หลังจากที่เเฟนทิ้งผมไป จู่ๆสาวที่สวยที่สุดในโรงเรียนก็ลากคอผมไปที่บ้านซะงั้น - ตอนที่ 9 ทิศทางของท้องฟ้า
- Home
- หลังจากที่เเฟนทิ้งผมไป จู่ๆสาวที่สวยที่สุดในโรงเรียนก็ลากคอผมไปที่บ้านซะงั้น
- ตอนที่ 9 ทิศทางของท้องฟ้า
(ชื่อญี่ปุ่นของบทนี้คือ 空の雲行き (Sora no Kumoyuki) โดยคําว่า 空 ซึ่งออกเสียงว่า โซระ ไปตรงกับชื่อตัวละครน้องโซระผมชมพูเเต่ชื่อของเธอเขียนด้วยตัวฮิรางานะ (そら) ซึ่งทําให้ชื่อบทนี้สื่อได้อีกความหมายคือ ทิศทางของโซระ)
วันต่อมาซึ่งก็คือวันอาทิตย์ ผมออกจากบ้านเรย์นะเพราะมีซ้อมกิจกรรมชมรมในช่วงเช้า เเละยังต้องกลับไปที่บ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
ผมนึกว่าจะได้เจอมิโอริต้อนรับหน้าบ้าน เเต่เธอกลับนอนหลับอยู่ ดังนั้น ผมจึงเตรียมตัวไปทํากิจกรรมชมรมโดยไม่ให้เธอตื่น เเละออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ
ผมเดินไปตามเส้นทางที่ใช้ในการไปโรงเรียนเหมือนทุกที เเล้วก็ไปเจอโชวเข้าซึ่งอยู่ตรงทางที่บรรจบกัน
[“…อรุณสวัสดิ์ ชินเซย์…”]
[“อืม อรุณสวัสดิ์ โชว…เป็นอะไรมานั้นน่ะ?”]
โชวที่ควรจะสดใสร่าเริง เเต่วันนี้สีหน้าของเขากลับดูเฉยชาเเละนํ้าเสียงไร้เรี่ยวเเรง
เมื่อวานยังเห็นสดใสร่าเริงอยู่ในงานนัดบอดอยู่เลย ฝันเห็นพรุ่งนี้โลกจะเเตกรึไง?
[“เมื่อคืน ฉันทะเลาะกับโซระน่ะ…”]
เมื่อลองคิดดูเเล้ว นานเเล้วเหมือนกันที่ไม่เห็นโชวเดินมาโรงเรียนคนเดียว
จริงสิ ในกรณีของโชวซึ่งเป็นซิสค่อนก็มีความหมายได้อีกเเบบว่าโลกกําลังจะเเตกสินะ
[“เเล้วเหตุผลที่ทะเลาะกันล่ะ?”]
[“…คิดว่าอะไรล่ะ?”]
[“นายกินของโปรดของโซระโดยไม่ได้ขอเธอ? ส่วนใหญ่บ้านฉันชอบทะเลาะกันเรื่องพวกนี้เเหละ”]
[“อุ๊บ สงบสุขดีนะตระกูลอาซาฮิโอกะเนี่ย”]
โชวหัวเราะเยาะราวกับได้รู้เรื่องตกตะลึง นี่เรากับไอหมอนี่คุยประเด็นเดียวกันอยู่ปะเนี่ยเห้ย
[“สรุปเเล้ว ตัวการที่ทําให้ทะเลาะกันคือไร?”]
[“ตอนฉันเตือนเธอว่าอย่าไปมองหาผู้ชาย เธอกลับตะคอกใส่ฉันว่า “มันไม่เกี่ยวกับพี่ซะหน่อย” น่ะ”]
[“โซระคนนั้นอ่ะนะ มองหาผู้ชาย?”]
[“ก็ใช่น่ะสิ! โซระคนนั้น…เริ่มมองหาผู้ชายตามอําเภอใจ!”]
เนื่องจากผมเเละโชวมีความเข้าใจร่วมกัน โดยพื้นฐานเเล้วโซระเป็นคนมุ่งมั่น
เเม้ว่าเธออาจมีด้านชั่วร้ายที่ชอบกวนคนไปทั่วอยู่บ้าง เเต่ผมก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย
จึงได้เเต่เอะใจ เมื่อได้ยินว่าเธอหันไปสนใจกับการหาผู้ชาย
[“นายไม่ได้เข้าใจผิดไปเองใช่ไหม? อย่างด่วนสรุปไปเอง…”]
[“ตอนเเรกฉันก็คิดเเบบนั้นเหมือนกันนั้นเเหละ เเต่ ไม่นานมานี้ ฉันเห็นโซระอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งบ่อยมากน่ะ”]
ถ้าเกิดว่าสิ่งที่โชวพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องเเย่อะไร
[“มันก็เเค่โซระมีเเฟนหนิ?”]
