หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! - ตอนที่ 69 : การล้างแค้น ณ มหาจักรวรรดิเฉิน
- Home
- หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords!
- ตอนที่ 69 : การล้างแค้น ณ มหาจักรวรรดิเฉิน
ตอนที่ 69 : การล้างแค้น ณ มหาจักรวรรดิเฉิน
“บนโลกนี้มีคนที่เหนือกว่าอยู่เสมอ และมีโลกที่เจ้าาไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน!”
นี่เป็นคําพูดที่ยอดกระจาวฉงชอบมาก ซึ่งพ่อที่ล่วงลับไปแล้วของเขาเคยพูดเอาไว้
ในตอนนี้เมื่อเขาได้ยินโจวฉวนจีพูดออกมา มันเลยทําให้เขารู้สึกหวั่นไหวเอามาก
โจวฉวนจีตบไหล่ของเขาและยิ้มให้อย่างพึงพอใจ “งั้นตอนนี้เจ้าก็เป็นทาสกระบี่ของข้าแล้วสินะ แต่ข้าจะดูแลเจ้าดั่งศิษย์ของข้าแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่ข้าไม่อาจสอนเจ้าได้อีก หรือเจ้าสามารถก้าวข้ามข้าไปได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปเอง ข้ามองออกนะว่าจิตใจของเจ้านะใฝ่หาพลังอานาจสูงสุด เพราะงั้นแล้วก็เอาข้าเป็นเป้าหมายของเจ้าซะสิ!”
เขาโบกมือและดาบในตํานานทั้งหมดก็ถูกเก็บเข้าสุดยอดช่องเก็บของ
เมื่อยอดกระบี่จาวฉงได้ยินคําว่า “ทาสกระบี่” แล้ว เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
แต่พอมาคิดดูอีกที มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องไปเป็นทาสรับใช้โจวฉวนจีสักหน่อยหนิ?
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงครึ่งหลังที่โจวฉวนจีพูดมันก็ทําให้ใจของเขาเต้นระรัวสุด ๆ
จิตใจที่ใฝ่หาพลังอําานาจสูงสุด!
เขาไม่คิดเลยว่าโจวฉวนจีจะเข้าใจเขามากขนาดนี้
แต่ในตอนที่เขากําลังตกอยู่ในความคิดนั่นเอง โจวจวนจีก็พยุงตัวเขาขึ้นมา “มาอยู่ที่ซะนะ” โจวฉวนจีพูดพลางยิ้มให้
หลังจากนั้น เขาก็หันกลับไปมองจางเถียนเจียนและถามขึ้นว่า “ได้รึเปล่า?”
จางเถียนเขียนที่ดูจะอึ้ง ๆ อยู่ ก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะพยักหน้าตอบทันที
จางหรูหยูและจางหรูถานยังคงทําหน้าสิ่งงงวยใส่
*ยอดกระบี่จาวฉงรับข้อเสนอของท่านโจวฉวนจึง่าย ๆ แบบนี้เลยอ่ะนะ?
พวกเขาต่างก็รู้สึกเหมือนว่ากําลังฝันอยู่ และไม่สามารถแยกออกได้ว่านี่มันความจริงหรือฝันไปกันแน่
เจียงฉือน้อยก็แอบรู้สึกตกใจนิดหน่อยด้วย
โจวฉวนจีพูดกับยอดกระบี่จาวจงว่า “มากับข้า”
หลังจากนั้น โจวจวนจีก็เดินตรงไปยังสวนลานกว้างของห้องตัวเอง
ทาสกระบี่คนใหม่ก็เดินตามหลังเขามาติด ๆ
โจวฉวนจีดึงตัวเจียงจือน้อยที่ยังตะลึงไม่หายให้ตามมาด้วย และเดินออกจากโถงหลักไป
จางหรถานกลืนน้ําลายเสียงดัง ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “ท่านพี่ ข้าก็อยากจะเป็นทาสกระบี่ของท่านโจวฉวนด้วยอ่ะ ท่านคิดว่าข้าจะพอมีหวังบ้างมั้ย?”
ปัก!
