หลอมศาสตราสะท้านยุทธจักร - ตอนที่ 3 รับปาก
ตอนที่ 3
รับปาก
“ทำไมล่ะขอรับ”หลินฟานมองอาวุโสหมิงซานด้วยท่าทีไม่เข้าใจ อย่างน้อยก็อยากทราบว่าทำไมอาวุโสหมิงซานถึงไม่ยอมสร้างอาวุธให้ตน
“การสร้างอาวุธระดับสูงใช้เพียงวัสดุธรรมดาไม่ได้”อาวุโสหมิงซานยืนขึ้นก่อนจะเดินไปที่ค้อนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางบ้าน แต่เรื่องวัตถุดิบหลินฟานเพิ่งบอกไปเองไม่ใช่หรือว่ายินดีจะหามาให้
“แต่วัตถุดิบเหล่านั้นล้วนแล้วมีความแข็งแกร่งระดับสูงเช่นกัน การจะเปลี่ยนรูปวัตถุดิบพวกนั้นจำเป็นต้องใช้กำลังมหาศาล และค้อนเอง…ก็ต้องสามารถทนกำลังขนาดนั้นได้ด้วย”อาวุโสหมิงซานพูดจบก็เอามือแตะไปที่ด้ามค้อนด้วยท่าทีเศร้าๆ
“แต่ว่าข้าตอนนี้ไม่อาจยกค้อนคู่กายอันนี้ขึ้นมาได้อีกแล้ว”อาวุโสหมิงซานกำด้ามค้อนด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะออกแรงยกจนกล้ามเนื้อส่วนแขนแทบจะปูดโปนออกมา ไม่ใช่แค่กำลังกายอาวุโสหมิงซานยังใช้พลังวิญญาณจนพลังกดดันแผ่ไปทั่วห้องจนรู้สึกอึดอัดไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นค้อนที่วางอยู่บนพื้นก็ไม่มีท่าทีจะขยับเลย
“…………”แม้จะพยายามจนสุดแรง แต่อาวุโสหมิงซานก็ไม่สามารถยกค้อนขึ้นมาได้ ทำให้หลินฟานพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง บางทีที่อาวุโสหมิงซานไม่สร้างอาวุธให้ตนอาจจะไม่ได้มาจากความผิดของหลินฟาน แต่อาจจะเป็นเพราะร่างกายของท่านเอง
“ข้าได้รับบาดเจ็บเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้แม้จะหายดีจนสามารถใช้กำลังได้ตามปกติแล้ว แต่ค้อนอันนี้หนักเกินไปไม่สามารถยกขึ้นมาได้อีกแล้ว”อาวุโสหมิงซานตอบพลางเปิดเสื้อของตนออกให้หลินฟานเห็นบาดแผลที่บ่าของตน ตลอดมาที่อาวุโสหมิงซานไม่เคยรับคำขอของใครเลยก็เพราะตนไม่สามารถสร้างอาวุธระดับสูงได้อีกแล้ว แม้จะยังสามารถยกค้อนธรรมดาเพื่อสร้างอาวุธระดับกลางๆได้ แต่สำหรับช่างฝีมือที่เคยสร้างผลงานชั้นเลิศมาก่อนไม่อาจทนกับผลงานพวกนั้นได้ สุดท้ายอาวุโสหมิงซานก็ไม่ได้สร้างอาวุธอีกเลย
“เป็น..เช่นนี้เองหรือขอรับ”หลินฟานเห็นบาดแผลของอาวุโสหมิงซานจะไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว แผลเป็นนั่นใหญ่มาก ตอนที่โดนทำร้ายคงเกิดบาดแผลหนักเป็นแน่ ไม่แปลกเลยที่จะยกของหนักอย่างค้อนอันนั้นไม่ขึ้น เช่นนั้นแล้วการขอร้องอาวุโสหมิงซานให้สร้างอาวุธให้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้มาแต่แรกแล้ว
