หลงรักเมียเจ้าเล่ห์ - ตอนที่ 780 ย้ายออกจากบ้านตระกูลฐิตานันท์
ตอนที่ 780 ย้ายออกจากบ้านตระกูลฐิตานันท์
ช่วงนี้ เรื่องงานแต่งงานของจิดาภากับพันเดชเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว แต่รายละเอียดของงานยังคงปิดเป็นความลับ จัดงานที่ไหน มีใครเป็นแขกบ้าง ตอนนี้ยังไม่เป็นที่เปิดเผย
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยังเป็นที่ฮือฮาอยู่ตลอด แต่ความเคลื่อนไหวของจิดาภากับพันเดช เป็นที่จับตามองของนักข่าวมากกว่า
เมื่อเปศลเห็นจดหมายเชิญในมือ ความรู้สึกเขากลับบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
แม่ว่าจิดาภาจะเป็นลูกสาวของเขาหรือไม่ ตอนนี้เวลานี้ ใจของเขาคิดไปแล้วว่าจิดาภาเป็นลูกแล้ว ไม่เกี่ยวกับผลยืนยันฉบับนั้น
ก่อนที่ยังไม่รู้ความจริงหรือยังมีความสงสัย เขาก็คิดว่าใช่แล้ว
ตอนนี้จิดาภากำลังจะแต่งงานกับพันเดช เขาก็มีจดหมายเชิญ ตอนแรกที่ตัดสินใจจะไปนิวซีแลนด์ จึงถูกพักแผนไปทันที
ตอนนั้นเอง ปวีร์เดินเข้าไป เห็นเปศลกำลังนั่งมองจดหมายเชิญ หน้าตาตื่นเต้นอย่างมาก “พี่เปศล ฉันมีข่าวมาบอก!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เปศลเงยหน้าขึ้น “อะไรเหรอ?”
ปวีร์ไม่ได้อธิบายอะไร ยื่นเอกสารหนึ่งฉบับให้เขา
เปศลทำหน้าสงสัย และเปิดเอกสารตรงหน้าออก
เป็นเอกสารยืนยีนผลDNA
และด้านล่างเขียนว่า 99%!
“อันนี้คือ…”
“นี่เป็นผลการตรวจDNAของคุณกับคุณจิดาภา!” ปวีร์พูดขึ้น และอดไม่ได้ที่จะดีใจแทนเปศล
เปศลนั่งมองด้วยสายตาเบิกกว้าง 99%หมายความว่ายังไง เขาเข้าใจดี
นั่นก็หมายความว่า พวกเขาเป็นพ่อลูกกัน!!!
เรื่องนี้ ยังคงทำให้ใจเขาเต้นรัวไม่หยุด แต่เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นมาก
ความสงสัยกับความเป็นจริง ช่างมีความแตกต่างกันเหลือเกิน
หรือจะพูดได้ว่า เขาใช้ชีวิตลำพังเพียงคนเดียวมากว่าครึ่งชีวิต จนถึงตอนนี้ เขายังมีลูกสาวอีกคน!
แต่เมื่อสงบสติลงได้ เปศลหันไปมองปวีร์ “นายเอาเอกสารยืนยันฉบับนี้มาจากไหน?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ปวีร์หุบยิ้ม “พี่เปศล ขอโทษนะครับ คุณจิดาภาเคยอาศัยอยู่ที่บ้านมาก่อน จากนั้นเมื่อหล่อนย้ายออกไป ผมใช้เส้นผมของหล่อนไปตรวจ…ผมรู้ดีว่าทำแบบนี้ไม่ถูก แต่ผมอยากให้คุณรู้ผล!” ปวีร์พูดด้วยความจริงใจ
เปศลรู้ดี ที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวเขา
เขาไม่กล้าไปตรวจยืนยัน เพราะเขากลัวผลลัพธ์ที่ออกมา
แต่คำตอบในวันนี้ ทำให้เขา…ตื่นเต้นมาก!
