"มีสิทธิ์อะไร? แกมันเป็นอะไร" ซูเซว่อาละวาดอย่างก้าวร้าวและเย่อหยิ่ง
ลู่หรงเยียนขมวดคิ้วอย่างเย็นชา: "วุ่นวาย!"
เมื่อหวังหยางได้รับคำสั่ง เขาก็รีบสั่งพวกยามทันที: "โยนออกไป"
"ครับ ผู้จัดการหวัง"
พวกยามล็อกฉู่เทียนอี้กับซูเซว่เอาไว้ และลากพวกเขาออกไปทันที
ทั้งจนตรอกทั้งลำบากใจ
ซูเซว่โวยวาย: "อย่ามาแตะฉัน ออกไป ฉันเป็นถึงภรรยาของคุณชายฉู่ พวกแกกล้าล่วงเกินฉันเหรอ"
แม้แต่ฉู่เทียนอี้พวกเขายังไม่สนใจ แล้วภรรยาของคุณชายฉู่จะมีประโยชน์อะไร?
ฉู่เทียนอี้เองก็โมโหจนหน้าเขียว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนดูถูกแบบนี้เลย
เขาคิดขึ้นมาได้ว่าหวังหยางสั่งให้คนโยนพวกเขาออกมาหลังจากที่ผู้ชายคนนั้นพูดว่า'วุ่นวาย'สองคำนั้นออกมา
หรือผู้ชายคนนั้นจะมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่อะไรจริงๆ?
ไม่ใช่แน่นอน
เสื้อผ้าที่ผู้ชายคนนั้นใส่มันธรรมดามาก ทั้งตัวของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้านั้นก็ดูไม่ได้มีเงินเลย ส่วนรถที่คนใช้กันราคาแสนกว่าคันนั้นก็เป็นรถเก่าหลายปีแล้ว น่าจะเป็นรถมือสอง
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมหวังหยางถึงเชื่อฟังขนาดนี้?
ซูเซว่ถูกยามทิ้งไว้ที่หน้าประตู มือเธอถูกับพื้นจนถลอกและกระทืบเท้าด้วยความโมโห: "เทียนอี้ พวกมันทำแบบนี้กับพวกเราได้ เจ็บมากเลย"
ฉู่เทียนอี้เองก็เต็มไปด้วยความโกรธ เขาตะคอกด้วยความอับอาย: "หุบปากเดี๋ยวนี้ กลัวจะขายหน้าไม่พอหรือไง?"
ซูเซว่โกรธจนจะร้องไห้แล้ว เธอมองไปยังซูชิงที่ยืนอยู่ตรงประตูและริษยาจนคลั่ง: "สารเลว แกเป็นคนทำทั้งนั้น"
เมื่อซูชิงได้ยินจึงหัวเราะ: "ก็อุตส่าห์ขอให้เธอถ่อมตัวบ้างแล้ว ดูสิ ตอนนี้โดนตบหน้าเข้าแล้ว ขอแค่เธอขอร้องฉัน บางทีฉันอาจจะมีความสุขแล้วเชิญพวกเธอเข้ามาก็ได้ อยู่ข้างนอกดูจนตรอกขนาดไหนกัน ถ้าโดนคนรู้จักเห็นเข้าก็ขายหน้าแย่เลยจริงๆ"
ซูชิงคืนคำพูดเมื่อครู่ของซูเซว่คืนกลับไปแทบจะเหมือนเดิมทุกประการ
ซูเซว่โกรธจนหน้าแดงหน้าขาว ยังอยากจะด่าอีก แต่ฉู่เทียนอี้ดึงเธอเอาไว้: "ยังไม่ไปอีก? ยังอยากจะอยู่ขายหน้าต่ออีก?"