[“ฉันไม่เตือนเธอหรอก ถ้าหากผู้ชายคนนั้นเป็นคนดี”]
ต้องเป็นผู้ชายสเปคไหนถึงจะยอมรับวะเนี่ย
หล่อ บุคลิกดี เล่นกีฬาได้ เรียนก็ไม่เลว…โชวก็ไม่ได้เรียนดีขนาดนั้นด้วยสิ
[“เอาเถอะ สุดท้ายเเล้วคงเป็นเเฟนกันได้ไหมนานหรอก”]
[“เออ ละก็ดูเหมือนจะเป็นพวกเจ้าชู้ไรเงี้ย…”]
ถึงจะดูเเรงไปหน่อย เเต่ผมก็มองโชวเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่จีบไปทั่วเหมือนกัน
เเน่นอนว่าผมมีภาพของโชวที่คุยกับสาวๆในช่วงพักอยู่ด้วย
[“ยังไงก็เถอะ! ฉันไม่มีทางที่จะยกน้องสาวสุดเเสนจะน่ารักคนนี้ให้กับผู้ชายนั่นหรอก”]
[“เป็นพ่อโซระรึไง คราวก่อนนายยังปล่อยให้ฉันอยู่กับเธอเเท้ๆ”]
[“ถ้าเป็นชินเซย์น่ะไม่เป็นไรหรอก ฉันเชื่อใจนาย โซระก็ยังดูชื่นชอบนายอีก…อ๊ะ จริงสิ!”]
โชว ซึ่งดูเหมือนจะนึกอะไรออก ได้วางมือบนไหล่ของผม
[“เพื่ออนาคตที่สดใสของโซระ ชินเซย์จะยอมละทิ้งความเป็นคนไหม?”]
[“…หะ?”]
โชวที่ดูคาดหวังในตัวผม ทําให้ผมรู้สึกเเย่
◇
[“รุ่นพี่อาซาฮิโอกะ เหนื่อยหน่อยนะคะ~!”]
[“อะ อ่า…เหนื่อยหน่อยนะ โซระ”]
[“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”]
เมื่อการซ้อมช่วงเช้าได้จบลง โซระก็เดินนําหน้าโชวซึ่งเป็นพี่ชายของตน
[“…ไปเเล้วสินะ”]
ในขณะที่ผมมองไปยังเเผ่นหลังของโซระมันทําให้นึกถึงสิ่งที่โชวขอร้องผมเมื่อเช้านี้
จากปากคําของโชว โซระกลับบ้านคนเดียวหลังเลิกเรียนตั้งเเต่วันจันทร์ที่เเล้ว
เเละวันต่อมา โชวผู้อยากรู้อยากเห็นว่าน้องสาวตัวเองทําอะไรจึงสะกดรอยตามไปเเละพบว่าโซระกําลังไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่ง
หลังจากที่ได้รู้เช่นนั้น ผมรู้สึกตกใจมากที่โชวสะกดรอยตามน้องสาวตัวเอง…
นอกเหนือจากนั้น โชวได้ตรวจสอบเเละพบว่าโซระนัดเจอชายคนหนึ่งที่ร้านอาหารสำหรับครอบครัวในวันนี้
ด้วยเหตุนั้นเองจึงกล่าวเป็นอีกนัยได้ว่า โชวตั้งใจส่งผมไปเพื่อควบคุมสถานการณ์เเละกําจัดสัตว์ร้ายที่อยู่กับน้องสาวของตัวเอง
[“ฉันว่ามันสมเป็นเด็กม.ปลายดีนะที่นัดเจอกันที่ร้านอาหารสําหรับครอบครัวเนี่ย…”]
อย่างน้อย พวกเขาก็ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ผมไม่ชอบความคิดการทําลายมิตรภาพระหว่างคนสองคนที่กําลังสนิทสนมกัน
ที่ผมจะสื่อคือ ผมคิดว่ามันคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสําหรับอนาคตอันสดใสของโซระที่จะไล่โชวออกจากตระกูลทาคานาชิ ซึ่งคอยตามติดโซระเเม้กระทั่งตอนเขาจะเดทกัน
ก่อนหน้านี้ ผมได้ปฏิเสธไปเเล้วครึ่งหนึ่ง เเต่โชวก็ได้คุกเข่าลงเเล้วขอร้องผมอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าโชวคิดว่าโซระจะเชื่อฟังถ้าเป็นคําพูดที่มาจากปากของผม
เมื่อเขาได้คุกเข่าให้กับผม ผมก็ปฏิเสธไม่ลง ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจดูสถานการณ์ในตอนนี้
โชว อธิบายว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดูเหมือนชอบเที่ยวกับสาวไปทั่ว เเต่การตัดสินคนจากภายนอกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรทํา
[“…ถ้าจําไม่ผิด ที่นี่สินะ?”]
หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้มาถึงร้านอาหารสําหรับครอบครัวที่โชวเคยบอกไว้
อย่างไรก็ตาม โชวตัดสินใจไม่ได้ตามผมมาด้วย เพราะถ้าโซระรู้เข้าคงจะมีปัญหากันอีก
นอกจากนี้ โชว ยังบอกให้ผมเเสร้งทําเป็นบังเอิญมาเจอ เพราะโซระอาจอารมณ์ไม่ดี ถ้ารู้ว่าผมมาที่นี่ตามคําขอของโชวซึ่งเป็นพี่ชายของตน
[“มาขอให้ฉันทําเรื่องเวียนหัวอีกเเล้ว…”]
ผมไม่เห็นโซระอยู่หน้าร้าน เธออยู่ในร้านเเล้วเหรอ?
