หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 1 โอกาสแห่งการเกิดใหม่
บทที่ 1 โอกาสแห่งการเกิดใหม่
ตุบ!
อันหรูอี้รู้สึกเหมือนถูกใครสักคนเตะเข้าที่ตัวนางอย่างรุนแรง แรงฝ่าเท้ากระแทกเข้าตัวนางหลายครั้งจนทำให้นางร้องครางออกมาเบา ๆ
“ท่านพ่อ ท่านจงดูให้ดีเถิด นางกำลังแกล้งสลบอยู่!” เสียงแหลมสูงดังขึ้นข้างหูราวกับฟ้าร้อง
ทันใดนั้นอันหรูอี้ก็ตื่นขึ้นจากความสับสน มองเห็นน้องสาวอันหลิงหลงที่สวมใส่ชุดที่มีสีแดงสดสลับสีเขียว
อันหรูอี้กลืนน้ำลายลงคออ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า นางมิได้ถูกแม่เลี้ยงและอันหลิงหลงทรมานจนสิ้นชีพไปแล้วหรือ? เหตุใดจึง…
นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จิตใจก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา ที่นี่คือศาลบรรพชน!
หรือว่า… นางได้กลับมาเกิดใหม่?
“อันหรูอี้ เจ้ากล้าทำกิริยาต่ำช้าต่อบรรพบุรุษด้วยการกินของในเวลาสักการะหรือ! เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง!” อัครมหาเสนาบดีขมวดคิ้วเคร่งขรึม ดวงตาเปล่งประกายความโกรธเกรี้ยวที่แฝงไปด้วยแรงอาฆาตมหาศาล
แววตาของอันหลิงหลงวาววับไปด้วยเล่ห์กล นางหัวเราะและเอ่ยว่า “ใช่แล้วท่านพ่อ ท่านดูให้ดีเถิดว่านางจะทำให้ตระกูลอันของเราต้องอับอายขายหน้าไปทั่วเมืองหลวง!”
อันหรูอี้ขมวดคิ้วงามเล็กน้อยจ้องมองอันหลิงหลงด้วยสายตาที่เย็นเยียบ
อันหลิงหลงชะงักไปชั่วขณะ ร่างกายรู้สั่นเกร็งเมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่เย็นเฉียบคู่นั้นแต่เมื่อนางคืนสติได้ ก่อนที่อารมณ์จะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ “ดียิ่งนัก! เจ้าทำผิดแล้วยังจะมาจ้องข้าอีกงั้นหรือ?”
อันหรูอี้จำเหตุการณ์นี้ได้ เมื่อครั้งที่นางอายุ 15 ปีในพิธีสักการะบรรพชนของตระกูลอัน อันหลิงหลงได้ใส่ขนมไว้ในแขนเสื้อของนาง แล้วแกล้งทำเป็นเจอโดยบังเอิญและ ‘เปิดโปง’ ทำให้บิดาของนางโกรธและเกือบจะตีนางตายในวันนั้น
บัดนี้ไม่ว่าตนจะเอ่ยสิ่งใด ก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งโต้เถียงมากเท่าไร บิดาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น
ส่วนอันหลิงหลงและแม่เลี้ยงหวังซื่อจะทำอันใดเล่า? …นอกจากรอให้นางตายเอง
ในเมื่อนางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง นางจะยอมให้เป็นไปตามใจของสองคนนั้นอีกหรือ?
“ท่านพ่อ ลูกกระทำผิดและยอมรับการลงโทษ แต่เป็นเพราะยามเช้าลูกยังมิได้มีอันใดตกถึงท้อง จึงเก็บขนมนี้ไว้ในแขนเสื้อ ลูกมิได้ตั้งใจที่จะลบหลู่บรรพบุรุษแม้แต่น้อย!” อันหรูอี้เผยสีหน้าซีดเซียวดวงตาคมกริบเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำ
นางไม่รอให้อัครมหาเสนาบดีกล่าวสิ่งใด ก็ก้มลงคำนับหน้ารูปบรรพชนแล้วร้องไห้สะอื้น “ขอบรรพบุรุษบนสวรรค์โปรดเมตตาและให้อภัยกับความผิดพลาดที่ข้ามิได้ตั้งใจกระทำนี้ด้วยเถิด!”
