสียงยิ่งนัก ทว่าหากเปลี่ยนมุมมองจากบุรุษและสตรีมาเป็นผู้มีพระคุณกับผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือละ?
อันก่วงเหนิงเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ด้วยตำแหน่งเช่นนี้เขาย่อมต้องรักษาหน้าตนไว้ แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้ที่จะเนรคุณต่อผู้มีพระคุณได้เช่นกัน
อันก่วงเหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง อันหลิงหลงไม่รอให้อันหรูอี้กล่าวอันใดต่อยกมือชี้หน้าด่าทออันหรูอี้ทันที “เจ้าโกหก! เจ้า…”
“ยิ่งกว่านั้น!” เสียงของอันหรูอี้เย็นชาขึ้น น้ำเสียงกระชับขึ้นอย่างรวดเร็ว “ตลาดมีผู้คนอยู่มากมาย จะมีเวลาให้เอ่ยสิ่งใดกันแค่ไหนเชียวรึ? ส่วนเรื่องชู้สาว ตระกูลอันก่วงเหนิงบิดาของข้าเป็นถึงขุนางชั้นสูงในราชสำนัก จะกระทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นได้อย่างไร!”
“…” อันก่วงเหนิงถึงกลับกล่าวสิ่งใดไม่ออก แต่อันหรูอี้กลับเงยหน้าขึ้นกล่าวต่อ ดวงตาเปล่งประกายแวววับออกมา
“กลับเป็นเจ้าต่างหาก! น้องพี่… เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตนเป็นถึงคุณหนูรองจวนอัครมหาเสนาบดี มิใช่หญิงชาวบ้าน!” อันหรูอี้จ้องมองนางด้วยสายตาดุดัน “‘สมสู่’? ‘เสพสวาท’? เจ้าไปจดจำคำกล่าวเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? เหตุใดคำกล่าวหยาบคายเช่นนี้จึงหลุดออกมาจากปากเจ้าอยู่ตลอดเวลา!”
“ข้า! อันหรูอี้เป็นถึงคุณหนูใหญ่จวนอัครมหาเสนาบดี! เจ้าเคยเรียกข้าว่าพี่สาวดี ๆ สักครั้งหรือไม่? กฎระเบียบวินัยในจวนแห่งนี้เป็นเช่นไร? ความเคารพระหว่างพี่น้องของเจ้าอยู่ที่ใด? หากจะกล่าวหาว่าข้ากระทำผิดจริงเจ้าจงหาหลักฐานมา! ข้าในฐานะคุณหนูใหญ่ของจวนอัครมหาเสนาบดี จะมิทนรับความอัปยศอันปราศจากมูลเหตุนี้เป็นแน่!”
สิ้นคำกล่าวของอันหรูอี้ทุกคนต่างตกตะลึง!
แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าอันหลิงหลงกลับเพียงหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเอ่ยเย้ยหยันอย่างสุดเสียง “ท่านพ่อ! ท่านอย่าได้เชื่อถ้อยคำหลอกลวงของนาง ทุกคนต่างรู้ดีว่าม้าในจวนของพวกเราล้วนเป็นม้าชั้นดี แม้แต่สารถีรถม้ายังได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี จะเกิดพยศขึ้นมา
กลางตลาดได้เช่นไรกัน?”
“ในสายตาข้า นางแต่งเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น! นางเพียงเปลี่ยนเรื่องหนีความผิดที่ตนลักลอบไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษแปลกหน้าก็เท่านั้น!”
ถ้อยคำกล่าวของอันหลิงหลงดังกระหึ่มราวกับอัสนีฟาดลงมา
คำกล่าวของอันหลินหลงกล่าวออกมาจริงทุกประการ อันก่วงเหนิงมองอันหรูอี้ด้วยสายตาที่เคลือบแคลงทันที
ในจวนเขาอาจไม่รู้เรื่องราวทุกอย่างดีนัก แต่เรื่องม้าและสารถีรถม้านั้น เขาย่อมรู้ดีที่สุด
ในอดีตเขาเคยถูกคนชั่ววางแผนทำร้ายด้วยการทำให้ม้าผยศเช่นกัน เขาจึงได้คัดเลือกม้าสายพันธุ์ที่เชื่องมาจากกรมอาชาหลวงเป็นพิเศษ หากเป็นศักยภาพด้านอื่นเขาไม่แปลกใจ แต่หากเรื่องที่มันพยศจนควบคุมไม่ได้ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด
อันหรูอี้เบิกตากว้างมองอันก่วงเหนิงแล้วสลับไปมองอันหลิงหลง พลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ หากท่านมิเชื่อลูก ท่านซักถามสารถีม้าของลูกได้เจ้าค่ะ ลูกมิรู้จริง ๆ ว่าตนไปล่วงเกินอันใดน้องสาว…นางจึงได้นำเรื่องที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้มาใส่ร้ายลูก”
อันหรูอี้ยื่นมือที่ถูกผ้าขาวพันไว้แล้วปลดออกพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ… ท่านคิดว่าลูกจะโง่เขลาถึงขั้นทำร้ายตนเองเช่นนี้รึเจ้าค่ะ?”