พูดจริงๆ เมื่อเห็นซูเซว่กับลู่หรงเยียนออกไปอย่างจนตรอก ก็ไม่ต้องพูดเลยว่าในใจของซูชิงได้ระบายความโกรธมากแค่ไหน
"คุณลู่ครับ เชิญด้านใน" หวังหยางนำทางอยู่ด้านหน้าด้วยความนอบน้อม
ซูชิงกระซิบถามด้วยความอึดอัดใจมาก: "อะไรกัน? ไม่ใช่ร้านถูกเหมาแล้วเหรอ? ทำไมถึงยังให้พวกเราเข้าได้ล่ะ? คุณมาที่นี่บ่อยเหรอ?"
ถ้าไม่ใช่ หวังหยางจะรู้จักลู่หรงเยียนได้ยังไงอีก?
ลู่หรงเยียนตอบอย่างผ่อนคลาย: "เคยมากับว่านหยางหลายครั้ง เลยค่อนข้างคุ้นเคยกับผู้จัดการหวัง"
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
"วันนี้คุณว่านเป็นคนเหมาร้านเหรอ?" ซูชิงเข้าใจขึ้นมา มิน่าล่ะเมื่อกี้ลู่หรงเยียนถึงได้มั่นใจขนาดนี้
ก่อนหน้านี้ที่หวังหยางพูดว่าคุณว่าน เธอยังไม่ทันนึกได้ว่าเป็นคุณว่านคนนั้น
ลู่หรงเยียน: "เขาเงินเยอะ"
ซูชิง: "…"
ทั้งครัวเปี๋ยย่วนนั้นเงียบมาก ปกติวันหนึ่งก็รับลูกค้าแค่ 50 คน พอวันนี้ถูกเหมาร้านก็เลยยิ่งเงียบกว่าเดิม
ซูชิงตามลู่หรงเยียนเข้าไป ว่านหยางได้รออยู่ด้านในแล้ว
"ลูกพี่ คุณซู" ว่านหยางโบกมือทักทาย
"คุณว่าน"
ซูชิงรู้แค่ว่านหยางเป็นเพื่อนกับลู่หรงเยียน แต่คิดไม่ถึงว่าว่านหยางจะเป็นลูกคนรวยเจ้าถิ่นถึงได้เหมาที่นี่ได้
"คุณว่าน คุณลู่ คุณซู เชิญรับประทานให้อร่อยครับ!" หวังหยางรู้จักวางตัวมาก เขาไม่ได้รบกวนการทานอาหารของพวกเขาและพาคนอื่นออกไปแล้ว แม้แต่พนักงานก็ยังคอยเฝ้าอยู่ห่างออกไปเป็นสิบก้าวเลย
หน้าที่ของว่านหยางในวันนี้คือใช้ชื่อของตัวเองเหมาร้านนี้แทนลู่หรงเยียน
เมื่อหน้าที่ทำเร็จแล้ว เขาก็ไม่สามารถอยู่เป็นก้างขวางคอต่อได้อยู่แล้ว
ว่านหยางแกล้งทำเป็นรับสายโทรศัพท์และหาข้ออ้างที่ไม่ค่อยจะดีขึ้นมา: "ลูกพี่ คุณซู ผมมีธุระด่วนต้องกลับก่อนแล้ว พวกคุณทานกันให้อร่อยนะ"
"อืม" ลู่หรงเยียนตอบอย่างเบาๆ ด้วยสีหน้าแบบเชิญหมอบกลับไปได้เลย
ซูชิงรู้สึกเกรงใจมาก เมื่อครู่พวกเขาอาศัยอำนาจของว่านหยางตบหน้าฉู่เทียนอี้กับซูเซว่ไป แล้วตอนนี้ยังกินฟรีอีก
"คุณว่าน เมื่อครู่ฉันรู้สึกขอบคุณมาก ถ้าไม่ใช่เพราะอาศัยอำนาจของคุณ เมื่อครู่ก็ต้องอับอายแล้ว"
"เรื่องของลูกพี่ก็คือเรื่องของผมว่านหยาง แค่เรื่องเล็กน้อย อย่างสองคนนั้นก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในครัวเปี๋ยย่วนจริงๆ ทำให้คนหมดความอยากอาหาร" ว่านหยางแอบเหลือบมองไปทางลู่หรงเยียน เถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังของครัวเปี๋ยย่วนคือลู่หรงเยียนเลยนะ สองคนนั้นมาล่วงเกินลู่หรงเยียนกับซูชิงงั้นไม่ใช่รนหาที่เหรอ?