ขณะที่ผมกําลังสงสัยว่าควรเข้าไปดูในร้านดีไหมนั้น ผมก็ได้เห็นโซระที่อยู่ไกลพอควรกําลังเดินมา
[“งะ งานเข้าเเล้ว ถ้าโดนเจอตัวเข้าเเย่เเน่ๆ”]
ผมรีบเข้าไปซ่อนตัวกับสิ่งก่อสร้างเเถวนั้น
โซระที่เเต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาได้หยุดอยู่หน้าร้านอาหาร
เสื้อเบลาส์เเขนยาวลายริ้วสีชมพู เเละมีโบว์สีดําขนาดใหญ่ตรงหน้าอก
กระโปรงสั้นสีดําที่เเต่งเเต้มขาเปลือยเเละคาดด้วยเข็มขัดเพื่อให้ดูดีมีสไตล์โดดเด่น
สวมรองเท้าผ้าใบพื้นหนาสูงกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งต่างจากสิ่งที่ผมคิดไว้อย่างสิ้นเชิง
[“นี่มันเเฟนชั่นสไตล์จิไรเคย์¹ นี่นา…”]
¹ Jiraikei ซึ่งมาจากคําว่า Jirai Onna หมายถึง ผู้หญิงที่ลักษณะภายนอกขัดกับบุคลิกนิสัยที่แท้จริงเหมือนกับ “กับระเบิด” ที่ดูผ่านๆแล้วเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าได้เหยียบเข้าไปละก็…รู้เรื่อง มักใช้กับผู้หญิงที่มีเสน่ห์ น่าดึงดูด แต่เมื่อได้รู้จัก พบว่านิสัยแท้จริงไม่น่าคบหาถึงขั้นควรหนีให้ไกล (ข้อมูลจาก : https://lkdin.io/4Amp)
เนื่องจากนี่เป็นครั้งเเรกที่ผมเห็นโซระในชุดธรรมดา มันจึงทําให้ผมรู้สึกประหลาดใจกับงานอดิเรกที่คาดไม่ถึงของเธอ
ตอนที่เราเเยกทางกันที่โรงเรียนก่อนหน้านี้ เธอมีปัญหากับการเปลี่ยนจากชุดของชมรมเป็นชุดเครื่องเเบบนักเรียน จึงทําให้ผมได้เเต่นึกสงสัยว่าเธอได้ไปเปลี่ยนที่อื่นอีกหรือเปล่า
[“ไม่สิ นี่มันคือการเดท ไม่เเปลกที่เธอจะเปลี่ยนชุด…”]
ในทางกลับกัน โซระจิ้มโทรศัพท์ตั้งเเต่เธอหยุดอยู่หน้าร้าน
[“เธอคุยกับผู้ชายคนนั้นอยู่หรอ…อ๊ะ?”]
ทันใดนั้นเอง โซระได้ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ จากนั้นยกมือซ้ายเล็กๆขึ้นเเละโบกเพื่อให้กับใครบางคน
เมื่อมองจากทิศทางที่เธอโบกเเล้ว…
[“อะไรนะ!? อะ ไอหมอนั้น…!?”]
ผมจ้องมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาที่มองเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
คนที่ปรากฏตัวนั้น…เป็นคนที่ผมไม่มีวันลืมจนวันตาย เขาคือผู้ชายที่เดินอยู่กับเรียเมื่อตอนนั้น
[“ทําไมไอหมอนั้นถึง…มาเจอกับโซระ…!?”]
โซระไม่ควรจะได้คุยกับชายคนนี้ ในเมื่อชายคนนั้นกําลังมีความสัมพันธ์ของเรียอยู่…ทําไม? ทําไมกัน?
เสียงสองเสียงเข้ามาในหัวของผมสับสนกับการปรากฏตัวของบุคคลไม่คาดฝัน
[“นี่ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยที่นายมาช้ากว่าฉันเนี่ย~”]
[“โทษทีๆ เพิ่งไปหาเรียที่บ้านน่ะ”]
[“…รุ่นพี่ชิอินะ เป็นยังไงบ้างล่ะ?”]
[“เธอไม่อยากเห็นหน้าฉันเเล้วเเละเหมือนจะเป็นฮิสทีเรียด้วย² กลายเป็นคนไม่ออกนอกบ้านไปเเล้ว ใช้การไม่ได้เเล้วเเหละ”]
[“เสียใจด้วยนะ”]
[“ดูเหมือนว่าเรียจะทําไม่ไหวเเล้ว เพราะงั้น ช่วยเเนะนําผู้หญิงคนใหม่ให้ฉันหน่อยสิ”]
[“เอ๋~? อีกเเล้วเหรอ~?”]
² โรคฮิสทีเรีย (Hysteria) คือ โรคทางจิตเวชประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย โดยผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ หรือควบคุมความวิตกกังวลของตัวเองไม่ค่อยได้ (ข้อมูลจาก : https://bityl.co/KIEH)
ระหว่างที่คุยกัน พวกเขาก็เดินเข้าไปในร้านอาหาร
ผมตะลึงกับบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อตะกี้จนเเข้งขาเดินไปไหนไม่ได้
[“อะไร…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่วะเนี่ย…?”]