จางหรูหยุตบเข้าดังป้าบและถาม “ละเจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
จางหรูถานปิดหน้าก่อนจะพูดด้วยน้ําเสียงละห้อย “สิ้นหวังฮะ…”
จางเถียนเขียนก็เริ่มคิดถึงคําถามแบบเดียวกัน
แม้แต่ยอดกระบี่จาวฉงก็ยังต้องยอมจํานนต่อเทพกระบี่โจว แล้วถ้ําเขาได้เป็นทาสกระบี่ของเทพกระบี่โจวด้วยเหมือนกันล่ะก็ มันอาจจะไม่ดูน่าขายขี้หน้าเลยสักนิด กลับกันจะดูมีเกียรติยิ่งกว่าซะอีก
ข่าวลือเกี่ยวกับความหาญกล้าของเทพกระบี่โจวก็แพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟป่าที่ลุกลามไปทั่วโลกภายนอกแล้ว ไหน ๆ เขาสนิทกับเทพกระบี่โจวมากขนาดนี้ ทําไมเขาไม่ใช่โอกาสนี้เอาซะเลยล่ะ?
อีกด้านหนึ่ง โจวฉวนจีและคนอื่น ๆ ก็ได้มายังกลางลานกว้าง เขาเรียกจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชิ้นให้ออกมา
และทั้งคู่ต่างก็ตกตะลึงทันทีเมื่อได้เห็นยอดกระบี่จาวฉง
โจวฉวนจีพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาก็จะมาเป็นทาสกระบี่ของข้า รวมถึงมาเป็นพวกของพวกเราด้วย เพราะงั้นก็ใช้เวลาทําความคุ้นเคยกันด้วยล่ะ”
ครึ่งหลังที่โจวฉวนจีพูดหมายถึง ยอดกระบี่จาวฉงยังไม่รู้แผนล้างแค้นของพวกเขานั้นเอง
ก่อนหน้านี้เขาได้สร้างสัญญาณลับเอาไว้บอกเป็นนัย ๆ กับพวกเขา
จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและฮวงเหลี่ยนชิ้นต่างก็มองกันและกันด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
แต่พอมาคิดดูอีกที่แล้ว ก็รู้สึกได้ว่าสมเหตุสมผลอยู่
สําหรับจอมกระบี่แล้วเนี่ย ใครมันจะไม่อยากได้วิชาดาบของโจวฉวนกันล่ะ?
โจวฉวนจีเดินไปที่ศาลาหิน และบอกให้พวกเขานั่งลง
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว เขาก็ขอให้ฮวงเหลี่ยนชินช่วยเสิร์ฟชาให้เขา
“พูดสิ่งที่เจ้าต้องการมา แล้วข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าเอง”
โจวฉวนจําพูด การคุยกันเมื่อครู่นี้ทําให้พวกเขาเข้าใจได้ว่า ยอดกระบี่จาวฉงกําลังปิดบังปัญหาบางอย่างที่หนักหนาเกินกว่าจะพูดได้ไว้อยู่
ด้วยความสามารถเช่นนี้ เขากลับเดินทางด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีแม้แต่นักอยู่หรืออาจารย์ เพราะงั้นมันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่
ยอดกระบี่จาวฉงรู้สึกลังเลใจ แต่พอเขานึกถึงความแข็งแกร่งของโจวฉวนจีแล้ว เขาก็ตอบออกมา “ข้ามีคนที่ต้องการล้างแค้นอยู่ ในมหาจักรวรรดิเฉิน”
มหาจักรวรรดิเฉินเป็นเพื่อนบ้านกับมหาจักรวรรดิโจว
ความกว้างใหญ่ไพศาลของดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองนั้นเทียบได้กับมหาจักรวรรดิโจวเลยทีเดียว ทั้ง 2 จักรวรรดินั้นทํามาค้าขายด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีเพียงน้อยคนนักในมหาจักรวรรดิโจวที่จะรู้ถึงข้อมูลเกี่ยวกับมหาจักรวรรดิเฉิน
“ข้าจะช่วยเจ้าล้างแค้นเอง” โจวฉวนจําพูดขณะพยักหน้าให้
“ท่านจะไม่ถามหน่อยว่าเป็นใครน่ะ?” ยอดกระบี่จาวฉงถามด้วยความประหลาดใจ “จะเป็นยังไงถ้าศัตรของข้าคือจักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิเฉินล่ะ?”
