ที่จริงถ้าลู่หรงเยียนไม่มา ซูชิงเองก็มีวิธีจัดการกับเรื่องนี้อยู่
เธออยู่บริษัทนี้มาหลายปีขนาดนี้ ถ้าไม่มีสกิลการเอาตัวรอดก็คงไม่อยู่มานานขนาดนี้
ซูชิงไม่ใช่คนที่อยากมีเรื่อง แต่เธอก็ไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะให้ใครมารังแกมั่วซั่วได้
ลู่หรงเยียนพูดทีเล่นทีจริง: “ผมบอกเขาว่าความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการเสียพนักงานที่ดีแบบคุณไป”
“ง่ายแบบนี้เลย?” ซูชิงไม่เชื่อ
“เอ่อ แล้วก็ขู่เขาด้วย ว่าถ้ามาเรื่องคุณอีกจะเจอหมัด”
ซูชิงยิ้ม: “นี่สิ ถึงจะเป็นสไตล์ของคุณ แต่หลังจากนี้ห้ามคุณไปต่อยใครมั่วๆ อีก ตอนนี้เป็นสังคมที่มีกฎหมายแล้ว ไม่ใช่ยุคดวลหมัด”
นิสัยนี้ของลู่หรงเยียนทำให้ซูชิงกังวลมาก
ลู่หรงเยียนยิ้มอย่างอ่อนโยน: “ได้ ฟังคุณนั่นแหละ”
เมื่อเฉินซิ่วเฟินเห็นลูกชายตนเองอยู่ต่อหน้าซูชิงแล้วเชื่อฟังอย่างกับแกะ เธอก็ไม่มีความโกรธเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกดีใจมาก
ของสิ่งหนึ่งมักจะถูกพิชิตด้วยของอีกสิ่งหนึ่งสินะ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ลู่หรงเยียนก็ส่งซูชิงให้กับเฉินซิ่วเฟินต่อ: “แม่ พาชิงชิงไปเดินเล่นด้วยสิ”
“ได้จ่ะ ไม่มีปัญหา” เฉินซิ่วเฟินเต็มใจเป็นอย่างมาก: “ซูซู ไปเดินช็อปปิ้งในห้างกับป้าไหม?”
“ได้ค่ะ”
ซูชิงรับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของความรักจากแม่ที่เฉินซิ่วเฟิน เธอเองก็เต็มใจอยู่ด้วยอย่างมาก
พูดกันว่าปัญหาความขัดแย้งของแม่ผัวลูกสะใภ้เป็นปัญหาโลกแตก แต่ทั้งสองกลับอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขมาก เธอจึงไม่ต้องกังวลในปัญหานี้
เมื่อลู่หรงเยียนเห็นทั้งสองคนเดินไปแล้ว ตนเองจึงหันกลับไปขึ้นรถไมบัคที่จอดอยู่ด้านข้าง
เซี่ยตงรออยู่ตรงนี้มาตลอด ส่วนเบาะหลังก็มีว่านหยางนั่งอยู่
“ลูกพี่ วันนี้ลูกพี่บุ่มบ่ามไปหน่อยนะ คนที่ตระกูลลู่พวกนั้นต้องสงสัยบ้างแน่ๆ” ว่านหยางพูดเตือน
“ช่วงนี้สระน้ำตระกูลลู่นิ่งเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องกวนบ้างแล้วล่ะ” หางคิ้วของลู่หรงเยียนกดลงอย่างเย็นชา: “พรุ่งนี้เช้า ฉันต้องการเห็นข่าวว่าตระกูลเจิ้งกรุ๊ปหายไปจากเมืองหลวง”
ว่านหยางถาม: “นี่เกี่ยวกับการกวนน้ำตระกูลลู่ให้ขุ่นเหรอ?”
“ไม่เกี่ยว” ลู่หรงเยียนน้ำเสียงราบเรียบ: “ชิงชิงไม่ได้รับความเป็นธรรม”
นี่คือการแก้แค้นแทนแฟนสาวล้วนๆ
ว่านหยางหมดแรงจะแขวะแล้ว โทษก็แต่ตระกูลเจิ้งนี่ดวงซวยมาแหย่แฟนของเจ้าพ่อทำไมล่ะ?
ไม่ใช่รนหาที่ตายเหรอ?
