หลอมศาสตราสะท้านยุทธจักร - ตอนที่ 49 ของประดับ
หลอมศาสตราสะท้านยุทธจักร
ตอนที่ 49 ของประดับ
เครั้ง!!
กระบี่ของหนิงหลงกระแทกเข้ากับถุงมือสีขาวของซิ่วอิงเข้าอย่างจัง แต่กระบี่ในมือหนิงหลงกลับเฉือนทําลายเนื้อผ้าของถุงมือนางไม่ได้แม้แต่น้อยไม่ใช่เท่านั้นซิ่วอิงยังกําปลายกระบี่ของหนิงหลงเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก
“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าทําไมเจ้าต้องพยายามหนีด้วย” ซิ่วอิงถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มขยับมืออีกข้างด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวร่างของหนิงหลงก็ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศก่อนจะร่วงลงมากระแทกพื้นเสียงดังสนั่นพร้อมโดนซิ่วอิงกดร่างเอาไว้จากด้า นหลังไม่ยอมให้เขาลุกขึ้นอีกต่างหาก
“ไม่เห็นจะจับยากอย่างที่บอกเลยระดับนี้ทําไมต้องให้ข้ามาเฝ้าด้วยนะ”ซิ่วอิงถอนหายใจออกมาก่อนจะดึงตัวหนิงหลงขึ้นมาแต่สิ่งที่นางพูดก็เป็นจริงทั้งหมดนางเป็นถึงยอดฝีมือระดับราชาสวรรค์แถมยังสวมใส่ถุงมือแพรสวรรค์ถุงมือระดับราชันขั้นที่ 1 อยู่ ตลอดเวลาอีกต่างหากเห็นได้ชัดเลยว่านางไม่ใช่ผู้คุมตามปกติบางที่อาจจะเป็นหนึ่งในคนสําคัญของพรรคยอดศาสตราเลยก็เป็นได้
“…” แต่ถึงซิ่วอิงจะบ่นแบบนั้น หนิงหลงกลับยังตกใจไม่หายหนิงหลงมีความสามารถลอกเลียนแบบวิชาต่อสู้ก็จริง แต่ไม่ว่าอย่างไรหนึ่งหลงก็ต้องมองเห็นมันเสียก่อนแต่วิชาของซิ่วอิงรวดเร็วมากแม้แต่หนิงหลงก็ยังมองไม่ทันเหมือนกับซีเฉิงเลยเจ้านั้นเอ งก็ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวจับตัวหนิงหลงเช่นกันทําให้หนิงหลงไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่าวิชาของพวกเขาคืออะไรและไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ด้วย
บึง!!
เหมือนเช่นเคย หนิงหลงโดนจับเข้ามาขังในห้องเพื่อสํานึกผิดเมื่อหมดเวลาหนิงหลงก็สามารถเดินเข้าออกได้ตามปกติเช่นเดิมเพียงแต่ในช่วงเวลาสํานึกผิดครั้งนี้หนิงหลงไม่ได้จดจํากระบวนท่าของซิ่วอิงมาก็เลยไม่ได้ฝึกฝนกระบวนท่าตามปกติ แต่ถึงอย่างนั้นระหว่างช่วงที่ออกไปไหนไม่ได้หนิงหลงก็ยังสามารถฝึกฝนพลัง วิญญาณและทบทวนความคิดในหัวได้อยู่ และสิ่งหนึ่งที่หนิงหลงกําลังสงสัยอยู่ตอนนี้ก็คือ…
เหตุใดตนเองถึงสร้างอาวุธระดับตํานานไม่ได้อีกแม้เรื่องความแค้นของตนจะสําคัญ แต่ชีวิตของหนิงหลงสร้างอาวุธมาทั้งชีวิตเรื่องนี้ย่อมสําคัญกว่าสิ่งใด ความรู้สึกตอนสร้างอาวุธระดับตํานานชิ้น แรกนั้นดูเลือนรางอย่างมากเพราะตอนนั้นในหัวมีแต่เรื่องล้างแค้น เต็มไปหมด มันน่าเจ็บใจมากที่ไม่รู้ตัวเลยว่าสร้างอาวุธระดับตํานานออกมาได้อย่างไร
แต่ไม่ว่าจะนั่งคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ตอนนี้หนิงหลงเริ่มอยากจะออกไปสร้างอาวุธอีกสักชิ้นซะแล้ว หรือว่าจะลดการโจมตีผู้คุมลงแล้วตั้งสมาธิกับการสร้างอาวุธดี….