อันก่วงเหนิงมองดูบาดแผลแดงก่ำที่ยังมีเลือดไหลซึมออกมา แม้ว่าหลายปีก่อนหน้านี้บุตรสาวคนโตของเขาจะมีนิสัยเสียไปบ้าง แต่นางก็มิเคยลงมือทำร้ายตนเองเช่นนี้แน่
“เจ้ากล่าวเรื่องไร้สาระอันใดกัน? ตัวเจ้าเองทำอันใดลงไป เจ้ามิรู้ตัวงั้นหรือ? ยังจะกล้าเอ่ยว่าข้าใส่ร้ายอีกงั้นหรือ? ท่านพ่อ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่อันหลิงหลงด้วยเจ้าค่ะ!” อันหลิงหลงไม่ยอมจำนนต่อเรื่องนี้แน่ นางวางแผนมานานถึงเพียงนี้ จะยอมให้มันพังลงง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?
“พอแล้ว! หลิงหลง เจ้าเป็นน้องสาว จะกล่าวกับพี่สาวของเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร?” แม้อันก่วงเหนิงจะเอ่ยเสียงเบาแต่สีหน้าของเขาก็บ่งบอกทุกอย่างชัดเจนแล้ว
อันหลิงหลงมีท่าทีจะกล่าวต่อ แต่อันหรูอี้กลับทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง! ในแววตาที่โกรธเคืองก่อนหน้านี้กลับเหลือเพียงความละอายใจปรากฏขึ้น น้ำตาไหลจากดวงตาคู่ที่งดงามอาบแก้มนวลทั้งสองข้าง
“ท่านพ่อ… ลูกก็เป็นบุตรสาวของท่านเช่นกัน ลูกมิอาจทนรับความอัปยศเช่นนี้ได้! ขอท่านพ่อโปรดสืบสวนเรื่องนี้ให้ชัดเจนด้วยเจ้าค่ะ! ม้าที่จู่ ๆ กลับเกิดพยศขึ้นมา ทั้งสารถีรถม้าก็เช่นกัน หากท่านพ่อมิยอมสืบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่าง ลูกขอจบชีวิตเสียตรงนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ!”
สีหน้าของหวังซื่อและอันหลิงหลงซีดเผือดในทันที
อันก่วงเหนิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง การแสดงออกที่รุนแรงเด็ดขาดของอันหรูอี้ทำให้เขาตกตะลึง ทันใดนั้นอันก่วงเหนิงราวกับเพิ่งเข้าใจบางสิ่ง เขาหันไปจ้องมองที่อันหลิงหลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบทันที!
อันหรูอี้เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องของตัวเองอย่างรวบรัด จากนั้นก็เบี่ยงเบนประเด็นด้วยการต่อว่าอันหลิงหลง พร้อมกล่าวเป็นนัยว่าภายในจวนไร้กฎไร้ระเบียบ
สุดท้ายคือการเอ่ยออกมาด้วยความคับแค้นใจที่ตนถูกใส่ร้ายจนยอมแลกชีวิตเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง นั่นต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
บุตรสาวของทุกคน แม้ข่าวลือจะไม่มีหลักฐานแต่ก็เพียงพอที่จะทำลายชีวิตคนคนหนึ่งได้แล้ว เพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนเองหากไม่แสดงอาการคับแค้นน้อยใจออกมาทำให้ไม่ได้มีการตรวจสอบที่ละเอียดเล่า? เช่นนั้นจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างไร?
