หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 10 เขาคือวีรบุรุษ
บทที่ 10 เขาคือวีรบุรุษ
บทที่ 10 เขาคือวีรบุรุษ
อันหลิงหลงเห็นรถม้าของอันหรูอี้เตลิดวิ่งเข้าไปในเมืองตามแผนการของตนนางยิ้มเยาะด้วยท่าทีพึงพอใจ “ในเมื่อเจ้าชอบอวดดีกับข้านัก! จุดจบของเจ้าแม้ตายก็ไร้แผ่นดินฝั่งร่างของเจ้า!”
อันหลิงหรงสั่งให้คนขับรถม้าเร่งฝีอย่างสุดกำลังกลับไปยังจวนอัครมหาเสนาบดีโดยเร็ว อันหลิงหลงเกลียดชังอันหรูอี้ที่มักจะเหนือกว่าตนเองอยู่เสมอ นางจึงได้เตรียมแผนการไว้สองทาง
“คุณหนูรอง ทะ…ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?” ชุนหัวถามด้วยความระมัดระวังเมื่อเห็นว่าเส้นทางที่กลับไม่ใช่ทางไปเรือนไม้ไผ่ของนายตน
“หุบปาก! เจ้ามิรู้อันใดเลยสินะ! คุณหนูรองของเราเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เพื่อให้นางผู้นั่นตายอย่างไร้แผ่นดิน! หากนางตายใต้เกือกม้าพยศยังถือว่ามีบุญมากนัก ทว่าหากนางรอดชีวิต… คุณหนูรองของเราก็จะแพร่งพรายเรื่องราวมักง่ายใฝ่ต่ำกับบุรุษผู้นั้นให้ถึงหูนายท่านอย่างไรเล่า นางจะต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่สงบสุข นางต้องชดใช้ทุกสิ่งอย่าง!”*[1]
หลังจากที่ชุนหัวไม่ได้รับความโปรดปรานจากอันหลิงหลงอีกต่อไปจึงมีสาวใช้คนสนิทคนใหม่ชื่อ ‘ชิวเยว่’ นางมองชุนหัวด้วยสายตาเยาะเย้ยแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงที่สะใจ
“ตะ…แต่หากบุรุษผู้นั้นเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ล่ะเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนั้นจริงเราจะทำอย่างไรเจ้าค่ะ?” ชุนหัวถามพลางหดคอด้วยความหวาดกลัว
อันหลิงหลงจ้องมองอย่างคาดโทษ “เจ้านี่มันไร้สมองยิ่งนัก! ข้าสั่งให้คนไปสืบว่าบุรุษผู้นั้นเป็นคุณชายตระกูลใดแล้ว ผลคือเขามิใช่คุณชายตระกูลขุนนางตระกูลใดเลยในเมืองหลวง ถ้าเช่นนั้นเขาคงเป็นเพียงบุตรชายของพ่อค้าที่ร่ำรวยเท่านั้น หึ! จวนอัครมหาเสนาบดีย่อมไม่ต้อนรับคนเช่นนั้นหรอก…”
เซี่ยเหิงบังคับรถม้าจอดที่หน้าประตูจวนอัครมหาเสนาบดีอย่างราบรื่นทั้งมั่นคงและแผ่วเบา
ก่อนจะลงจากรถม้าอันหรูอี้กล่าวขอบคุณซ่งจื่ออานอีกครั้ง แล้วรีบเข้าจวนตั้งใจกลับไปพักผ่อนที่เรือนเหมันต์ นายเหนื่อยล้ายิ่งนักเหตุการณ์ในวันนี้มากเกินกว่าที่นางจะรับไหวแล้ว
“หืม…ท่านพี่หรูอี้จะรีบไปที่ใดกันเล่า?”
ทันทีที่เลี้ยวผ่านประตูจวนอัครมหาเสนาบดีก็ได้ยินเสียงหญิงแหลมสูงดังขึ้น
อันหรูอี้ได้ยินเสียงความโกรธก็พุ่งขึ้นเจียนคลั่ง “หลิงหลง ข้าว่าเจ้าช่างมิรู้จักอยู่นิ่ง ๆ เป็นสินะ!”