“หวังว่าเจ้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าอยู่ในยุทธภพมานาน การบอกเรื้องนี้ออกไปไม่ใช่เรื่องดี”อาวุโสหมิงซานว่าพลางสวมเสื้อของตนกลับเข้าไปเหมือนเดิม การเป็นช่างตีเหล็กในตำนานนั้นอาวุโสหมิงซานก็คงผ่านอะไรมามากมาย คงมีทั้งศัตรูทั้งมิตร การบอกว่าตนไม่มีความสามารถจะสร้างอาวุธระดับสูงได้แล้วออกไปคงทำให้มิตรบางคนห่างเหิน รวมถึงศัตรูบางพวกหันมาเล่นงานด้วย หลินฟานย่อมเข้าใจความหมายข้อนี่ของอาวุโสดี
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว”หลินฟานได้ยินเช่นนั้นก็ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม แต่ภายในหัวของหลินฟานกลับว่างเปล่าไปหมด เขาควรทำเช่นไรดีช่างตีเหล็กที่สร้างอาวุธระดับราชันขึ้นมาได้มีเพียงหยิบมือ แต่คนที่สร้างอาวุธระดับราชันขั้น 10 ได้นั้นไม่มีอยู่เลย ทั่วแผ่นดินนี้มีเพียงอาวุโสหมิงซานเท่านั้นที่ทำได้ แต่ก็อย่างที่เห็นตอนนี้ท่านทำไม่ได้แล้ว เช่นนั้นผู้ที่จะสร้างอาวุธระดับราชันขั้นที่ 10 ได้นั้นก็ไม่มีอีกแล้ว นอกจากจะโชคดีเจอช่างตีเหล็กลึกลับมากความสามารถที่โลกใบนี้ไม่รู้จัก หลินฟานก็คงต้องไปชิงอาวุธระดับราชันขั้นที่ 10 มาจากที่อื่นเท่านั้น แต่การทำแบบนั้นก็ไม่ต่างจากฆ่าตัวตายนัก กระบี่เจ้ามังกรที่โดนชิงไปก็ไม่ทราบข่าวว่าอยู่ที่ไหน อาวุธชิ้นอื่นก็อยู่ในมือผู้ถือครองที่เข้าถึงยากทั้งสิ้น แต่ละชิ้นคุ้มกันหนาแน่นไม่ต่างจากในวังของราชวงศ์มังกรครามเลย หลินฟานเพียงคนเดียวไปชิงอาวุธเหล่านั้นมาผลลัพธ์มันก็เห็นกันอยู่แล้ว
“……………”หลินฟานที่มืดแปดด้านก้มหน้าลงด้วยใบหน้าซีดเผือด หากไม่นำอาวุธระดับราชันขั้นที่ 10 กลับไปตระกูลหลินของเขาจะถูกประหารทั้งตระกูล แถมความผิดฐานทำสมบัติของแผ่นดินสูญหายไปก็หนักมาก บางทีชื่อของตระกูลหลินอาจจะกลายเป็นชื่อที่น่าอายในประวัติศาสตร์ไปเลยก็ได้ แบบนั้นต่อให้หลินฟานตายไปแล้วจะไปสู้หน้ากับบรรพบุรุษบนสวรรค์ได้อย่างไร แล้วแบบนี้เขาควรทำเช่นไรดี……
กึก…..
หลินฟานเหลือบตามองไปที่ค้อนขนาดใหญ่ที่เป็นค้อนคู่ใจของอาวุโสหมิงซาน พริบตานั้นก็ราวกับมีเสียงกระซิบเข้ามาในหูของหลินฟานให้เดินไปหยิบค้อนอันนั้นเสีย
“ไม่ได้หรอก ต่อให้เจ้ายกมันได้ค้อนสดับทศทิศอันนี้ก็เป็นเพียงอาวุธระดับตำนานขั้นที่สิบ ไม่สามารถเอาไปไถ่ชีวิตคนตระกูลเจ้าได้หรอก”อาวุโสหมิงซานเห็นหลินฟานเข้ามาจับค้อนของตนก็ไม่ได้มีท่าทีแตกตื่นอะไร ค้อนสดับทศทิศสร้างขึ้นมาให้ทนทานและหนักอึ้งเพื่อใช้ในงานสร้างอาวุธโดยเฉพาะ น้ำหนักของมันไม่ใช่น้อยๆ แต่เพราะไม่ได้สร้างมาเป็นอาวุธก็เลยมีฐานะเป็นเพียงอาวุธระดับตำนานที่ต่ำกว่าระดับเซียนและราชันไปอีก
“ข้าทราบแล้วขอรับ”หลินฟานตอบพลางออกแรงยกค้อนสดับทศทิศขึ้นมาจากพื้น พอได้ลองยกดูก็พบว่าค้อนสดับทศทิศหนักกว่าที่เห็นภายนอกหลายร้อยเท่า มิน่าเล่าถึงได้ไม่มีใครยกมันขึ้น ยามนี้เหมือนหลินฟานกำลังพยายามยกภูเขาขึ้นมาทั้งลูกไม่มีผิด
กึก….