หวังซื่อและอันหลิงหลงหันมองหน้ากันด้วยความงุนงน เหตุใดท่าทีของอันหรูอี้จึงเปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้
ก่อนหน้านี้นางมีนิสัยตรงไปตรงมา และไม่เก็บความรู้สึกใด ๆ จึงเป็นคนที่เดาทางออกได้ง่าย แต่บัดนี้พอถึงจังหวะสำคัญ นางกลับกลายเป็นคนที่เดาใจไม่ออกไปเสียแล้ว
อัครมหาเสนาบดีเริ่มคลายความโกรธลงบ้าง ท้ายที่สุดเขาก็ยังสงสารบุตรีที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ของตน จึงยกมือปัดแขนเสื้อพลางกล่าวว่า “พอแล้ว ถ้าเจ้ารู้ผิดก็…”
“ท่านพ่อ นี่ไม่ได้นะเจ้าคะ!” อันหลิงหลงตะโกนเสียงแหลมเมื่อเห็นว่าอันหรูอี้กำลังจะรอดพ้นจากความผิด “หากทุกคนทำตัวไร้มารยาทเช่นท่านพี่ เมื่อไร้กฎระเบียบเช่นนี้ ศาลบรรพบุรุษคงกลายเป็นเพียงสุสานหมูแน่เจ้าค่ะ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ลูกสำนึกผิดแล้ว ลูกยินดีคุกเข่าชดใช้ความผิดอยู่ที่นี่ ลูกจะไม่ลุกจนกว่าท่านพ่อจะอนุญาตเพื่อขอขมาบรรพบุรุษ และเพื่อที่จะสวดขอพรจากวิญญาณมารดาบนสรวงสวรรค์ ท่านพ่อได้โปรดอนุญาตด้วยเถิดเจ้าค่ะ” อันหรูอี้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา พลางก้มหมอบต่อหน้าบรรพบุรุษลงอีกครั้ง
“หรูอี้…”
อันหรูอี้เยาะเย้ยในใจ ชัดเจนว่าอันหลิงหลงจงใจกล่าวยุยงให้นางแสดงกิริยาไม่เหมาะสม เพื่อทำให้บิดารู้สึกโกรธอีกนางอีกครั้ง และยังต้องการให้นางโต้กลับเพื่อที่จะทำให้บิดาหมดความเห็นใจทั้งหมด
แต่อันหรูอี้รับรู้แผนการร้ายของอันหลิงหลงล่วงหน้าแล้ว มีหรือที่ครานี้นางจะยอมปล่อยให้อันหลงหลินสมหวังได้?!
อันหรูอี้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจ้องมองอันหลินหลงด้วยแววตาที่เย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
อันหลิงหลงรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย นางก้าวเท้าออกมาพร้อมเผยรอยยิ้มหวานพลางประคองอัครมหาเสนาบดีไว้ “ท่านพ่อ เมื่อท่านพี่ตั้งใจเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นพวกเราไปดื่มชารอที่ห้องรับรองก่อนเถิด รอจนพี่สาวคุกเข่าขอขมาเสร็จแล้วค่อยมาดูก็ยังมิสายเจ้าค่ะ”
เดิมที่ภายในใจของอัครมหาเสนาบดีรู้สึกสงสาร อยากจะให้อันหรูอี้ลุกขึ้น แต่เมื่ออันหลิงหลงเอ่ยเช่นนั้น เขาก็ได้แต่รับคำ
เห็นผู้คนพากันเดินออกจากศาลาบรรพชนไปจนหมดสิ้น อันหรูอี้บีบนวดหัวเข่าที่เจ็บปวดจากการคุกเข่า แววตาของนางค่อย ๆ เผยให้เห็นถึงความเกลียดชัง
อันหรูอี้เห็นแผ่นป้ายบรรพชนของมารดาวางอยู่เบื้องหน้า ดวงตาร้อนผ่าวกล่าวว่า “ท่านแม่ ลูกหาได้อกตัญญูไม่ ในชาติก่อนลูกถูกคนอื่นกระทำเรื่องร้ายใส่ ลูกสาวที่เกิดจากท่านโดยตรงกลับถูกทำให้อดอยากจนตาย แต่บัดนี้สวรรค์ได้เมตตาลูก ให้โอกาสลูกกลับมาเกิดใหม่ ครานี้ลูกจะมิให้มันเกิด… ซ้ำรอยเดิมอีกเป็นแน่”
อันหรูอี้คุกเข่าอยู่ในศาลบรรพชน ลำตัวตั้งตรงดั่งต้นไผ่ พยายามสลัดความเย็นยะเยือกออกไป
“ท่านพ่อ ท่านลองชิมดูสิ นี่คือใบชาหน้าฝนใหม่ปีนี้ ท่านแม่เป็นผู้ไปเลือกซื้อมาให้ท่านเชียวนะ…”
ในห้องรับรองอันกว้างใหญ่หรูหรา อันหลิงหลงยิ้มแย้มส่งถ้วยชาให้อัครมหาเสนาบดีหวังชื่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างยิ้มแย้มแจ่มใส จนเกิดเป็นภาพครอบครัวที่อบอุ่นสงบสุข
อัครมหาเสนาบดีย่นคิ้วรับถ้วยชา เอ่ยถามว่า “หรูอี้คุกเข่าในศาลบรรพชนนานแค่ไหนแล้ว?”