ตุบ….
หนิงหลงนั่งลงบนเตียงก่อนจะเหม่อมองไปรอบๆห้อง ความรู้สึกลังเลในจิตใจตัวเองนี่มันอย่างไรกัน อยากแก้แค้นก็ทําไม่ได้อยากสร้างอาวุธก็ทําไม่ได้ แม้จะพยายามในแบบของตัวเองแต่เพราะไม่สามารถทําได้สักอย่างก็เลยอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเช่นนี้ช่างทรมานจริงๆหรือนี่จะเป็นความรู้สึกที่อาจารย์รู้สึกมาตลอดท่านอยากจะสร้างอาวุธอีกครั้งเช่นกันแต่ก็ทําไม่ได้เหมือนกับหนิงหลงตอนนี้เลย
“……………………”ระหว่างนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นดวงตาของหนิงหลงก็มองไปรอบๆจนสะดุดเข้ากับแผ่นเหล็กแผ่นหนึ่งที่แขวนประดับกําแพงเอาไว้
แผ่นเหล็ก? มีคนเอาแผ่นเหล็กเปล่าๆมาประดับกําแพงกันด้วยงั้นเหรอ? ปกติต้องแขวนภาพเขียนหรือไม่ก็สัญลักษณ์อะไรสักอย่างไม่ใช่หรือแต่นี่มันแผ่นเหล็กเรียบๆเลยไม่ใช่หรือ….
“ไม่ใช่” หนิงหลงขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้าไปมองแผ่นเหล็กตรงหน้าด้วยท่าที่ประหลาดใจ ได้ดูครู่หนึ่งก็เห็นแล้วว่ามันเป็นแค่แผ่นโลหะธรรมดา ทําจากแร่โลหะทั่วๆไป แต่เมื่อมองดีๆกลับพบว่าแผ่นเหล็กพวกนี้ไม่บริสุทธิ์นัก ไม่ใช่เหล็กกล้าที่กําจัดแร่ ชนิดอื่นออกไปจนหมดแล้วทําไมถึงแขวนแผ่นเหล็กชํารุดเช่นนี้เอาไว้ในห้องที่ควรเป็นของช่างตีเหล็กของพรรคยอดศาสตรากันอย่างน้อยก็ควรจะแขวนแผ่นเหล็กกล้าที่ทําได้อย่างยอดเยี่ยมเอาไว้ก็ยัง
“นี่มัน” หนิงหลงมองแผ่นเหล็กอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าเนื้อโลหะที่ไม่บริสุทธิ์กับเนื้อโลหะบริสุทธิ์นั้นมีการผสมกันอย่างผิดปกติหากเป็นเพราะฝีมือไม่ดีในแร่โลหะก็จะมีแร่อื่นๆผสมปนเปกันมั่วๆ แต่แผ่นโลหะนี้ตรงส่วนที่ปนเปื้อนกลับเรียงกันอยู่ราวกับเป็นตัวอักษร หากคนธรรมดามองคงมองไม่ออกแน่ๆ แต่ในสายตาของหนิงหลงแล้วความต่างนี้เห็นชัดราวกับรอยหมึกบนกระดาษขาวเลย
“ที่ห้องตํารา ด้านหลังรูปปั้น” หนิงหลงอ่านข้อความบนแผ่นโลหะก่อนจะกะพริบตาถี่ๆครู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้มองผิดเจ้านี่ไม่ใช่เครื่องประดับแต่เป็นข้อความสําหรับช่างตีเหล็กต่างหาก
ปิง!!!