“บังอาจ! ข้าว่าคนที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นคือเจ้าต่างหาก!” หวังซื่อเอ่ยขึ้นพร้อมเดินเข้ามายืนข้าง ๆ อันหลิงหลง ดวงตาของหวังซื่อแฝงไปด้วยประกายเจ้าเล่ห์
อัครมหาเสนาบดีนั่งอย่างสงบบนเก้าอี้ไม้จันทน์แดง ดวงตาจ้องมองอย่างคาดโทษมาที่อันหรูอี้ “เจ้ารู้ตัวว่าทำผิดหรือไม่?”
“ลูกมิรู้ว่าตัวเองทำความผิดประการใดเจ้าค่ะ” อันหรูอี้ตอบด้วยท่าทางสงบนิ่งใบหน้างดงามของนางดูไร้เดียงสาราวกับไม่รู้เรื่องอันใดจริง ๆ
อันหลิงหลงทำเสียงเย้ยหยันทันที “เจ้ายังแสร้งทำเป็นมิรู้เรื่องอีกงั้นรึ! ท่านพ่อรู้เรื่องทุกอย่างที่ร้านค้าเครื่องประดับแล้ว เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้ารับของกำนัลมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึงของบุรุษผู้หนึ่ง! แต่หากเจ้ายังมิยอมรับ…เพียงข้าเรียกสาวใช้คนสนิทของเจ้ามาซักถาม นางย่อมต้องรู้เรื่องแน่เพราะของสิ่งนั้นนางยื่นมือไปรับเองมิใช่รึ?!”
“เพียงเรื่องนี้ เหตุใดข้าจะยอมรับเองมิได้เล่า?” จากนั้นอันหรูอี้จ้องมองไปยังอัครมหาเสนาบดีด้วยสายตาที่เปิดเผยดวงตาของนางฉายแววอย่างอ่อนโยน “ท่านพ่อ…บุรุษผู้นั้นยืนกรานที่จะมอบของให้แก่ลูก ลูกเกรงว่าปฏิเสธกันไปมาภายนอกจวนเช่นนั้นจะดูมิงาม ลูกเลยจำใจต้องรับมาก่อนเหล่าพ่อค้าและคนอื่น ๆ ล้วนเป็นพยาน… ลูกยังเอ่ยถามชื่อแซ่ของบุรุษผู้นั้นเพื่อให้ท่านพ่อได้ตอบแทนน้ำใจเขาในภายหลัง…คำพูดเหล่านี้น้องรองเองล้วนได้ยินเช่นกันเจ้าค่ะ”
อันหลิงหลงหัวเราะเยาะ “งั้นหรือ? เจ้าช่างแสร้งทำเป็นคนบริสุทธิ์ได้เหมือนจริง ๆ รถม้าพลิกคว่ำนี่มันบังเอิญเกินไปหรือไม่? เห็นเจ้ากลับมาเอาป่านนี้ซ้ำยังเป็นบุรุษผู้นั้นมาส่งเจ้าถึงหน้าจวนอีก! ผู้ใดจะรู้เล่าว่าพวกเจ้าไปสมสู่ เสพสวาทอันใดกันมาบ้าง…ยามนี้ต่อให้ปากของเจ้าเอ่ยวาจาเก่งกาจเพียงใด ก็คงเปลี่ยนดำให้เป็นขาวมิได้แน่!”
“หากเจ้าต้องการจะใส่ความข้า จะหาเรื่องอันใดใส่ก็ย่อมได้มิใช่รึ” อันหรูอี้ไม่ได้แสดงท่าทางร้อนรนแม้แต่น้อย “สิ่งที่มิได้ทำก็คือมิได้ทำ ต่อให้แต่งเรื่องบิดเบือนความจริงเช่นไร มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง!”
