ตอนที่ 61 : ดาบในตํานานที่ทรงพลังที่สุด
“จริงด้วยครับ ท่านเทพกระบี่จะต้องชนะในงานประชุมกระบี่นี้อย่างแน่นอน”
“
จางหรูหยูพยักหน้าพลางพูดตอบและมองไปทางโจวฉวนจีด้วยความชื่นชมนับถือ
หลังจากที่เขาได้ยินมาว่าในหมู่พวกที่เมาทั้งหมดในวันนั้นโจวฉวนจีคือคนที่ตื่นเร็วที่สุดเขาก็นับถือในตัวโจวฉวนจีมากขึ้นไปอีก
แม้แต่ในวงเหล้าพวกเขาก็ยังเอาชนะเทพกระบี่โจวไม่ได้เลยด้วยซ้ํา
ฉะนั้นเขาจะต้องเก่งกว่าทุก ๆ คนในทุก ๆ ด้านแน่
“จะว่าไปงานประชุมกระบี่จะเริ่มเมื่อไหร่? แล้วกติกาเป็นยังไง?” โจวฉวนจี ถามขึ้นมา
โจวเฉิงซินมองไปทางเขาก่อนจะตอบพลางยิ้มให้ “ในทุก ๆ 5 ปี งานประชุมกระบี่ที่จัดขึ้นในเมืองจ้าวกระบี่จะได้รับความสนใจมากที่สุดในมหาจักรวรรดิโจวทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมหาเศรษฐีตลอดจนจอมยุทธผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านต่างก็มารวมตัวกันที่งานนี้ เพราะการเตรียมงานเลยต้องใช้เวลานานหน่อยอย่างน้อยก็สัก 3 เดือนล่ะนะ”
“ส่วนเรื่องกฎ มีแค่เสี่ยหรูโหยวเท่านั้นที่รู้ครับ”
ตั้ง 3 เดือนเลยหรอ?
โจวฉวนจีขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าต้องรอนานเกินไป
การคัดเลือกแห่งสวรรค์ของมหาจักรวรรดิโจวก็ใกล้เข้ามาเต็มที่แล้วมีเวลาไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ํา
เขารู้สึกลังเลขึ้นมาทันที หรือเขาควรจะรอไปอีกสัก 10 ปีดีนะ?
แต่ถ้าเขารอไปอีก 10 ปี ผู้คนก็คงจะลืมเรื่องแม่นางจาวฉวนไปแล้วแถมพอถึงตอนนี้โจวหยาหลงก็คงจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ไปแล้วด้วย
หากโจวหยาหลงได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิล่ะก็ ถ้าเขาลอบสังหารราชินีแห่งมหาจักรวรรดิโจวเมื่อไหร่ตอนนั้นเขาคงได้กลายเป็นศัตรูกับคนทั้งมหาจักรวรรดิโจวแน่
แต่ตอนนี้…
องค์จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวยังครองบัลลังก์อยู่และโจวหยาหลงก็เป็นแค่องค์ชายที่เขาห่วงมากที่สุดก็เท่านั้นเพราะงั้นถ้าโจวฉวนจีเผยพลังของเขาออกไปล่ะก็องค์จักรพรรดิอาจจะหันมาสนใจและปกป้องเขาแทนก็ได้
เหตุผลที่ว่าทําไมองค์จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวถึงจะส่งมอบบัลลังก์ให้พวกลูก ๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของวรยุทธแล้วและกําลังจะก้าวขึ้นสู่การเป็นเซียน
แต่มหาจักรวรรดิโจวนั้นไม่สามารถอยู่ ได้หากไร้ซึ่งผู้นํา
พอเห็นโจวฉวนจีขมวดคิ้วโจวเฉิงซินก็ถามขึ้นมา“หรือว่าท่านมีธุระสําคัญอะไรที่ต้องไปทํารึเปล่า?”