"คุณซู ลูกพี่ ผมไปก่อนแล้วจริงๆ รีบอยู่น่ะ พวกคุณทานให้อร่อย"
ไม่ทันรอให้ซูชิงพูดอะไรอีก ว่านหยางก็รีบหนีไปก่อน
"ลู่หรงเยียน เพื่อนคนนี้ของคุณทำอะไรเหรอ?"
ท่าทางการพูดของว่านหยางนั้น แม้แต่ฉู่เทียนอี้กับซูเซว่ก็ยังไม่สนใจ ไม่กลัวจะล่วงเกินตระกูลฉู่ เบื้องหลังน่าจะไม่ธรรมดาเลย
เมืองหลวงนั้นเสือหมอบมังกรซ่อนจริงๆ ถึงซูชิงจะเป็นลูกของตระกูลซูไม่ต้องพูดว่าเธอแค่เป็นในนาม ไม่ได้เข้าไปในวงคนรวย เพราะต่อให้ใช้นามของลูกสาวตระกูลซูก็ยังสัมผัสวงการที่สูงกว่าไม่ได้อยู่ดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรู้จักคนที่สามารถเหมาครัวเปี๋ยย่วนได้เลย
"ทำเกี่ยวกับหนัง" ลู่หรงเยียนพูดอย่างเรียบเฉย: "ผู้สืบทอดตระกูลว่านฟิล์มกรุ๊ป"
"อ๊า?" ซูชิงตะลึง: "ทำไมคุณถึงรู้จักกับผู้สืบทอดตระกูลว่านฟิล์มกรุ๊ปได้?"
ว่านฟิล์มนั่นคือเจ้าแห่งวงการหนังเลยนะ ในวงการมีใครไม่เกรงกลัวบ้าง?
ซูชิงคิดไม่ถึงว่าลู่หรงเยียนจะรู้จักกับผู้สืบทอดตระกูลว่านฟิล์มกรุ๊ป
"ก่อนหน้านี้เคยช่วยเขาครั้งหนึ่ง" ลู่หรงเยียนเริ่มแต่งเรื่องอีกครั้งด้วยท่าทางเคร่งขรึม: "มีบุญคุณเรื่องช่วยชีวิตเขา"
"มิน่าล่ะ ฉันก็ว่าเขาดูเชื่อฟังคุณ ที่แท้ก็รู้จักตอบแทนบุญคุณนี่เอง" ซูชิงไม่ได้สงสัยอีก เธอเชื่อคำพูดของลู่หรงเยียนมาก ในเมื่อลู่หรงเยียนดูแล้วก็ไม่เหมือนคนมีเงินจริงๆ แถมข้ออ้างเรื่องบุญคุณในการช่วยชีวิตก็ค่อนข้างเหมาะสม
ไม่อย่างนั้นทำไมผู้สืบทอดตระกูลว่านฟิล์มกรุ๊ปถึงจะเกรงใจลู่หรงเยียนแบบนี้?