หากว่ากันตามสิ่งที่ได้ยิน เหมือนโซระเป็นคนเเนะนําคนเจ้าเล่ห์ให้รู้จักกับเรีย…
เเต่เรียบอกว่าหมอนั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กหนิ…?
โทรศัพท์ของผมได้ดังขึ้นราวกับจะดึงสติผมกลับมาสู่โลกความเป็นจริง
[“คงจะเป็นโชวสินะ…”]
ผมเดาว่าโชวซึ่งรออยู่ที่บ้าน ขอฟังข่าวดีจึงตัดสินใจโทรมาหาผม
[“เเต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลานะโว้ย…”]
เเม้ว่าผมจะรายงานโชวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เเต่ผมก็บอกเขาไม่ได้ว่าโซระมาเจอกับเเฟนหนุ่มของเรียคนปัจจุบัน เเละมันก็ไม่ได้มีปัญหาเพียงเเค่นี้ด้วย
ด้วยความสลดใจ ผมหยิบโทรศัพท์ที่มีเสียงดังออกมาจากกระเป๋ากางเกงเเล้วกดปุ่มรับสายโดยไม่เเม้เเต่มองหน้าจอ
(“โชว โทษทีนะ เเต่ช่วยโทรมาหาฉันทีหลังเถอะ──”)
(“เเต่ฉันชื่อเรย์นะนะ?”)
เสียงที่ดูไม่พอใจเล็กน้อยได้ดังมาจากลําโพงของโทรศัพท์
(“อะไรกัน เรย์นะหรอกเหรอ”)
(“ฉันผิดเองสินะที่โทรมาหา”)
(“ไม่ใช่ซะหน่อย…เเล้ว มีธุระอะไรหรอ?”)
(“ถ้าไม่มีธุระฉันโทรหาไม่ได้หรอ? ถึงยังจะไม่นานมากเเต่พวกเราก็เป็นเเฟนกันนะ?”)
เธอโกรธที่ผมเข้าใจผิดเธอเป็นโชวสินะ
หรือว่าตอนที่ผมรู้ว่าเป็นเรย์นะ ผมดูฟุ้งซ่านเลยทําให้เกิดความเข้าใจผิดเเปลกๆ?
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมสามารถบอกได้ด้วยท่าทีลําบากใจว่าอารมณ์ของเรย์นะกําลังโกรธเคือง
เเต่ดูจากนํ้าเสียงเเล้ว เธอคงกําลังล้อผมเล่น
(“ปกติฉันเคยเเต่ได้รับข้อความผ่านทางไลน์จากเรย์นะในเวลาที่พวกเรามีธุระกัน ฉันเลยดีใจที่เธอโทรหาฉันเเม้ว่าจะไม่มีธุระน่ะ”)
(“งั้นเหรอ ฉันนึกว่าชินเซย์จะนอยซะอีก”)
นํ้าเสียงของเรย์นะดูสนุกสนานร่าเริง
(“เเล้วสรุปมีอะไรหรอ?”)
(“นายลืมสมุกพกนักเรียนไว้ที่บ้านฉันน่ะ”)
(“จริงหรอ ฉันไม่รู้ตัวเลย”)
ผมพกติดตัวตอนไปเดทเผื่อว่าถูกพนักงานตรวจสอบอายุสําหรับการดูโรงหนัง
ผมจําไม่ได้ว่าผมเอาออกมาจากกระเป๋าตอนไปหาเรย์นะที่บ้าน ผมทําหล่นไปตอนไหนเนี่ย?
(“ถ้าไม่มาเอาที่บ้านฉัน ระวังฉันเอาไปเองน้า”)
(“ช่วยเอามาให้ฉันพรุ่งนี้ตอนอยู่โรงเรียนที”)
(“…ถ้านายไม่มาที่บ้านฉันวันนี้ ฉันไม่เอาไปให้หรอกนะ”)
(“เธอไม่มีความจําเป็นต้องใช้สมุดพกของฉัน เพราะฉะนั้นเอามาคืนพรุ่งนี้ที่โรงเรียน──”)
(“มาหาฉันที่บ้านซะ”)
(“คร้าบ เข้าใจเเล้วคร้าบ”)
เห็นได้ชัดว่า สมุดพกนักเรียนถูกจิ๊กไปเพื่อเป็นข้ออ้างให้เรย์นะโทรหาผมเพื่อไปเอาที่บ้านของเธอ
หลังจากที่เราคุยกันได้สองสามคํา ผมก็มุ่งหน้าไปยังเเมนชันที่เรย์นะอาศัยอยู่
ผมยังสงสัยว่าโซระ กําลังคุยอะไรกันในร้านอาหารนั้น เเต่ผมไม่คิดว่าผมจะได้รายละเอียดเพิ่มเติมจากพวกเขาเมื่อเข้าไปในร้าน
เพราะฉะนั้น มันไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่เเล้ว
ตอนนี้เจ้าหญิงที่เห็นเเก่ตัวกําลังรอการปรากฏตัวของผม ดังนั้นผมค่อยๆออกจากที่นี่ไปอย่างเงียบๆ
◇
การมาหาเรย์นะที่ห้องทําให้ผมตัวเเข็งทื่ออีกครั้ง เมื่อเข้าไปในห้อง
ตรงหน้าผมคือเรย์นะสวมผ้ากันเปื้อนสีขาว
เเต่นั่นไม่ได้ทําให้ผมตัวเเข็งทื่อด้วยความประหลาดใจมากเท่าไหร่
[“กลับมาเเล้วหรอ ตัวเอง”]
[“อะ เอ่อ…กลับมาเเล้ว?”]