“เปล่า ไม่มีอะไร ข้ารอได้” โจวฉวนจuส่ายหัวขณะที่พูด
เมื่อโจวเฉิงซินได้ยินก็ยิ้มให้ “พอดีข้าคิดแผนบางอย่างที่จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงของท่านได้น่ะท่านสนใจรึเปล่าล่ะ?”เขาพูดเสนอ
ชื่อเสียงนั้นไม่อาจสร้างขึ้นได้จากลมปากแค่เพียงอย่างเดียว ในบางครั้งก็ต้องใช้เล่ห์กลบ้าง
ในฐานะคนในราชวงศ์แล้วเขารู้ดีว่าจะต้องทํายังไง
ภาพลักษณ์ของราชวงค์ที่ทั้งมีความเมตตาและความเที่ยงธรรมนั้นล้วนแต่ถูกวางแผนมาทั้งสิ้น
“จําเป็นต้องทําแบบนั้นด้วยเหรอ?” โจวฉวนจีตอบกลับ
แต่ในใจลึก ๆ แล้วเขากลับรู้สึกดีใจสุดๆ พี่ชายคนเล็กของเขานี่เป็นพวกเจ้าแผนการซะจริง
โจวเฉิงซินพยักหน้าและพูดอย่างชื่นชมว่า “สมแล้วจริง ๆ ข้าคงไม่อาจเทียบได้กับบารมีของท่านเทพกระบี่จริง ๆ ล่ะ
ครับ”
เดี๋ยวนะ ฮัลโหล!
*ข้าแค่พูดถ่อมตนไปตามมารยาทเฉย
ๆ *
ถึงแม้โจวฉวนจีจะยิ้มให้เขา แต่เขาก็แอบก่นด่าโจวเฉิงซินในใจว่านี่ EQ (ความฉลาดทางอารมณ์)ของเจ้าหายไปไปไหนหมดเนี่ย?
แล้วเจ้าจะไปแย่งบัลลังก์จากคนอื่นได้ยังไงถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้เนี่ย?
โจวเฉิงซินยังคงพูดคุยต่ออยู่อีกสักพักแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับวิธีสร้างชื่อเสียงให้กับโจวฉวนจีอีกโจวฉวนจีเลยเริ่มรู้สึกหมดความสนใจที่จะคุยด้วยต่อ
เมื่อสังเกตเห็นแบบนั้น โจวเฉิงซิงเลยไม่อยากจะรบกวนพวกเขาต่อก่อนจะจากไปในไม่ช้า
โจวฉวนจีพาเจียงฉือน้อยกลับไปที่ห้องของพวกเขา
“เจ้าหมอนั่นมันโงรึเปล่าเนี่ย!”
เจียงฉือน้อยป้องปากพลางหัวเราะคิกคัก “ใครบอกให้เจ้าแกล้งทําเป็นมีบารมียิ่งใหญ่กันเล่า?”เธอพูด
โจวฉวนจียักไหล่ตอบอย่างทําอะไรไม่ถูกก่อนจะเริ่มฝึกวรยุทธต่อบนเตียง
ในอีก 3 เดือนต่อมา โจวฉวนจีได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าไปกับการฝึก เขามีทั้งอาหารบํารุงกําลังมากมายอยู่ภายในสุดยอดช่องเก็บของ แล้วยังมีปราณกระบี่อาคมกายของคําอีกเลยทําให้วรยุทธของเขาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก
ทุก ๆ 10 วัน เขาจะพาเจียงฉือน้อยออกไปเดินเล่นยังไงซะเธอก็เป็นแค่เด็กสาววัย 15 ปีที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในหลายสิ่งหลายอย่างอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกัน รายละเอียดเกี่ยวกับผลการทดสอบของเทพกระบี่โจวในงานประชุมกระบีนั้นก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว
เรื่องที่ว่าเขาสามารถเรียนรู้วิชาดาบระดับทมิฬขั้นสูงได้ภายในเวลาอันสั้นยังไงล่ะ!
ข่าวลือมากมายหลายแบบที่เล่าเกินจริงแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
ภายในเดือนเดียวนามเทพกระบโจวก็ดังไปไกลทั่วเขตชายแดนของมหาจักรวรรดิโจวแล้วผู้คนมากมายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่าหวาดกลัวสําหรับยอดกระบี่จาวฉง และดาบอุดรวายุแห่งโจวเลยทีเดียว
หลังจากที่โจวฉวนจีได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความตกใจโจวเฉิงซินนี่เจ้าแผนการจริงๆด้วย
พี่ชายคนเล็กของเขาจะต้องมีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่!
จางเถียนเจียนและเหล่าลูกชายของเขาต่างก็รู้สึกตื่นเต้นกันมากเมื่อได้ยินข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วข้างนอกราวกับไฟลามทุ่ง
พวกเขายังได้ยินกันมาอีกว่า ที่โรงพนันเริ่มเปิดให้ลงเดิมพันแล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
โจวฉวนจีเลยเอาหินวิญญาณจํานวนหนึ่งออกมา และเอาให้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเอาไปใช้ลงพนันในขณะ เดียวกันเขาก็ขอให้โจวเฉิงซินช่วยหาโรงพนันที่ไว้ใจได้ให้ด้วย
เพราะเขาจะลงเดิมพันทั้งหมดว่าเขาจะชนะยังไงล่ะ!