เขาจะมีเหตุผลอะไรไปตำหนิปวีร์ได้อีก
มองดูเอกสารผลตรวจ ในใจของเขาคิดอะไรหลายอย่าง แต่สุดท้ายเมื่อเขาใจเย็นลง จึงพูดขึ้น “เรื่องนี้ ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด!” “ทำไมล่ะครับ?” ปวีร์ถามด้วยความสงสัย “ถ้ารู้ว่าคุณจิดาภาเป็นลูกของคุณ พวกผู้ถือหุ้นคงไม่กล้าไปข่มขู่ใครอีก พวกเขาคงรู้สึกว่าคุณไม่มีผู้สืบทอด เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงจับตามองเป็นพิเศษ” ปวีร์กล่าว“นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ดี หล่อนมีชีวิตของหล่อน เห็นได้ชัดว่ามีความสุขและพึงพอใจมาก ใครจะไปคาดคิดว่าหล่อนจะยอมรับฉันหรือไม่ โทษฉันไม่ได้…” เปศลพูดด้วยความนิ่งขรึม หลายปีที่ผ่านมา เขาทำผิดต่อฉัตรชัยที่ไม่ยอมพูดออกไป ไม่รู้เลยว่าหล่อนอยู่ที่ไหน เขาจะไปมีสิทธิ์อะไรออกมายอมรับว่าเป็นของพ่อหล่อนในตอนนี้เขาไม่สามารถรู้ได้เลยเขายอมให้หล่อนไม่รู้อะไรเลยยังดีกว่า ยิ่งไม่อยากให้หล่อนหนีห่างออกไปจากเขาปวีร์ยืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกอันสับสนลังเลของเปศลได้เลย แต่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แน่นอน ถ้าเป็นเขา ก็คงไม่ถูกยอมรับ“ถ้าคุณจิดาภายอมรับได้ล่ะ? หล่อนไม่ถือโทษคุณ ในเมื่อในตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เรื่องพวกนี้คุณจิดาภาไม่รู้อะไรเลย!” ปวีร์ยังคงพูดโน้มน้าวเขาอย่างมีความหวัง “หล่อนเป็นคนนิสัยเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว มีความเข้าใจกับทุกเรื่องที่ตัวเองทำ เมื่อดูจากลักษณะนิสัยของหล่อน ไม่มีทางที่หล่อนจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆแน่นอน!” เปศลเข้าใจหล่อนดี เรื่องนี้หล่อนคงไม่พอใจอย่างมากปวีร์เงียบไปสักพัก “หรือจะให้เรื่องนี้เป็นแบบนี้ต่อไป?” ในเมื่อตอนนี้รู้ความจริงแล้ว แต่กลับไม่ทำอะไรเลย รู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรง“ตอนนี้ ทำตามนี้ไปก่อน!” เปศลพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ เขาไม่ได้ไม่อยากที่จะมีความสุขกับเรื่องนี้ แต่มีสิทธิ์อะไรล่ะ?ถ้ามองในมุมของจิดาภา หล่อนจะให้อภัยกับคนที่ทิ้งแม่ของตัวเองไปได้ยังไง ขนาดที่ว่ายังไม่รู้ว่าหล่อนมีตัวตนอยู่… พ่ออย่างเขา ไม่สมควรจะเป็นพ่อขนาดตัวเองเขายังไม่มีทางที่จะให้อภัยได้ปวีร์มองหน้าเปศลด้วยสายตาเห็นใจและสงสารแม้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะตกอยู่ในสถานการณ์อย่างลำบาก ตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนจากดำกลายเป็นขาว มีบริษัทและทรัพย์สินมหาศาลเป็นของตัวเอง แต่ความโดดเดี่ยวและสิ้นหวังจะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจตอนที่ยังไม่รู้ ไม่ว่าทำอะไร ก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่เป็น แต่ตอนนี้ในเมื่อรู้แล้ว