[“กินข้าวเย็นกันไหม? อาบนํ้าไหม? หรือว่า…ตัดสินใจได้เเล้วว่าจะทํากับฉัน?”]
เรย์นะ ใช้คําพูดราวกับตัวเองเป็นภรรยาพร้อมกระพือผ้ากันเปื้อนของตน
ขาเรียวยาวสีขาวบริสุทธิ์ที่ดูนุ่มนวลโผล่ออกมาจากข้างล่าง
[“เอ๋? คิดนานขนาดนั้นเลย? ทางเลือกมันมีเเค่ทางเดียวเท่านั้นเเหละน่า”]
[“คือว่านะ? ก่อนที่ฉันจะตอบคําถามเธอ…ทําไมเธอถึงไม่ใส่เสื้อผ้าเนี่ย?”]
ผมถามอย่างตรงไปตรงมากับเรย์นะที่ไม่ได้สวมใส่อะไรเลยภายใต้ผ้ากันเปื้อนผืนนั้น
คนต้นเรื่องมองมาที่ผมด้วยความประหลาดใจ ซึ่งดูเหมือนจะพอใจกับความสําเร็จของการหยอกล้อของตัวเอง
[“เพราะว่าภรรยาควรทักทายสามีที่เเต่งตัวเเบบนี้ยังไงล่ะ”]
[“งะ งั้นเหรอ…”]
นั้นเป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้มาจากนิตยสารสําหรับหญิงสาวเหมือนการเดทเมื่อวานนี้ใช่ไหมเนี่ย?
มันก็ไม่ใช่ความคิดที่ผิดไปซะทีเดียวเเต่ว่า…มันเป็นความรู้ที่ดูเเปลกๆไปหน่อย
มันอาจจะดีกว่าถ้าผมเลือกสรรนิตยสารให้เธออ่านไว้ล่วงหน้า
เเม้ว่ามันจะเป็นการต้อนรับที่น่ายินดีเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง เเต่มันอาจเป็นอันตรายได้หากทําพฤติกรรมเเบบนี้นอกบ้าน
อย่างการจูบกันในที่สาธารณะ
[“ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์เลยนะ? ไม่สนใจในตัวฉันเเล้วหรอ…?”]
[“ไม่ใช่เเบบนั้นหรอก ไม่ใช่เลย…”]
ภาพที่ผมเห็นก่อนหน้านี้มันยังคงฝังอยู่ในหัวของผม
ด้วยเหตุผลบางอย่าง โซระที่ผมไว้ใจได้ไปเจอกับผู้ชายคนนั้น
ผมถูกคนใกล้ตัวหักหลังสองครั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไม่เพียงเเค่นั้น เรียอาจจะถูกหลงกลเข้าด้วยเหมือนกัน
ถ้ามันไม่มีสถานการณ์อะไรเเบบนี้เกิดขึ้น ผมคงจะพุ่งตัวเข้าไปจุ่มกับหน้าอกเรย์นะเเล้ว เเต่ว่าผมไม่มีอารมณ์ที่จะทําเช่นนั้นเเล้ว
เเต่สําหรับเรย์นะที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ควรมาพัวพันกับความรู้สึกของผมในสถานการณ์เเบบนี้
ความแตกต่างของอุณหภูมินี้สามารถสร้างความร้าวฉานกับความสัมพันธ์ได้
ผมไม่เข้าใจอุณหภูมิของเรีย เเละผมคิดว่าผมเข้าใจซึ่งนําไปสู่การเลิกรากันในที่สุด
เเต่ว่า ผมไม่อยากมีความคิดที่เย็นชาอีกต่อไปเเล้ว
ความอบอุ่นที่เรย์นะมอบให้กับผมในตอนนี้ ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดไป
[“จะว่ายังไงดี…ชุดนั้นมันดูตระตุกจิตดีเมื่อมองไปรอบๆ เเต่มันก็รู้สึกประหลาดใจด้วย…”]
ขณะที่ผมกําลังคิดว่าจะเรียบเรียงคําพูดอย่างไรดี เรย์นะก็หัวเราะอย่างขบขัน
[“ฟุฟุ ถึงนายจะไม่ทําสีหน้าลําบากใจ เเต่ทุกอย่างที่ฉันพูดไปมันก็เเค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้นเเหละ”]
[“…อะไรเนี่ย อย่ามาเเกล้งฉันสิ”]
เรื่องล้อเล่นของเรย์นะยากที่จะเข้าใจ เพราะปกติเธอเป็นคนนิสัยขี้เล่น
[“เพราะเสียงของชินเซย์ตอนรับสายค่อยเบาลง…ฉันเลยอยากให้กําลังใจน่ะ”]
จากนั้น เรย์นะก็หันมามองผมราวกับว่าเธอมองเห็นทะลุปรุโปร่ง
เรื่องล้อเล่นได้จบลงไปเเล้ว ผมสามารถเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในสายตาของเธอซึ่งกําลังสั่นด้วยความวิตกกังวล
[“…ความเเตกเเล้วเหรอ”]
ผมพยายามพูดโดยไม่เเสดงอารมณ์ออกออกทางสีหน้าเพื่อไม่ให้เรย์นะเป็นห่วงผม
[“มีอะไรเกิดขึ้นสินะ? ถ้าเป็นไปได้…ไม่สิ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจล่ะก็ ช่วยเล่าให้ฉันฟังได้ไหม?”]