เมื่อคิดถึงคำพูดด้อยค่าของฉู่เทียนอี้เมื่อครู่ ซูชิงก็พูดด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างมาก: "คำพูดเมื่อกี้พวกนั้น คุณไม่ต้องเก็บไปใส่ใจนะ"
"ไม่เป็นไร" แม้แต่คนลู่หรงเยียนยังไม่สนใจเลย แล้วจะเอาคำพูดไปใส่ใจได้อย่างไร: "แค่หมาสองตัวเห่าเอง"
ซูชิงรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องอธิบายสักหน่อย: "สองคนเมื่อกี้คือ…"
"ชิงชิง คนที่ผ่านไปแล้วไม่ควรค่าพอให้พูดถึง" ลู่หรงเยียนกุมมือเธอเอาไว้: "แฟนของคุณไม่ได้ถูกยุยงง่ายขนาดนั้น"
ตอนแรกลู่หรงเยียนแค่สนใจในตัวซูชิง แต่พอเห็นท่าทางที่เธอปกป้องตนเองเมื่อครู่ ในใจเขาก็มีความอบอุ่นที่บอกไม่ถูกขึ้นมา
ไม่ต้องให้ซูชิงอธิบายว่าสองคนนั้นเป็นอะไรเขาก็รู้ดีอยู่
อดีตของซูชิง ลู่หรงเยียนได้ให้คนไปสืบมาแล้ว
จู่ๆ เบ้าตาของซูชิงก็ร้อนขึ้นมา ตอนแรกเธอแค่คิดว่าจะลองคบกับลู่หรงเยียนดูเฉยๆ ไม่ได้มีความคิดยืนยาว
แต่คำพูดเมื่อกี้ ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ก็ฟังออกทั้งนั้นว่าเธอมีความสัมพันธ์กับฉู่เทียนอี้
ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงซักถามเธอแต่แรก หรือไม่ก็ระเบิดและออกไปแล้ว
แต่เขากลับไม่ก้าวก่ายเลย
ซูชิงยิ้ม: "ใช่ คนที่ผ่านไปแล้วไม่มีค่าให้พูดถึงอีก ฉันหิวแล้ว กินเถอะ"
รอยยิ้มที่มุมปากของลู่หรงเยียนยิ่งมากขึ้น: "โอเค"
เมื่อกินเสร็จ ระหว่างทางที่ทั้งสองกลับบ้าน ลู่หรงเยียนก็ใช้มือหนึ่งขับรถ ส่วนอีกมือก็จับมือของซูชิงเอาไว้แน่น
การสัมผัสที่ใกล้ชิดทำให้ซูชิงหน้าแดง เธอไม่ค่อยคุ้นชินจึงลองดึงมือออก แต่เขากลับจับเอาไว้แน่น
ซูชิงเองก็ไม่ได้พยายามยื้ออีก และหันหน้าไปทางอื่นด้วยความเขินอาย ไม่มองทางลู่หรงเยียน
แต่บนหน้าต่างรถกลับสะท้อนท่าทางที่เขินอายของตัวเอง ซูชิงกัดปาก และในหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของลู่หรงเยียนเข้ามา: "ชิงชิงของผมหน้าบางจริงๆ"
"ใครเป็นของคุณ"
ซูชิงส่งเสียงเฮอะและแก้มก็ร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด ท่าทางเขินอายของซูชิงในสายตาของลู่หรงเยียน ทำให้รอยยิ้มที่มุมปากของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
หน้าของซูชิงแดงกว่าเดิม ฝ่ามือเริ่มมีเหงื่อออกมานิดหน่อย ความเขินอาย ตื่นเต้น หัวใจเต้นแรงขึ้น และรู้สึกอบอุ่นในใจ ความรู้สึกพวกนี้เธอไม่เคยมีกับฉู่เทียนอี้มาก่อนเลย
หรือนี่คืออาการใจสั่น?
ซูชิงก้มหน้า: "ตั้งใจขับรถ"
"ได้!" ลู่หรงเยียนเชื่อฟังคำพูดของซูชิงมาก
ปากเขาพูดออกมา แต่มือกลับไม่ได้ปล่อย
ในตอนนี้โทรศัพท์ของลู่หรงเยียนนั้นดังขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแต่ไม่ได้รับสาย
MANGA DISCUSSION