กลับทำอะไรไม่ได้…ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคนแข็งแกร่งที่ไหนจะยอมรับได้ปวีร์ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี ขณะนั้น เปศลที่กำลังนั่งมองเอกสารยืนยันตรงหน้า แม้ว่าจะพูดอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาทำได้คือ พยายามดูแลหล่อนให้ดีที่สุด“นายคิดว่า ฉันจะให้ของขวัญอะไรดี?” จู่ๆเปศลถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ“เรื่องนี้…ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ถ้าให้ของชิ้นใหญ่มีมูลค่ามาก ก็จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ ให้ของน้อยไป ก็ไม่สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของพวกเราได้!” ปวีร์ตอบกลับนี่คือสิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดเปศลพยักหน้าลง “เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องยากจริงๆ!” ทันใดนั้น ปวีร์ทำท่าทางเหมือนคิดอะไรออก “ใช่แล้ว ผมได้ยินมาว่า คุณจิดาภามีหุ้นในบริษัทCA 20เปอร์เซ็นต์ จากนั้นบริษัทธีร์อธิศยังให้หุ้นหบ่อนอีกยี่สิบเปอร์เซนต์เพื่อเป็นของขวัญแต่งงาน!” ปวีร์พูดขึ้น เมื่อเปศลได้ยินเช่นนั้น เขาตกตะลึงทันที“คิดไม่ถึงเลยว่า บริษัทธีร์อธิศจะดีกับหล่อนขนาดนี้!” เปศลพูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข ถ้าเป็นเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับจิดาภามาก ตอนเด็กหล่อนก็ไม่ได้ถูกรังแกหรือถูกทำให้น้อยใจมากปวีร์พยักหน้า“ถ้าพวกเราให้หุ้นบริษัทRLอีกยี่สิบเปอร์เซนต์กับหล่อน นายคิดยังไง?” เปศลถาม“เกรงว่าจะไม่ควรครับ!” ปวีรพูดขึ้น “ไม่มีหน้าตา ไม่มีชื่อเสียง ให้เยอะขนาดนี้ จะทำให้คนอื่นสงสัยได้ อีกอย่างคุณจิดาภาคงไม่ยอมรับไว้แน่นอน!”อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป เปศลจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ “งั้นนายคิดว่า ควรทำยังไงดี?”“ยังไง เมื่อถึงตอนนั้นสิ่งของเหล่านี้ก็จะตกเป็นของคุณจิดาภา คงไม่ต้องรีบร้อนให้ตอนนี้ กลับมาที่ปัจจุบัน ตามใจคุณเลยครับ ผมคิดว่าคุณจิดาภาคงไม่ใช่คนที่หมกมุ่นกับวัตถุมีค่าหรอกครับ!” ปวีร์กล่าว เปศลพยักหน้า “นายพูดถูก!”จิดาภาไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน สำหรับหล่อนแล้วเรื่องทรัพย์สินเงินทองถือเป็นของนอกกาย“ฉันต้องลองคิดดีๆดูสักหน่อย…” เปศลพูดขึ้นปวีร์ยืนอยู่ด้านข้าง แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็สังเกตได้ว่า เปศลมีความสุขมากแน่นอนว่า เป็นข่าวที่ทำให้เขามีความสุขและดีใจมาก เขาก็รู้สึกดีใจแทนเปศลช่วงสองสามวันนี้ พันเดชยุ่งเรื่องการเตรียมงานแต่งอยู่ตลอดจนไม่มีเวลากลับบ้านตระกูลฐิตานันท์ส่วนเจมน่าก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องแต่งงานที่ค่อยๆใกล้เข้ามา หล่อนเริ่มรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกทีและวันนี้ เจมน่าไปที่ห้องทำงานของพันเดชพันเดชคิดไม่ถึงเลยว่าหล่อนจะมาที่นี่ เงยหน้ามองหล่อน “มีอะไรเหรอ? มาหาฉันมีเรื่องอะไรรึเปล่า?”