หลินฟานใช้ทั้งพลังวิญญาณและพลังกายที่มีทั้งหมดเพื่อยกค้อนสดับทศทิศขึ้นมา แต่หลินฟานไม่ใช่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณด้านกำลังอยู่แล้ว ประกอบกับก่อนหน้านี้อดข้าวอดน้ำเป็นเดือนจนแรงแทบไม่เหลือทำให้ยามนี้หลินฟานยกค้อนสดับทศทิศขึ้นมาได้เพียงคืบเดียวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นหลินฟานก็ยังยกมันขึ้นมาได้
ตึง!!
หลินฟานที่ออกแรงจนสุดกำลังปล่อยค้อนตกลงมาบนพื้นอีกครั้งจนพื้นดินสั่นสะเทือนเลยทีเดียว สมแล้วที่ได้ชื่อว่าสดับทศทิศ แค่ปล่อยตกพื้นยังเสียงดังขนาดนี้ หากสามารถยกขึ้นใช้ตีเหล็กได้เสียงของมันคงดังไปถึงสวรรค์และนรกจริงๆ
“ท่านอาวุโส ถ้าข้าได้พักฟื้นพลังรับรองว่าข้าต้องยกขึ้นแน่ๆขอรับ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยขอรับ”หลินฟานปล่อยค้อนไปก็ก้มลงคุกเข่าอีกครั้ง นี่คือความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวของหลินฟาน หากอาวุโสหมิงซานไม่สามารถสร้างอาวุธระดับราชันขั้นที่ 10 ขึ้นมาได้เพราะยกค้อนไม่ขึ้น เช่นนั้นเขาจะเป็นผู้ยกมันขึ้นมาเอง ขอเพียงอาวุโสหมิงซานยอมถ่ายทอดวิชาให้ หลินฟานจะสร้างอาวุธระดับราชันขึ้นมาเองให้ดู
“การเป็นช่างตีเหล็กไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ”อาวุโสหมิงซานเห็นเช่นนั้นก็ลังเลไปนิดหน่อย หลินฟานไม่เหมือนคนที่จะมาเป็นช่างตีเหล็กเลย แต่การยกค้อนเมื่อครู่ก็ทำให้เห็นแล้วว่าหลินฟานมีกำลังไม่ธรรมดา เผลอๆด้านพลังวิญญาณอย่างเดียวอาจจะเหนือกว่าอาวุโสหมิงซานไปหลายขั้นแล้วก็ได้ อย่างว่าองครักษ์หลวงจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
“ข้าจะพยายามขอรับ เพราะข้าเดิมพันกับมันด้วยชีวิตอยู่แล้ว”หลินฟานตอบพลางก้มหัวต่อหน้าอาวุโสหมิงซานอย่างจริงจัง หากสร้างอาวุธระดับราชันไม่ได้ตระกูลหลินก็ถูกประหาร ไม่มีใครจริงจังเรื่องนี้ไปกว่าหลินฟานอีกแล้วแน่นอน เพราะงั้นเรื่องความตั้งใจนั้นไม่ต้องถามอะไรให้มากความ
“………”อาวุโสหมิงซานมองไปทางหลินฟานด้วยท่าทีครุ่นคิด หลายปีมานี้ตนไม่ได้แตะต้องการสร้างอาวุธเลย ในใจย่อมเสียดายวิชาของตนที่ต้องทิ้งร้างไปไม่น้อย หนิงหลงเองแม้จะเรียนรู้วิชาตีเหล็กไปมากแล้ว แต่เพราะยังเด็กกำลังยังไม่ถึงขั้นจึงได้แต่ให้ช่วยงานทั่วไปเท่านั้น หากรับศิษย์อีกคนก็ถือเป็นเรื่องดีมากกว่าไม่ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร
“ได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่ข้ามีข้อแม้อย่างหนึ่ง”อาวุโสหมิงซานพยักหน้าช้าๆก่อนจะมองไปทางหนิงหลงครู่หนึ่ง แม้จะมีพลังวิญญาณ แต่อาวุโสหมิงซานไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับสูงส่งอะไรนักทำให้อาวุโสหมิงซานไม่สามารถสั่งสอนวิธีฝึกฝนพลังวิญญาณให้หนิงหลงได้ดีเท่าที่ควร