อันหลิงหลงค้างไปชั่วครู่ ยิ้มตอบว่า “ยังไม่นานนักเจ้าค่ะ เพิ่งจะครึ่งชั่วยามเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็พอแล้ว อากาศหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิอาจทำให้ร่างกายทนไม่ไหวและล้มป่วยได้ ข้าจะไปเรียกนางมา” อัครมหาเสนาบดีผลักแขนของอันหลิงหลงที่กั้นไว้อย่างไม่รู้ตัวแล้วลุกขึ้นเอ่ย
แววตาของอันหลิงหลงเย็นชาลง แต่ไม่นานรอยยิ้มนุ่มนวลก็ปรากฏขึ้น “ท่านพ่อ ลูกก็เป็นห่วงท่านพี่เช่นกัน แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะให้ท่านเหน็ดเหนื่อยได้เช่นไร… ให้ลูกไปดีกว่า เดี๋ยวลูกจะเอ่ยกับท่านพี่ให้เข้าใจเองเจ้าค่ะ”
อัครมหาเสนาบดีพยักหน้ารับ “ก็ได้”
อันหลิงหลงพร้อมสองสาวใช้ไปยังศาลบรรพชน เห็นร่างที่คุกเข่าตรงนั้นจึงหน้าเสียบิดจมูกด้วยความรังเกียจ กล่าวเสียงดังพอประมาณว่า “ที่นี่เหม็นจริง ๆ ไม่รู้ว่ากลิ่นของสัตว์ชนิดใดกันแน่”
อันหรูอี้หรี่ตีสีหน้าเยือกเย็น ทว่าไม่ได้หันมองอันหลินหลงพร้อมเปล่งเสียงนุ่มนวลว่า “อาจจะเป็นกลิ่นจากตัวจากใครบางคนกระมัง เพียงแต่คนผู้นั้นไม่รู้ตัว”
“เอ่ยวาจาคล่องแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ท่านพ่อยังคงเอ็นดูแต่ข้าเท่านั้น มิใช่เจ้า!” อันหลิงหลงหรี่ตามองยิ้มแล้วกล่าว พยายามยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างอันหรูอี้กับอัครมหาเสนาบดี
ในชาติก่อน อันหรูอี้ก็เคยพบวิธีการเหล่านี้ของนางมาแล้ว แล้วจะยังหลงกลอีกได้อย่างไร?
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้าเป็นตัวอันใดกันแน่ เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? คิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ? ท่านพ่อให้เจ้ามาเรียกข้ากลับใช่หรือไม่ ยามใดเจ้าจึงจะเลิกใช้วิธีโง่งมเช่นนี้เล่า?”
“เจ้า!” อันหลิงหลงยามอยู่ต่อหน้าอัครมหาเสนาบดีจะแสดงท่าทีที่สุภาพและอ่อนโยนเสมอ แต่เมื่ออยู่ลับหลัง นางย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อพี่สาวตัวเองด้วยดีแน่
อันหลินหลงสาวเท้าเดินไปยังอันหรูอี้ เงื้อมือขึ้นจะตบ
มุมปากอันหรูอี้ยกขึ้นเผยรอยยิ้มที่เย็นชา มือซ้ายยกขึ้นปัดข้อมือของอันหลิงหลงออก ส่วนมือขวาก็เงื้อมือสูงแล้วตบลงมาที่แก้มซ้ายของอันหลิงหลงอย่างแรง
“เพียะ!” เสียงตบดังกึกก้องไปทั่วในศาลบรรพชน อันหลิงหลงกุมแก้มด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“เจ้ากล้าตบข้า?”
อันหรูอี้ยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ส่งไปถึงดวงตา
“เหตุใดจะไม่กล้า? ในฐานะพี่สาว ข้ามีสิทธิ์สั่งสอนน้องสาวที่ดื้อดึงเช่นเจ้าโดยชอบธรรม!”