“คุณไปพูดอะไรกับนิสนธิ์รึเปล่า?” เจมน่าถามพันเดชตกใจตะลึง จากนั้นวางเอกสารในมือลง “เธออยากพูดอะไร?”“คุณบอกนิสนธิ์ว่า เขาคบกับฉันเพื่อเงิน!”“เขาบอกกับเธอแบบนั้นเหรอ?”“หรือว่าไม่ใช่?” เจมน่าย้อนถามพันเดชยิ้ม แต่กลับไม่ได้พูดอธิบายอะไร เพียงแต่มองหล่อน “ในเมื่อเธอคิดแบบนี้ ยังจะมาถามฉันอีกทำไม!?”“ทำไมต้องพูดแบบนี้?” เจมน่าไม่ยอมหยุดง่ายๆ แต่เมื่อมองท่าทางของพันเดช หล่อนกลับรู้สึกปวดใจ ทันใดนั้น พันเดชเงยหน้าขึ้น สายตาจ้องมองหล่อนด้วยความขึงขัง “แล้วเขามีบอกเธอรึเปล่า ว่าเขามาหาฉันเอง?”เจมน่านิ่งตะลึงไปสักพัก สายตาเริ่มอ่อนแรง หล่อนยอมรับว่าหล่อนก็ไม่ค่อยเข้าใจ วันนี้แค่หาข้ออ้างมาหาเขาเพียงเท่านั้น“แล้วยังไงล่ะ คุณก็ไม่ควรพูดแบบนี้!” เจมน่าพูดต่อ คำพูดของหล่อนทั้งดื้อดันทั้งไร้เหตุผล“เจมน่า เธอรู้ตัวรึเปล่าว่าตอนนี้เธอเอาแต่ใจตัวเองขนาดไหน?” น้ำเสียงของพันเดชเริ่มไม่พอใจเจมน่าเงียบพูดอะไรไม่ออก มองหน้าพันเดช รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ยังไม่กล้าแสดงออกมาต่อหน้าเขา“นิสนธิ์ไม่ใช่คนแบบนี้ ฉันไม่อยากให้คุณพูดอะไรแบบนี้อีก!” เจมน่ากล่าว“โอเค!”พันเดชทั้งไม่ยอมรับ และไม่อธิบาย แค่รับรู้เท่านั้นในส่วนของเรื่องราวเป็นมายังไง ให้หล่อนไปตัดสินเอาเองเมื่อเห็นเขาตอบกลับเช่นนี้ หล่อนยังจะมีอะไรที่พูดได้อีกล่ะ จากนั้นเจมน่าจึงหันหลังเดินออกไป“แต่ฉันยังมีเรื่องขอเตือนเธอ ถ้าอยากคบกับเขาอย่างจริงจังต่อไป ต้องไปทำความเข้าใจเขาให้มากแล้วค่อยว่ากัน!” พันเดชพูดเตือนหล่อนตามหลัง เจมน่าตะลึงไปสักพัก ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมาตอบ เดินตรงออกไปทันทีพันเดชนั่งอยู่ด้านใน มองดูหล่อนเดินออกไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาเจมน่าไปทานข้าวกับนิสนธิ์ นิสนธิ์มองหล่อน “เป็นอะไรไป? สีหน้าคุณดูไม่ค่อยโอเคเลย!?” เจมน่าหันหลังไป มองเขาพลางส่ายหน้า ทานข้าวต่อ “ไม่มีอะไร!”“หรือว่าเหนื่อยแล้ว?”“ยังโอเคอยู่!”“งั้นเดี๋ยวเราทานข้าวเสร็จ ผมไปส่งคุณกลับบ้านพักผ่อนนะ!” “อื้ม!” เจมน่าพยักหน้า“ตอนนี้คุณยังพักอยู่ที่บ้านตระกูลฐิตานันท์รึเปล่า?” นิสนธิ์ถามเจมน่าพยักหน้า “ใช่สิ!”“คุณคิดจะอยู่บ้านนั้นไปตลอดเลยเหรอ?” นิสนธิ์ลองถามหล่อนเจมน่าหันไปมองหน้าเขาที่กำลังมองมา “ไม่อย่างนั้นล่ะ?” “ย้ายออกมาสิ คุณอยู่ที่นั่น ไม่ค่อยสะดวกเลย!” นิสนธิ์พูดเจมน่ามองหน้านิสนธิ์ ตกใจตะลึงไปสักพัก แม้ว่าตอนที่หงุดหงิดจะเคยพูดกับพันเดชแบบนี้ แต่หล่อนไม่คิดจะย้ายออกมาจริงๆ แต่ตอนนี้…“คุณอย่าเข้าใจผิดนะ ผมมีห้องชุดห้องหนึ่งพอดี คุณไปอยู่ที่นั่นก่อนก็ได้!” นิสนธิ์พูดขึ้น