“เจ้า!” อันหลิงหลงโมโหจนพุ่งเข้าไปเตะอันหรูอี้ นางมิคาดคิดเลยว่าอันหรูอี้จะทำตัวราวกับก้อนหินในสวมทั้งเหม็นและแข็ง*[2]เช่นนี้!
อันหรูอี้ขยับหลบอย่างรวดเร็วมองดูอัครมหาเสนาบดีด้วยสายแววตาเวิงวอนพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ…ได้โปรดเชื่อคำพูดของลูกได้หรือไม่เจ้าคะ? หากท่านพ่อส่งคนไปสืบหาบุรุษผู้นั้นท่านก็จะทราบเรื่องราวทั้งหมด บุรุษผู้นั้นสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกได้…”
“เจ้าช่างหนทางรอดล่วงหน้าไว้เสียจริงนะ! ข้าได้ส่งคนไปสืบหาทั่วเมืองหลวงแล้ว บุรุษผู้นั้นมิได้เป็นคุณชายจากตระกูลใดในเมืองหลวงเลย! เจ้ายังจะหาคำกล่าวใดไว้ถ่วงเวลาอีก! อันหรูอี้เจ้ามันไร้ยางอายยิ่งนัก เป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือนแต่กลับลักลอบสมสู่กับบุรุษแปลกหน้า เจ้าช่างกล้า!”
เมื่อเห็นลูกเลี้ยงที่ตนเกลียดชังที่สุดกำลังจะประสบเคราะห์กรรมหวังซื่อจึงฉีกหน้าหน้ากากสตรีผู้แสนดีออกด่าทออันหรูอี้ด้วยวาจาที่รุนแรง
แววตาอันหรูอี้ฉายแววตาเย็นชาขึ้นมาทันที นางอยากจะตบหน้า ๆ ราวกับปากลาของหวังซื่อเสียจริง ในชาติก่อนความอำมหิตของหวังซื่อทำให้นางต้องจบชีวิตด้วยความอดยาก สตรีที่จิตใจคดเคี้ยวราวกับอสรพิษเช่นนี้เพียงชายตามองแวบเดียวก็รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ยิ่งนัก
อันหรูอี้เดินเข้าไปหาหวังซื่อพร้อมยกแขน ง้างฝ่ามือหวังฟาดลงไปที่หวังซื่อท่ามกลางใบหน้าที่ตื่นตระหนกของอีกฝ่าย แต่ทว่าฝ่ามือนั้นกลับตบลงไปที่ใบหน้าหน้าอันหลิงหลงแทน!
“เพียะ!” อันหรูอี้ไม่ได้โง่เขลาจนทำกิริยาล่วงเกินฮูหยินต่อหน้าอัครมหาเสนาบดีได้
อันหรูอี้หัวเราะอย่างเย็นชา ฝ่ามือนั้นนางใช้แรงทั้งหมดที่มีฟาดลงไปใบหน้าอันหลิงหลงที่ไม่ทันระวังตัวนางล้มลงไปกองอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพทันที
“ข้ามิอาจสามารถล่วงเกินฮูหยินได้ แต่สั่งสอนเจ้าสักหน่อยคงมิเป็นไรกระมัง?”
หลังจากที่ตบอันหลงหลิงไปอันหรูอี้ก็เผยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับท่าทีที่ผ่อนคลาย ‘ได้ตบใครสักคน…นี่มันดียิ่งนัก…’
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ท่านดูนางสิ นางกำลังพลิกฟ้า*[3]คว่ำแผ่นดินในจวนอัครมหาเสนาบดีแล้ว!” อันหลิงหลงร้องไห้คร่ำครวญปิดแก้มที่บวมเบ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
หวังซื่อฉวยโอกาสทรุดตัวคุกเข่าลงข้างกายอัครมหาเสนาบดี จับชายเสื้อคลุมของสามีตนพลางกล่าวว่า “ท่านพี่! บุตรสาวของท่านมิได้มีแค่อันหรูอี้เพียงคนเดียวนะเจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมอันหลิงหลงสิเจ้าค่ะ นางก็เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของท่านพี่นะเจ้าค่ะ!”