โจวฉวนจีชายตาไปยังเขาและพูดขึ้นว่า “ให้เวลาข้าสัก 100 ปี ต่อให้จะเป็นจักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิเฉิน ข้าก็จะตัดหัวแล้วนํามาให้เจ้าเอง”
จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและเลี้ยงฉือน้อยไม่รู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะยังไงซะศัตรูของโจวฉวนจีก็เป็นองค์ราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวอยู่แล้ว
ถึงแม้การลอบสังหารนางจะยากน้อยกว่าการฆ่าจักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิเฉินอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่อยู่ดี
ยอดกระบี่จาวฉงรู้สึกหวั่นเกรงในความกล้าบ้าบินของโจวฉวนจี เขากลืนน้ําลายเสียงดัง และไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
ในตอนนั้นเอง ฮวงเหลี่ยนชินก็เดินมา ก่อนจะรินน้ําชาให้พวกเขา
เจ้าหนทรายสามตากระโดดขึ้นมาบนโต๊ะหิน พร้อมทั้งลากเจ้างสีดาตัวจ้อยมาด้วย
“ขะ… ข้า… ข้าเกือบได้ตายจริงแล้ว…”
เจ้างูสีดตัวจอยครวญครางออกมา และดึงดูดความสนใจของยอดกระบี่จาวฉงเข้า
เขาถามด้วยความสงสัย “หนูทรายสามตาที่สามารถระบุตําแหน่งของสมบัติได้ทั่วทั้งโลกหรอ… ส่วนเจ้างูนี่คือ…”
“มันชื่อจ้าวมังกรเกล็ดทมิฬน่ะ เคยได้ยินชื่อมันมาบ้างรึเปล่าล่ะ?” โจวฉวนจีตอบอย่างสงบนิ่ง
ยอดกระบี่จาวฉงเบิกตากว้างและถามขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่ามันเป็นถึงราชาปีศาจระดับ 5 หรอ? แล้วไม่ใช่ว่ามันกับหลี่จือเหมยโดนจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ฆ่าตายไปแล้วหรอ?”
จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถอนหายใจอย่างเนือย ๆ “เสี่ยวจึงหงเป็นศิษย์ของอาจารย์ข้านะ เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
ยอดกระบี่จาวฉงตะลึงค้าง
เสี่ยวจึงหงเป็นศิษย์ของเทพกระบี่โจวเนี่ยนะ?
ถึงเขาจะมีพรสวรรค์ที่มากกว่าเสี่ยวจึงหงก็เถอะ แต่ตอนนี้เขาก็ยังอ่อนแอกว่าเสี่ยวจึงหงมากเลยนะ
ถ้าที่จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพูดเป็นความจริงล่ะก็ ถ้างั้นเป็นไปได้มั้ยว่าจ้าวมังกรเกล็ดทมิฬนี่จะเป็นของขวัญที่โจวฉวนจได้มาจากจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์นะ?
ในขณะที่เขากําลังจมอยู่ในความคิดมากขึ้น ภาพโจวจวนจีที่อยู่ภายในใจของเขาก็เริ่มยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เจ้าต้องสอนวิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงสุดให้เขา แล้วเจ้าต้องสอนจนกว่าเขาจะบรรลด้วย”
จู่ๆ โจวฉวนจีก็ชี้ไปยังจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและออกคําสั่งกับยอดกระบี่จาวฉง
เมื่อได้ยินอะไรแบบนั้นแล้ว ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกตกใจ
จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจรู้สึกประหลาดใจมาก ขณะที่ยอดกระบี่จาวฉงขมวดคิ้วใส่
แต่ในตอนที่เขากําลังจะพูดนั่นเอง โจวฉวนจีก็พูดว่า “หลังจากที่เจ้าเริ่มสอนเขาจนบรรลุไปได้ระดับนึ่งแล้ว ข้าถึงจะเริ่มสอนวิชาดาบขั้นที่สูงยิ่งขึ้นให้เจ้า”
“จะว่าไปแล้วเจ้าเคยสอนวิชาดาบให้ใครเป็นการส่วนตัวมาก่อนรึเปล่าล่ะ?”
ยอดกระบี่จาวฉงไม่สามารถตอบกลับไปได้ เขามันเป็นพวกหมกมุ่นในวิชาดาบมากอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจะไปมีเวลาสอนให้คนอื่นได้ไงกันล่ะ?