“นี่เจ้า ข้ายังไม่ได้บอกให้ออกมานะ”ซิ่วอิงที่เพิ่งจะเปิดประตูห้องให้หนิงหลงหลังจากหมดเวลาสํานึกผิดสะดุ้งโหยงทันทีเพราะหนิงหลงแทบจะออกมาทันทีที่นางปลดล็อกเลย เขาเดินพรวด ออกจากห้องไม่สนใจที่นางทักด้วยซ้ําแต่เพราะมันหมดเวลาสํานึกผิดแล้วนางก็เลยไม่ได้รั้งอะไรหนิงหลงเอาไว้
แน่นอนว่าสถานที่แรกที่หนิงหลงเดินเข้าไปหลังจากออกจากห้องได้ก็คือห้องตํารานั่นเอง แต่ทว่าระหว่างทางหนิงหลงแอบมองเข้าไปในห้องของช่างตีเหล็กคนอื่นๆที่เปิดทิ้งเอาไว้เป็นระยะในห้องของพวกเขาก็มีแผ่นโลหะประดับเอาไว้เช่นกัน ไม่ใช่แค่นั้นแม้แต่ในห้องโถงรวมที่ช่างตีเหล็กและคนของพรรคยอดศาสตราใช้ พักผ่อนก็ยังมีแผ่นเหล็กเหมือนในห้องของหนิงหลงประดับเอาไว้เช่นกัน พวกมันทุกแผ่นต่างเขียนเอาไว้เหมือนกันหมดนั่นคือ ที่ห้อง ตํารา ด้านหลังรูปปั้นราวกับผู้นําแผ่นโลหะพวกนี้มาวางต้องการจะชี้ทางให้กับเหล่าช่างตีเหล็กของพรรคไม่มีผิด
“เจ้าเด็กนี่นิสัยแปลกจริงๆ”ซิ่วอิงมองหนิงหลงที่เดินเข้าห้องตําราไปด้วยท่าที่เหนื่อยใจ พอออกจากการคุมขังก็เข้าศึกษาตําราต่อพอศึกษาเสร็จก็สร้างอาวุธอีก หลังจากนั้นก็โจมตีผู้คุมจนโดนขังอีกรอบวนไปเช่นนี้เหมือนที่ผู้คุมด้านล่างบอกเลย โชคดีที่ ซิ่วอิงเป็นคนใจเย็นหากเป็นผู้คุมปกติละก็คงซ้อมหนิงหลงปางตาย จะได้ไม่กล้าหนีอีกแน่ๆ
“ ”ฝ่ายหนิงหลงเดินเข้ามาในห้องตําราไม่รอช้าเดินไปตรงรูปปั้นทันทีรูปปั้นพวกนี้เป็นรูปปั้นของ 3 ผู้ก่อตั้งโดยมีประมุขในอดีตยืนอยู่ตรงกลางและอาจารย์ของหนิงหลงยืนอยู่ทางขวาและมีซีเฉิงยืนอยู่ทางซ้าย เพียงแต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรอีกแล้ว เพ ราะเป้าหมายของหนิงหลงคือด้านหลังรูปปั้นต่างหาก
“… ”ที่ด้านหลังของรูปปั้นนั้นไม่มีอะไรผิดปกติเพียงแต่ที่ฐานของรูปปั้นนั้นมีโลหะผสมติดเอาไว้เพียงด้านเดียวเท่านั้น ฐานของรูปปั้นเป็นเหล็กกล้าสูงเมตรครึ่ง ทั้งสามด้านข้างหน้าเป็นแผ่นเหล็กกล้าที่สมบูรณ์แบบไร้ตําหนิ แต่มีเพียงแผ่นด้านหลังเท่านั้นที่มี การปนเปื้อนเหมือนแผ่นโลหะในห้องไม่มีผิดทั้งตัวรูปปั้นทั้งตัวฐานทําออกมาอย่างละเอียดอ่อนไร้ตําหนิกลับมีเพียงมุมด้านหลังที่ปกติแทบไม่มีใครเดินเข้ามาดูเท่านั้นที่ผิดปกติหากเป็นคนทั่วไปคงมองแค่ว่าเป็นการซ่อนจุดผิดพลาดเท่านั้น แต่หนิงหลงกลับจ้องมองมันอย่างตั้งใจแทน
“ถึงช่างตีเหล็กผู้มีดวงตาที่ยอดเยี่ยม ข้าหวังเหลือเกินว่าหลังจากข้าหมดลมหายใจไปจะมีผู้สืบทอดวิชาของข้าเข้ามาในสํานัก” หนิงหลงอ่านข้อความบนแผ่นโลหะช้าๆ ดูเหมือนท่านประมุขคนก่อนจะทิ้งข้อความเหล่านี้เอาไว้ให้ช่างตีเหล็กของพรรคยอด ศาสตราเพราะการจะหาคนที่มีสายตาเฉียบแหลมพอจะแยกแยะความต่างเพียงเล็กน้อยบนแผ่นโลหะนั้นยากมาก แม้แต่หมิงซานช่างตีเหล็กในตํานานก็ไม่สามารถทําได้เหมือนกับท่านอดีตประมุขทําให้การสืบทอดวิชาอันแสนสําคัญนี้ดูไร้หนทางเสียเหลือเกิน