อันหรูอี้มองดูการเสแสร้งของอันหลิงหลงและหวังซื่อด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกำลังดูละครลิงที่น่าขบขัน… นางอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงชาติก่อนของตนเองนางต้องโง่งมเพียงใดกันนะ… ถึงได้ถูกพวกนางล่อลวงเช่นนั้นได้
“เจ้ากระทำตัวมิอายฟ้าดิน! วางตัวสนิทสนมกับชายแปลกหน้าเช่นนั้น ยังกล้าลงมือทำร้ายน้องสาวของเจ้าอีกงั้นหรือ! เจ้าคงมิเกรงกลัวกฎระเบียบของจวนแล้วใช่หรือไม่!” อัครมหาเสนาบดีโกรธจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชี้นิ้วใส่อันหรูอี้
อันหรูอี้คาดการณ์ไว้แล้วว่าอันหลิงหลงจะต้องแต่งเรื่องใส่ร้ายป้ายสีมาฟ้องบิดานางเป็นแน่ นางจึงเตรียมแผนรับมือระหว่างทางไว้ก่อนแล้ว
นางเบิกตากว้าง ดาวตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและอ่อนโยน
“ท่านพ่อ ท่านกล่าวอันใดเจ้าค่ะ ชายที่ช่วยชีวิตลูกเขาเป็นวีรบุรุษนะเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะกล่าวเหลวไหลอันใดอีก!” อัครมหาเสนาบดีโมโหจนหนวดเคราที่อยู่บนใบหน้าสั่นไหว
“ลูกมิได้โกหกเจ้าค่ะ เขาเป็นวีรบุรุษที่ช่วยเหลือผู้คนในยามคับขันและเป็นเพียงวีรบุรุษที่มอบดอกเหมยกุ้ย*[4]ให้ผู้อื่นแล้วเหลือเพียงกลิ่นหอมไว้บนฝ่ามือ*[5]เจ้าค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับบุรุษผู้นั้นล้วนบริสุทธิ์ใจทั้งสิ้น มิได้มีเรื่องอันใดที่ไม่เหมาะสมเลยเจ้าค่ะ เรามีความสัมพันธ์เพียงมิตรภาพที่ใสสะอาดเท่านั้น”
อันหรูอี้กล่าวออกมาด้วยท่าทีที่สง่างาม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและหนักแน่น คำกล่าวของอันรูอี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมแต่ก็ไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้ เมื่อเปรียบเทียบกับสองสตรีที่ทำกิริยาหยาบคายอยู่บนพื้น จิตใจของอัครมหาเสนาบดีก็เริ่มเอนเอียงไปทางอันหรูอี้โดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว
อัครมหาเสนาบดีส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างเย็นชาแต่กลับแฝงไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นหลายส่วน “ข้าจะให้โอกาสเจ้าแก้ต่างอีกครั้ง หากเจ้ามีความผิดจริง ข้าย่อมไม่ละเว้นเจ้าเป็นอันขาด!”
[1] ให้อยู่อย่างไม่เป็นสุข ต้องชดใช้ทุกสิ่งอย่าง เป็นสำนวนจีนเชิงข่มขู่ แสดงความไม่พอใจ และต้องการให้คนที่ถูกข่มขู่รับผิดชอบต่อการกระทำของตน
[2] ก้อนหินในส้วมทั้งแข็งและเหม็น เป็นสำนวนจีนที่ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ดื้อรั้น ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามความคิดของผู้อื่นแม้ตัวเองจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
[3] พลิกฟ้า เป็นสำนวนจีนที่แปลว่าก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ สร้างปัญหาหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อย่างรุนแรง
[4] ดอกเหมยกุ้ย คือดอกกุหลาบ
[5] มอบดอกเหมยกุ้ยและเหลือเพียงกลิ่นหอมไว้บนฝ่ามือ หมายถึงการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