ซูชิงในตอนนี้ไม่ได้รู้ว่าลู่หรงเยียนแค่พูดประโยคเดียวก็ให้กลุ่มระดับสูงของตระกูลลู่กรุ๊ปทำโอทีแล้วซื้อกิจการตระกูลเจิ้งกรุ๊ปในคืนเดียวได้เลย แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เอาไว้คุยกันทีหลังแล้ว
ว่านหยางนั่งพิงอยู่บนเบาะและมองลู่หรงเยียนอย่างเนือยๆ
“ลูกพี่ คุณซูก็ไม่ใช่คนโง่นะ เธอกล้าหาเรื่องเจิ้งเจียอิง งั้นก็ต้องมีที่พึ่งอยู่แน่นอน ที่จริงถึงพี่ไม่ไปเธอก็อาจจะไม่ได้โดนรังแกก็ได้”
ว่านหยางเองก็รู้จักซูชิงมานานขนาดนี้แล้ว ซูชิงดูเหมือนไม่มีกำลังไม่มีอำนาจ แต่บนตัวเธอกลับมีเสน่ห์ที่ติดตัวมาอยู่
การที่เธอสามารถใช้ชีวิตแบบนี้ภายใต้การกลั่นแกล้งของฉินซู่ฉินกับซูเซว่ได้ ก็บ่งบอกว่าเธอมีความสามารถแล้ว
ลู่หรงเยียนหรี่ตาลงเล็กน้อย: “มีฉันอยู่ เธอไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งจนเกินไป”
ไม่อย่างนั้นจะยังมีแฟนอย่างเขาไว้ทำไม?
เขาลู่หรงเยียนไม่ได้หาพันธมิตรเหมือนเสือติดปีก แต่หาคู่ชีวิตที่จะจับมือกันไปตลอดชีวิต
ลู่หรงเยียนถาม: “ทางลู่จ่านหยวนเป็นยังไงบ้าง?” ว่านหยางพูด: “ผมว่าของนี่มีปัญหานะลูกพี่”
“งั้นตอนกลางคืนแวะไปดูหน่อย”
เมื่อพูดจบ ลู่หรงเยียนก็ปิดตาลงพักผ่อนร่างกาย
…
หลังจากซูชิงกับเฉินซิ่วเฟินเดินช็อปปิ้งจนรอบห้าง พวกเธอก็เหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว
เฉินซิ่วเฟืนซื้อของมาไม่น้อยเลย แต่ซื้อให้ซูชิงทั้งนั้น
ซูชิงปฏิเสธตลอด แต่ก็ต้านความมีน้ำใจของเฉินซิ่วเฟินไม่ไหว ท่าทางนั่นเหมือนแทบอยากจะขนของในห้างทั้งหมดไปให้เกลี้ยงเลย
วันนี้อยู่ต่อหน้าซูชิง เฉินซิ่วเฟินก็ควบคุมตัวเองอย่างมากแล้ว
“ซูซูจ๊ะ หนูอยู่ที่ไหนเหรอ เดี๋ยวฉันเรียกรถแล้วเอาของพวกนี้กลับไปให้หมดเลย”
ซูชิงลังเลนิดหน่อย ที่นั่นของเธอมันเล็กเกินไป เกรงว่าว่าที่แม่ยายจะรังเกียจ
แถมตอนนี้เธอยังอยู่กับลู่หรงเยียนอีก เธอกลัวเฉินซิ่วเฟินรู้แล้วจะดูถูกเธอ
แต่เฉินซิ่วเฟินถามมาแล้ว เธอเองก็ต้องให้เฉินซิ่วเฟินไปดูหน่อย
ซูชิงไม่ได้โง่ เธอรู้อยู่แล้วว่าเฉินซิ่วเฟินอยากไปดูที่พักของเธอ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซูชิงก็ยิ้มและพูด: “งั้นหนูเรียกรถเองค่ะ”
ตลอดทาง ทั้งคู่ทั้งพูดคุยและหัวเราะกัน แต่เมื่อมาถึงบ้านเช่า เฉินซิ่วเฟินก็ยิ้มไม่ออกแล้ว
เมื่อเห็นเฉินซิ่วเฟินหน้าเสีย ในใจของซูชิงก็กระวนกระวายนิดหน่อยและกำลังจะอ้าปากพูด แต่จู่ๆ เฉินซิ่วเฟินก็พูดด้วยความโมโหมากขึ้นมา: “หมอนี่ทำอะไรเนี่ย ทำไมถึงให้ซูชิงอยู่ที่เล็กขนาดนี้ได้”
ห้องน้ำในบ้านยังใหญ่กว่าบ้านนี้เลย
ต่อให้จนยังไงก็ทำให้ว่าที่ลูกสะใภ้ลำบากไม่ได้สิ
ขณะพูด เฉินซิ่วเฟินก็หยิบบัตรใบหนึ่งออกมา ในตาของเธอมีน้ำตาอยู่ เธอพูดด้วยความรู้สึกผิดอย่างมาก: “ซูซู ทำให้หนูลำบากแล้วจริงๆ หนูรับบัตรใบนี้ไว้และย้ายไปบ้านที่ใหญ่กว่านี้หน่อย บ้านเล็กขนาดนี้คนจะอยู่ได้ยังไง”
ว่าที่แม่สามีฟุ่มเฟือยทั้งลำไก ทั้งบัตรเอทีเอ็มอีก ซูชิงถูกทำให้อึ้งไม่หยุด
มีความสุขเกินไปแล้ว!