อันหรูอี้ที่มักจะอ่อนโยนและสุขุมมาตลอด บัดนี้กลับมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ แม้อันก่วงเหนิงจะไม่ค่อยสนใจเรื่องในจวนนัก แต่เขาที่อยู่ในแวดวงของการแก่งแย่งอำนาจในราชสำนักมาหลายปี ย่อมเข้าใจเรื่องราวได้ในทันที
เขาเพียงก้มหน้าลงก็เห็นสีหน้าและแววตาที่ตกใจของอันหลิงหลง
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็คืออันก่วงเหนิงแม้จะโกรธจนเจียนจะคลั่งพร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ต้องพยายามอดทนข่มกลั้นอารมณ์ของตนเองไว้ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ในยามนี้ ซ้ำเหล่าบริวารยังอยู่กันพร้อมหน้า การอบรมสั่งสอนภายในบ้านเป็นเรื่องที่เล็กน้อยแต่หากเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ชีวิตของอันหลิงหลงก็จะต้องพังทลายลงแน่
แต่อันก่วงเหนิงกลับไม่ได้คิดเลยว่า หากแผนการของอันหลิงหลงสำเร็จขึ้นมาจริง ๆ ชีวิตของอันหรูอี้ในตอนนี้คงพังทลายไปแล้ว…
สุดท้ายอัครมหาเสนาบดีก็ยังคงลำเอียง…
หวังซื่อรีบคว้าแขนอันหลิงหลงไว้เพื่อห้ามไม่ให้นางเอ่ยอันใดต่อ มองไปยังอันหรูอี้ด้วยสายตาเคียดแค้น พลางฝืนใจยิ้มออกมาและกล่าวขึ้นว่า “หรูอี้ เรื่องนี้หลิงหลงขาดสติ ฟังคำยุยงมาจากข้ารับใช้ เมื่อเจ้าพิสูจน์ตัวเองเช่นนี้แล้ว แสดงว่าเจ้าบริสุทธิ์จริง ๆ ข้ากับบุตรสาวต้องขอโทษเจ้าด้วย…”
อันหลิงหลงมองมารดาตนเองด้วยสายตาประหลาดใจ แต่เมื่อนางเหลือบไปเห็นสายตาที่เย็นชาของอันก่วงหนิงหัวใจก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันทีไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
อันหรูอี้หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นค่อย ๆ ลดแขนเสื้อลง ความผิดหวังฉายแววเข้ามาในดวงตาและมองไปยังอันก่วงเหนิงพร้อมกล่าวว่า “ท่านพ่อ… ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลสำคัญที่สุด เฮ้อ… เช่นนั้นลูกไม่ต้องการให้ตรวจสอบแล้วเจ้าค่ะ”
อันก่วงเหนิงอ้าปากราวกับจะเอ่ยสิ่งใด แต่สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจออกมา “บุตรสาว วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว…”
อันหรูอี้พยักหน้าเล็กน้อย น้ำตาไหลลงมาหยดหนึ่ง “ลูกอยากจะพักผ่อน บางทีในฝันลูกอาจได้พบกับท่านแม่ผู้ที่รักและห่วงใยลูกที่สุด… เช่นนั้นลูกขอตัว”
กล่าวจบอันหรูอี้ก็มองไปยังหลิวลวี่ หลิวลวี่กำลังจะเข้ามาประคองแต่นางกลับเซถลาล้มลงไปในอ้อมแขนของหลิวลวี่
หลิวลวี่ตกใจรีบเข้ามาประคอง แต่ก็อดไม่ได้ที่เหลือบมองคนอื่น ๆ ในห้องโถงด้วยรอยยิ้มเย็นชา “คุณหนู… ไปกันเถิดเจ้าค่ะ พวกเรากลับเรือนด้วยกันเถิดนะเจ้าค่ะ”
มือของอันก่วงเหนิงค่อย ๆ กำแน่น เขามองตามแผ่นหลังที่ค่อย ๆ เดินจากไป จากนั้นความรู้สึกผิดที่หนักอึ้งกลายเป็นความโกรธขึ้นมาทันใด
หวังซื่อหันหลังกลับ กำลังจะพาอันหลิงหลงออกไปแต่แล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับสายตาแข็งกร้าวของอันก่วงเหนิง
“ข้ามิยุ่งเรื่องในจวน” อันก่วงเหนิงกล่าวอย่างช้า ๆ “แต่หรูอี้ก็ยังคงเป็นบุตรสาวของข้า และยังเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเจ้า ข้าไม่สนใจว่าเจ้าคิดอย่างไร…ถ้าเรื่องแบบนี้ยังกล้าเกิดขึ้นอีกครั้งที่สอง เจ้าก็ไปสำนึกผิดที่วัดหวงเมี่ยวซะ”
อันหลิงหลงเบิกตากว้างด้วยความตกใจและหวาดกลัว