ฮวงเหลี่ยนชินยิ้มให้และพูดขึ้นมา “เมื่อก่อนตอนที่จอมกระบี่ผู้องอาจเข้ามาอยู่กับพวกเราน่ะ นายท่านก็บอกให้เขาสอนวิชาดาบให้ข้าเหมือนกันล่ะ”
จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจพยักหน้าและพูด “การสอนวิชาดาบให้ผู้อื่นจะช่วยให้เจ้ามองเห็นปัญหาที่เขาไม่เคยเห็นระหว่างฝึกได้ด้วยนะ นายท่านไม่ปล่อยให้พวกเราทํางานเสียเปล่าหรอกน่า”
เมื่อยอดกระบี่จาวฉงได้ยินก็เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา
มันก็อาจจะเป็นแนวทางให้ข้าจริง ๆ ก็ได้
ในทางกลับกัน โจวจวนจีที่กําลังดื่มชาอยู่ด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง และดูราวกับบุคคลที่ไม่อาจจะหยั่งถึงได้
แต่ในใจก่าลังขาลั่นเชียวล่ะ
จริง ๆ แล้วข้าก็แค่อยากให้พวกเจ้าสอนวิชาดาบให้กันเองเท่านั้นแหละ
ในที่สุดยอดกระบี่จาวฉงก็ตอบตกลง เพราะดูยังไงเขาก็น่าจะมีวิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงสุดอยู่แล้ว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขารวบรวมวิชาดาบเอาไว้มากมายมายจากการเอาชนะศัตรูของเขา
และดังนั้นแล้ว จางฉงเจียนจึงได้อาศัยอยู่ด้วยกันกับพวกเขาที่ห้องข้าง ๆ ของจอมกระบี่ผู้องอาจ
2 วันหลังจากนั้น โจวจวนจีก็มายังหอสมุดกระบี่ภายใต้การนําทางของศิษย์จากสํานักเสี่ย
หอสมุดกระบี่นั้นตั้งอยู่ภายในสํานักเสี่ย เป็นตึกที่สูงถึง 15 เมตร และกินพื้นที่กว่าครึ่งของที่ดินคฤหาสต์ตระกูลจาง ศิษย์สํานักเสี่ยหลายสิบคนกําลังเฝ้ายามปกป้องสถานที่อยู่ ขณะที่มีผู้อาวุโส 2 คนนั่งอยู่หน้าประตูและฝึกฝนวรยุทธอยู่เงียบ ๆ
เสี่ยหวโหยวและเหล่าผู้อาวุโสคอยเดินตามหลังโจวฉวนจี
“เข้าไปสิ 3 วันนับจากนี้ไป จะมีคนไปแจ้งให้ท่านออกมาเอง”
เสี่ยหรูโหยวยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แต่กลับเห็นเหงื่อที่กําลังไหลหยดลงจากหน้าผากเขาได้อย่างชัดเจน
โจวจวนจีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปยังหอสมุดกระบี่ทันที
ปิ้ง!
ประตูหอสมุดกระบี่ถูกปิดลง และรอยยิ้มบนใบหน้าเสี่ยหวูโหยวหายไปวับไปโดยพ
ลัน
เขากัดฟันและถามขึ้นมา “เจ้าคิดว่าเขาจะเรียนไปได้มากเท่าไหร่กัน?”
เหล่าผู้อาวุโสต่างมองกันและกันด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า และไร้ซึ่งใครตอบกลับ
หัวใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึงผลลัพธ์ในการทดสอบขั้นที่ 3 ของงานประชุมกระบี่
ในเวลาเดียวกัน โจวจวนจีที่ยืนอยู่หน้าประตูหอสมุดกระบี่ก็มองไปยังชั้นหนังสือมากมายมหาศาลที่อยู่ ณ เบื้องหน้าของเขาด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาดบนใบหน้า “ถ้าข้าเรียนหมดนี่ไม่ได้ ข้าก็มีชีวิตอยู่ในนามของเทพกระบี่โจวไม่ได้หรอกนะ!” เขาหัวเราะลั่น
เขาตั้งใจตะโกนเสียงดังลั่นออกมา และให้มากพอจะดังลั่นออกไปยังนอกหอสมดกระบี่
เสี่ยหวุโหยวและเหล่าผู้อาวุโสแห่งสํานักเสี่ยต่างก็เริ่มทําหน้าตึงกันขึ้นมา