เรย์นะวางมือบนไหล่ของผมเเละมองหน้าผมที่กําลังเศร้าหมอง
[“…ขอโทษนะ เเต่ฉันพึ่งพาเธอมาเยอะเเล้ว…”]
หลังจากที่ผมคุยกับเรียเมื่อวันก่อน ผมรู้สึกหมดเเรงเมื่อเทียบกับเรย์นะซึ่งดูเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเต็มที่
ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเรย์นะ เเต่เธอกลับจมปลักอยู่กับปัญหาระหว่างผมกับเรีย
[“เราเป็นเเฟนกันนะ พึ่งพาฉันบางสิ”]
เรย์นะ พูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ
[“อ๊ะ! โกหกใช่ไหม!?”]
สายผ้ากันเปื้อนถูกปลดโดยการหกตัวราวกับว่าเธอมัดมันอย่างหลวมๆ
เรย์นะตะเกียกตะกายคว้าผ้ากันเปื้อนสีขาวของเธอที่กำลังจะหลุดออกไว้ในอ้อมแขนของเธอ
[“…”]
[“…”]
ผมมองไปที่เรย์นะซึ่งกําลังก้มหน้าอย่างเขินอายเเละเเก้มย้อมเป็นสีเเดงระเรื่อ
[“…ก่อนที่จะคุยกัน ไปใส่ชุดก่อนไหม?”]
[“ฉันก็ว่างั้น…”]
ผมได้สมุดพกคืนจากเธอแล้ว และในขณะที่เรย์นะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ข้างๆผม ผมส่งไลน์ไปหาโชวซึ่งดูเหมือนกําลังกังวล
เรื่องมันอาจจะยุ่งเข้าไปอีกถ้าผมบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องของเรีย ผมจึงตัดสินใจบอกกับเขาไปว่า ‘ผู้ชายคนนั้นดูเป็นคนเหลาะเเหละ ‘ ภายใต้หัวข้อ ‘ความรู้สึกหลังจากเห็นผู้ชายที่อยู่กับโซระ’
จากนั้นไม่นาน โชวก็ตอบกลับมาว่า ‘ทําให้พวกเขาเเตกหักกันให้ได้’
เเววตาอันโกรธเเค้นของโชวเข้ามาในหัวของผม
[“เเต่ฉันมองดูเเล้วดูเหมือนว่าทั้งคู่ไม่ได้คบกันเลยนะ…”]
[“เเล้วใครกับใครล่ะ ที่บอกว่าไม่ได้คบกัน…?”]
เรย์นะที่เเต่งตัวเสร็จเเล้วนั่งลงข้างๆเเละถามกับผม
[“ใครกับใครน่ะเหรอ…ก่อนอื่นเรื่องนี้เริ่มมาจากคําพูดจากปากของโชว──”]
ผมเล่าทุกอย่างให้เรย์นะฟัง ตั้งเเต่เรื่องของโชวระหว่างทางไปโรงเรียนเมื่อเช้านี้ จนไปถึงสิ่งที่ผมเห็นเเละได้ยินเข้าที่หน้าร้านอาหารสําหรับครอบครัว
[“เข้าใจล่ะ คุณทาคานาชิ โซระเป็นคนเเนะนําผู้ชายคนนั้นให้รู้จักกับคุณชิอินะสินะ”]
[“น่าจะ นะ”]
มันเป็นเพียงเเง่ของบทสนทนามันเอนไปทางนั้นเท่านั้น โดยไม่มีคําพูดใดๆจากปากของโซระเป็นตัวยืนยัน
เเม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เเต่สุดท้ายเเล้ว ความจริงที่เรียนอกใจผมนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนเเปลง
เเต่ว่า มันมีประเด็นน่าสงสัยเกิดขึ้น
[“สรุปเเล้ว ชินเซย์กําลังกังวลอยู่สองเรื่อง…อย่างเเรกคือคุณทาคานาชิไม่ได้บอกกับชินเซย์ว่าตัวเองรู้จักผู้ชายคนนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง เเละคุณชิอินะเเกล้งทําเป็นมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้นในฐานะเพื่อนสมัยเด็กตั้งเเต่ประถมสินะ”]
[“ใช่…”]
สองปัญหาที่เธอกล่าวมากําลังคิดวนไปมาอยู่ในหัวของผม
โซระเเสร้งทําเป็นไม่รู้จักกับผู้ชายคนนั้น ตอนที่พวกเราเห็นฉากนอกใจในตอนนั้น
เเละ เรียบอกว่าไอหมอนั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง เเต่ถ้าเธอได้รับการเเนะนําให้รู้จักกับไอหมอนั้นโดยมีโซระอยู่เบื้องหลัง เส้นเเบ่งที่ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กก็จะบางลง
[“…เเล้ว ชินเซย์อยากจะทําอะไรล่ะ?”]