“เพื่อแลกกับวิชาตีเหล็ก ข้าอยากจะให้เจ้าถ่ายทอดวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณให้กับหนิงหลง เจ้าทำได้หรือไม่”ได้ยินอาวุโสหมิงซานพูดเช่นนั้นหลินฟานก็ชะงักไปครู่หนึ่ง วิชาที่หลินฟานฝึกฝนเป็นวิชาลับในตระกูลหลิน ปกติไม่ถ่ายทอดให้ผู้คนนอกตระกูล แต่ทว่าครั้งนี้ภัยร้ายมาถึงตระกูลแล้ว จะมัวหวงวิชาไม่ยอมรับข้อเสนอได้งั้นหรือ
“ทราบแล้วขอรับ”หลินฟานคิดอยู่ครู่เดียวก็รีบประสานมือตอบอาวุโสหมิงซานอย่างเข้มแข็งทันที เพื่อรักษาชีวิตคนในตระกูลเอาไว้ แค่ถ่ายทอดวิชาให้หนิงหลงนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
“ดี หลังจากนี้เลิกเรียกข้าว่าอาวุโส แล้วเรียกข้าว่าอาจารย์ซะ”อาวุโสหมิงซานว่าพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ไม่ใช่แค่ได้ศิษย์คนใหม่มาเพิ่ม แต่ยังสามารถกลบจุดอ่อนให้หนิงหลงได้อีกด้วย เรียกว่าทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์กันถ้วนหน้าเลยก็คงได้
“ขอรับอาจารย์”หลินฟานได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างกราบอาวุโสหมิงซานเป็นอาจารย์ทันที ไม่นึกเลยว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจะทำให้หลินฟานต้องมาเรียนเป็นช่างตีเหล็กเช่นนี้ แต่หากหลินฟานสร้างอาวุธระดับราชันขั้นที่ 10 ได้จริงหลังจากนี้ตระกูลหลินคงยิ่งใหญ่ขึ้นมากแน่ๆ บางทีนี่อาจจะเป็นการชี้นำจากสวรรค์ก็เป็นได้
“แล้วแบบนี้ข้าควรเรียกพี่หลินว่าศิษย์น้องหรืออาจารย์ดีล่ะขอรับ”หนิงหลงที่นั่งดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นมองไปทางอาจารย์และหลินฟานด้วยท่าทีสับสน เรื่องราวของหลินฟานรวมถึงการเข้าเป็นศิษย์ของหลินฟานน่าแปลกใจก็จริง แต่หนิงหลงกลับหนักใจตรงนี้มากกว่าเพราะหลังจากนี้หลินฟานก็จะเข้ามาเรียนเรื่องการตีเหล็กร่วมกับหนิงหลง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องถ่ายทอดวิชาให้หนิงหลงด้วย เช่นนั้นการเรียกขานกันก็ออกจะสับสนไปหมดหรือเปล่า
“วิชาของข้าถ่ายทอดกันในตระกูลไม่ได้นับกันเป็นศิษย์อาจารย์หรอก เช่นนั้นก็ฝากตัวด้วยนะขอรับศิษย์พี่”หลินฟานยิ้มออกมาก่อนจะประสานมือคารวะหนิงหลงด้วยอีกคนทำเอาหนิงหลงทำตัวไม่ถูกไปเลย
“ฮะๆ หนิงหลงเจ้าไปเตรียมอาหารให้ศิษย์น้องของเจ้าเถอะ วันนี้ให้หลินฟานพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เราจะเริ่มฝึกกัน”อาวุโสหมิงซานเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทีชอบใจ เห็นหนิงหลงทำตัวไม่ถูกแบบนั้นแล้วก็อดแกล้งไม่ได้