เพราะแบบนั้นอดีตประมุขก็เลยสลักเคล็ดวิชาเอาไว้บนแผ่นโลหะผสมเพื่อถ่ายทอดให้กับช่างตีเหล็กรุ่นหลังที่สามารถแยกแยะความต่างของโลหะพวกนี้ด้วยสายตาได้ เพราะการทําแบบนั้นเป็นความสามารถที่จําเป็นสําหรับฝึกฝนเคล็ดสัมผัสจิตของท่านอดีตประมุขเลยก็ว่าได้
“เคล็ดสัมผัสจิต…” หนิงหลงอ่านชื่อวิชาด้วยใบหน้างุนงงมันคืออะไรกันแล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับวิชาตีเหล็ก? แม้แต่อาจารย์ก็ยังไม่เคยพูดถึงวิชานี้มาก่อนเลย
“นี่เจ้ามาทําอะไรตรงนี้ไม่ทราบ” หนิงหลงท่องจําเนื้อหาบนแผ่นเหล็กยังไม่ทันเสร็จ ซิ่วอิงที่ตามเข้ามาในห้องตําราก็เข้ามาหาหนิงหลงด้วยท่าที่งุนงง หนิงหลงเดินเข้ามาในห้องตําราไม่อ่านตําราแต่กลับมายืนหลบด้านหลังรูปปั้น นี่เจ้าหนูนี่ต้องการจะทําอะไรกันแน่นางงงไปหมดแล้ว
“ท่านรู้จักเคล็ดวิชาที่ชื่อว่า เคล็ดสัมผัสจิตหรือไม่ขอรับ” หนิงหลงถามพลางมองไปทางซิ่วอิงด้วยท่าทีสงสัย วิชานี้เป็นของอดีตประมุข บางที่คนในพรรคอาจจะพอรู้จักบ้าง
“นี่เจ้า…ไปได้ยินชื่อนั่นมาจากไหน” ทันทีที่ได้ยินซิ่วอิงก็เข้ามาปิดปากของหนิงหลงทันที แถมยังมองไปรอบๆเหมือนกําลังตรวจสอบว่ามีใครได้ยินหรือไม่อีกต่างหาก แต่โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องตําราเลยแม้แต่คนเดียว
“ข้าได้ยินใครบางคนพูดถึงขอรับ” หนิงหลงตอบพลางยิ้มเงื่อนๆออกมา ไม่คิดว่าชื่อเคล็ดวิชาแค่นี้จะทําให้นางแตกตื่นใจได้หรือว่ามันเป็นวิชาสําคัญมากเลยงั้นหรือ
“ใครกันที่กล้าพูดชื่อวิชานั้นให้คนภายนอกได้ยิน บอกข้ามาเดี๋ยวนี้”ไม่ใช่แค่ตกใจ แต่ซิ่วอิงยังจริงจังอย่างมากอีกด้วย หรือว่าวิชานี้จะเป็นวิชาลับของพรรคยอดศาสตรากัน
“ขะ…ข้าได้ยินแค่ชื่อขอรับ ส่วนคนที่พูดก็…” หนิงหลงสะดุ้งโหยงเพราะเขาเพียงอ้างไปมั่วๆเท่านั้น ท่าทางนางจะโกรธมากเสียด้วยหากหนิงหลงพูดชื่อมั่วๆไปนางอาจจะไปเค้นเอาจากคนที่หนิงหลงอ้างชื่อก็ได้ แบบนั้นได้ความแตกพอดี ถ้างั้น
“ข้าได้ยินมาจากซีเฉิงขอรับ” หนิงหลงอ้างชื่อของซีเฉิงเพราะเจ้านั่นเป็นประมุขของพรรค บางทีซิ่วอิงอาจจะไม่กล้าไปคาดคั้นจากซีเฉิงก็ได้
“ท่านนางั้นเหรอ.ทําไมท่านน้าต้องพูดชื่อวิชาของท่านปูให้เจ้าฟังด้วย” ซิ่วอิงได้ยินยิ่งงุนงง เคล็ดสัมผัสจิต เป็นเคล็ดวิชาเฉพาะตัวของท่านปู่ของซิวอิง หรือก็คือประมุขคนก่อนของพรรคยอดศาสตราเป็นวิชาที่แม้แต่ซี่เฉิง หรือตัวเธอก็ไม่สามารถฝึกฝนได้สําเร็จ ก็เลยได้แต่เก็บมันเอาไว้ในกําไลมิติของท่านน้า และได้แต่หวัง ว่าในอนาคตลูกของเธอหรือหลานของเธอจะสามารถเรียนมันได้เท่านั้นแต่คนที่หลุดพูดออกไปเป็นท่าน้า นางก็คงไปเอาเรื่องอะไรไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