[“ทําอะไรเนี่ย…?”]
ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อเเละได้เเต่เอียงศีรษะด้วยความสงสัย
[“อย่างไปถามความจริงกับ คุณชิอินะหรือไม่ก็คุณทาคานาชิอะไรเเบบเนี่ย? หรือเบื้องหลังของเหตุการณ์ในวันนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกันเเน่?”]
ผมตระหนักได้ว่าผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนั้นมาก่อนจนเรย์นะมาชี้ทางให้ผม
สิ่งที่ผมทําได้คือการเข้าไปคุยกับพวกเธอเเละตามหาความจริง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผมจะรู้อีกด้านหนึ่งของเรื่องนี้ มันก็ไม่ได้ทําให้ผมได้เปรียบ
เเละในทางกลับกัน อาจจะไม่ใช่เเค่เรียเเต่รวมไปถึงโซระด้วยที่ทิ้งผมไป
[“เเล้วถึงจะทําเเบบนั้นไป…เเล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร? มันมีเเต่ทําให้ชินเซย์เจ็บไปมากกว่านี้นะ?”]
ถ้าเราล้มเลิกเเผนการนี้ในตอนนี้ เรื่องราวก็จะไม่ถูกไขกระจ่าง
สาเหตุเดียวที่โซระไม่พูดอะไรกับผมเกี่ยวกับไอหมอนั้น เพราะเธอไม่รู้ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างๆเรื่องในตอนนั้นคือคนรู้จัก
เเต่มันก็ยังมีเศษเสี้ยวความจริงอยู่ ที่เรียบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง เเละผู้ชายคนนั้นที่โซระแนะนำก็บังเอิญเป็นเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเรียอยู่จริงๆ
อาจจะเป็นเเบบนั้น
ถ้าเราคิดอย่างมีเหตุมีผล เราก็จะสามารถป้องกันไม่ให้ตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้ได้
[“การไขให้เรื่องมันกระจ่างไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสมอไปนะ มันอาจจะดีกว่าก็ได้ถ้าไม่รู้มัน──”]
[“ฉัน…อยากรู้ความจริง”]
จู่ๆ คําพูดนั้นก็ได้หลุดออกมาจากปากของผมโดยไม่ได้ตั้งใจ
ผมคงจะคิดว่าความจริงของมันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น
สําหรับคนอื่นอาจมองว่ามันไม่ใช่เรื่องสําคัญ
แต่สำหรับผมในตอนนี้ มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า
[“เพราะงั้น…ฉันจะไปคุยกับเรียเลยตอนนี้ ฉันอยากพิสูจน์สิ่งที่ได้ยินจากโซระ และฉันยังเป็นห่วงเรียจะกลับมาโรงเรียนเหมือนเดิมตั้งเเต่อาทิตย์หน้าไหม เพราะเธอขาดเรียนมาหลายวันแล้ว”]
เบาะเเสเดียวที่ผมมีคือ ข้อมูลที่ผมได้รู้จากโซระ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม
ผมต้องไปฟังเรียเพื่อยืนยันความจริงของคําพูดพวกนั้น
[“ถ้าชินเซย์ไปหา มันจะไม่ได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามเเทนเหรอ? คุณชิอินะจะทําตัวเองทั้งนั้นเลยเก็บตัวอยู่ที่บ้านเพราะช็อคที่ถูกชินเซย์ทิ้ง”]
[“อาจจะเป็นเเบบนั้นก็ได้ เเต่ว่าถ้าเรียตัดสินใจไม่บอกความจริงกับฉัน เรื่องราวมันก็คงอยู่เเบบนั้น ไม่คืบหน้าไปไหน”]
สิ่งที่ผมและเรียต้องการคือการสนทนาที่ไม่ปิดบังซึ่งกันและกันและเป็นที่ยอมรับของเราทั้งคู่
[“ฉันไม่ได้ไปที่นั้นเพื่อคุยกับเรียเพื่อที่จะให้เธอมีกําลังใจไปโรงเรียน ฉันเเค่พยายามที่จะเเก้ปัญหากับเธอเพื่อที่จะไม่มีอะไรต้องคิดมากทีหลังเเค่นั้นเเหละ”]
หลังจากนั้นเรียจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเดินไปทิศทางไหนต่อ
ขณะที่ผมพลางคิดอยู่นั้น เรย์นะก็เข้ามาคว้าเเขนผม
[“เดี๋ยวสิ คิดว่าฉันจะปล่อยให้นายไปบ้านของเเฟนเก่างั้นเหรอ?”]
เรย์นะราวกับประกาศตัวเองว่า ‘จะไปด้วย’
[“เธอไม่เชื่อใจฉันหรอ?”]