ซูชิงไม่มีทางเอาบัตรเอทีเอ็มไว้อยู่แล้ว เธอยิ้ม: “ป้าคะ บ้านนี้ก็ใช้ได้ ก่อนหน้านี้ลู่หรงเยียนเคยพูดแล้วว่าจะเปลี่ยนเป็นบ้านหลังใหญ่ แต่หนูเป็นคนห้ามเอาไว้ ราคาของในเมืองหลวงแพง มีแค่รังเล็กๆ ที่อบอุ่นก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีบ้านใหญ่มาก”
คำพูดนี้ทำให้เฉินซิ่วเฟินน้ำตาคลอเบ้า เธอจับมือซูชิงเอาไว้: “ซูซู หนูรู้จักคิดเกินไปแล้ว ลูกของฉันได้เจอหนูถือเป็นบุญที่สะสมมาหลายภพหลายชาติจริงๆ”
ซูชิง: “…”
“หนูก็รู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้เจอเขาค่ะ” ซูชิงพูดพร้อมยิ้มอ่อน: “คุณป้าก็ดีกับหนูขนาดนี้ ทำให้หนูรู้สึกมีความสุขมาก”
พวกนี้คือคำพูดจากใจจริงของซูชิง ไม่ใช่จงใจประจบ
ดูจากระดับความฟุ่มเฟือยของเฉินซิ่วเฟินในวันนี้ บ้านของลู่หรงเยียนน่าจะพอมีฐานะอยู่ แต่นั่นเป็นผลจากความพยายามของคนรุ่นก่อนทั้งนั้น เธอกับลู่หรงเยียนจะเกาะพ่อแม่กินไม่ได้
ซูชิงยอมรับในความธรรมดาของลู่หรงเยียนมาตั้งแต่แรง จึงไม่มีทางเปลี่ยนไปเพราะฐานะทางบ้าน
เฉินซิ่วเฟินอยู่จนไม่ยอมกลับแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะฟ้ามืดแล้ว เธอก็ยังอยากอยู่คุยกับซูชิงต่ออีก
ตอนกลับ เฉินซิ่วเฟินก็ยิ้มและพูด: “ซซู พรุ่งนี้ป้ามาหาหนูอีกนะ”
“ค่ะ” ซูชิงส่งเฉินซิ่วเฟินถึงประตูเขตชุมชน
เฉินซิ่วเฟืนขึ้นรถแท็กซี่คันหนึ่ง และรีบโทรหาเฉินเหาพี่ชายของตัวเองทันที: “สะใภ้คนนี้ฉันพอใจมากจริงๆ…”
…
เมื่อซูชิงกลับมาถึงบ้านเช่า เธอกลับได้รับสายจากฉู่เทียนอี้
ซูชิงมองแจ้งเตือนที่โทรศัพท์ แต่เธอไม่อยากรับจึงกดตัดสายไป และฉู่เทียนอี้ก็ส่งข้อความมาในทันที: ถ้าไม่อยากให้ผมไปหาซูเจี๋ยที่โรงพยาบาล อีกครึ่งชั่วโมงมาเจอกันที่ท่าเรือจูเจียง
ซูชิงมองคำพูดที่เต็มไปด้วยการขู่บนโทรศัพท์และโมโหมาก
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
ท่าเรือจูเจียง
ภายใต้ความมืดมิด
แสงไฟบนท่าเรือแวววับจับตา
บนเรือยอชต์ลำหนึ่ง ฉู่เทียนอี้ได้เตรียมดินเนอร์ใต้แสงเทียน พร้อมดอกไม้และของขวัญเอาไว้แล้ว
แท็กซี่คันหนึ่งมาถึงท่าเรือแล้ว คนที่ลงจากรถมาก็คือซูชิง
เมื่อเงาของซูชิงโผล่มาที่ท่าเรือก็ถูกว่านหยางที่ส่องกล้องโทรทรรศน์อยู่เห็นเข้าทันที
ตอนแรกว่านหยางนึกว่าดูผิด ดึกดื่นแบบนี้ซูชิงมาทำอะไรที่ท่าเรือกัน?
ว่านหยางจึงใช้กล้องโทรทรรศน์ดูดีๆ อีกครั้ง แต่ก็เป็นซูชิงจริงๆ
ซูชิงดูโทรศัพท์ ในนั้นมีข้อความที่ฉู่เทียนอี้ส่งมา อิงตามข้อความแล้วคือให้ไปที่เรือยอชต์ที่ฉู่เทียนอี้อยู่
ซูชิงขึ้นไปบนเรือยอชต์และกวาดตามองสเต๊กกับดอกไม้บนโต๊ะอย่างเย็นชา
“ฉู่เทียนอี้ คุณหมายความว่าอะไรกันแน่? นัดฉันมานี่เพราะกลัวซูเซว่จะรู้?”
ฉู่เทียนอี้กลัวซูเซว่จะรู้จริงๆ ถึงได้เลือกที่นี่
“ชิงชิง ยังโกรธอยู่อีกเหรอ!” ฉู่เทียนอี้หยิบของขวัญที่เตรียมเอาไว้ขึ้นมา พร้อมยิ้มและเปิดออก: “ดูสิ นี่ผมตั้งใจเตรียมไว้ให้คุณเลยนะ”
ในกล่องของขวัญเป็นสร้อยคอเส้นหนึ่ง
MANGA DISCUSSION