[“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อใจนาย เเต่ถ้าคุณชิอินะทําอะไรกับชินเซย์ขึ้นมาล่ะ──”]
[“มันไม่เกิดหรอกเรื่องเเบบนั้นน่ะ ไม่ใช่ว่าเรย์นะคิดว่า…ฉันจะเเก้ไขเรื่องนี้ด้วยตัวเองไม่ได้หรอ? เพราะฉันเป็นผู้ชายที่…ใช้ไม่ได้ยังไงล่ะ”]
ผมรู้ว่าผมไม่เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ จนอดคิดไม่ได้ที่เรย์นะจะรู้สึกกับผมเเบบนั้น
ผมมั่นใจว่าผมไม่ใช่ผู้ชายที่ใช่สําหรับเรย์นะ
ผมรู้สึกเคว้งคว้างเมื่อรู้ว่าเรียนอกใจ เพราะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหายไป
[“ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูไม่น่าเชื่อก็เถอะ เเต่เดิมทีเเล้วนี่เป็นปัญหาระหว่างฉันกับเรีย นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันจะไปรบกวนเรย์นะไม่ได้”]
[“ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่า ชินเซย์จะเป็นคนใช้ไม่ได้น่ะ อย่างเดทเมื่อวาน ฉันควรที่จะเป็นคนนําเเต่กลับถูกชินเซย์ช่วยเอาไว้ ฉันนี่ใช้ไม่ได้เลยเนอะ”]
เรย์นะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เธอรู้สึกเฟลบ้างไหมกับการทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคยเนี่ย
[“ฉันอ่ะนะ…เเค่อิจฉาคุณชิอินะเท่านั้นเเหละ”]
[“อิจฉาเรีย?”]
[“ก็…คุณชิอินะเป็นผู้หญิงคนเเรกของชินเซย์ ไม่ว่าฉันจะพยายามมากสักเเค่ไหนต่อจากนี้ไป ความจริงที่ฉันเป็น อันดับสอง มันก็ไม่มีวันเปลี่ยนเเปลง”]
เรย์นะพึมพําอย่างเศร้าสร้อยเเละลดสายตาลง
[“สิ่งที่ฉันทํากับชินเซย์อาจเป็นครั้งเเรกสําหรับฉัน เเต่มันคือครั้งที่สองสําหรับชินเซย์ ออกเดทครั้งเเรก จูบครั้งเเรก เเม้กระทั่งเเฟนคนเเรก…ทั้งหมดมันคือของคุณชิอินะ มันไม่ใช่ของฉัน”]
[“…ไม่ใช่เเบบนั้นหรอก ฉันเชื่อว่ามันจะมีอีกหลายอย่างที่ฉันจะได้ทําไปพร้อมกับเธอเป็นครั้งเเรกเเน่นอน”]
[“ถึงจะพูดเเบบนั้นก็เถอะ…ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันก็ยังเเอบอิจฉานิดๆ ที่ชินเซย์ยังเป็นห่วงเธอคนนั้น…เเม้ว่าจะเลิกกันไปเเล้วก็ตาม”]
การที่เรย์นะมากับผมด้วยก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้สึกสบายใจขึ้น
ยิ่งผมเป็นห่วงเรียมากขึ้นเท่าไหร่ เรย์นะก็ยิ่งอิจฉาเเละเปรียบเทียบตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
มันจะยิ่งทําให้เรย์นะรู้สึกโดดเดี่ยว
[“ถ้างั้นหลังจากนี้…ฉันจะไม่คิดถึงเเค่เรียอีกเเล้ว──”]
ในขณะที่ผมกําลังกล่าวเช่นนั้น เรย์นะเอาผมเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ
เธอลูบหัวเเละถอนหายใจใส่ผม ผมรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับเธอ
[“…เรย์นะ?”]
[“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเชื่อว่ามันจะเป็นอนาคตของพวกเราสองคน ที่จะเเก้ไขความสัมพันธ์ที่ขุ่นเคืองระหว่างนายกับคุณชิอินะ”]
[“เเต่ว่า…”]
[“ฉันรู้ดีว่าข้อเสียของชินเซย์คือการทิ้งฝ่ายตรงข้ามไม่ลง เพราะฉะนั้น…ไปคุยกับเธอจนกว่าที่จะชินเซย์จะพอใจเลย”]
เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ เรย์นะได้ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
ผมยังคงทําตัวน่าวังเวช เเต่เธอก็ยังเชื่อมั่นในตัวผม
เธอนึกถึงผมก่อนใครๆเเละผลักดันผมไปข้างหน้า
[“…ขอบคุณนะที่เชื่อในตัวฉัน”]
[“ฟุฟุ เเน่นอนอยู่เเล้ว เพราะพวกเราเป็นเเฟนกันยังไงล่ะ”]
เรย์นะพูดอย่างภูมิใจราวกับว่าเธอกำลังดื่มด่ำไปกับความสุขของตน
————
เเปลผิด/เขียนผิดยังไงขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ไว้เจอกันใหม่บทต่อไปครับ
ติดตามผู้เเปลได้ที่ FB : Mxgic