มันก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าเขาจะไม่มั่นใจว่าเขาจะชนะแต่มีเพียงผู้ที่เต็มใจจะเสี่ยงเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ!
3 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และแล้วโจวฉวนจีก็เลื่อนขึ้นระดับบรรลุญาณขั้นที่ 3 มาได้ด้วยการช่วยเหลือของอาหารบํารุงกําลังที่กินเข้าไป
เจ้างูสีดําตัวจ้อยมักจะร้องตะโกนออกมาบ่อย ๆ ว่า เขามันไม่ใช่มนุษย์แล้ว!
เขาต้องเป็นปีศาจโบราณกลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน
ในวันนี้นี่เอง…
เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบก็ดังขึ้นมาภายในใจของโจวฉวนจี
“ดาบชโลมโลหิตได้ทําการอัพเกรดเสร็จสิ้นแล้ว เลื่อนขึ้นจาก ระดับเงินเป็นระดับทอง!”
ระดับทองหรอ?
โจวฉวนจีแอบรู้สึกค่อนข้างผิดหวังทําไมไม่อัพขึ้นเป็นระดับอเมทิสต์ไปเลยฟะ?
และข้อมูลของดาบชโลมโลหิตก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา
ชื่อดาบ : ดาบชโลมโลหิต
ระดับ : ทอง
คําอธิบาย : เป็นดาบที่ดื่มเลือดยิ่งได้รับเลือดมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็ยิ่งฉายแววออกมามากเท่านั้นขณะเดียวกันก็จะช่วยเพิ่มจิตสังหารของเจ้าของดาบให้อีกด้วยอีกทั้งพลังของดาบจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นตราบเท่าที่การต่อสู้ยังคงดําเนินต่อไป
หึมม?
*พลังของดาบจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นตราบเท่าที่การต่อสู้ยังคงดําเนินต่อไปหรอ?*
โจวฉวนจีสังเกตเห็นข้อมูลสําคัญนี้ก่อนจะถามขึ้นมาในใจ
“ผลจากการที่ดาบชโลมโลหิตนั้นได้รับการอัพเกรดขึ้นเป็นระดับทองขั้นสูงทําให้ระหว่างการต่อสู้ยิ่งดาบนั้นได้ดูดซับเลือดมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเพิ่มพลังให้กับท่านเจ้าของดาบมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงพลังของท่านเจ้าของดาบก็จะกลับคืนสู่ดังเดิมอีกครั้ง ถ้าท่านเจ้าของดาบไม่ได้บาดเจ็บอะไรเช่นนั้นก็ไม่มีผลข้างเคียง”
คําตอบของจิตวิญญาณแห่งดาบนั้นถึงกับทําให้แววตาของโจวฉวนจีนั้นเปล่งประกายขึ้นมา
ถ้าเป็นงั้นจริง ดาบชโลมโลหิตก็เป็นเหมือนเครื่องจักรสังหารในสนามรบเลยน่ะสิ!
ด้วยพลังแบบนี้แล้วดาบชโลมโลหิตก็จะกลายเป็นดาบในตํานานที่ทรงพลังที่สุดของเขา!
เขาหยิบดาบชโลมโลหิตออกมาทันทีความยาวของใบดาบสีเลือดนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยลายที่อยู่ตรงกลางใบดาบนั้นเหมือนกับงูสีดํามันดูน่ากลัวสุด ๆ
เมื่อนําดาบชโลมโลหิตออกมาทั่วทั้งห้องก็ท่วมท้นไปด้วยจิตสังหารจนแม้แต่เจียงฉือน้อยที่กําลังฝึกอยู่ก็ยังรู้สึกตกใจ
เธอมองไปที่ดาบชโลมโลหิตที่อยู่ในมือโจวฉวนจีก่อนจะถามขึ้นมา “นี่มัน… ดาบอาบเลือดหรอ?”
เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงดาบโค้งที่โจวฉวนจีชิงมาจากดาบกระหายโลหิตนั่น
โจวฉวนจีพยักหน้าตอบขณะที่ลูบดาบชโลมโลหิต “ดาบเล่มนี้ข้าจะเอาไว้ใช้ แก้แค้นยังไงล่ะ”เขาพูด
เจียงฉือน้อยเดินมาหาเขาและถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “มันอันตรายเปล่า?”
สิ่งที่เธอสัมผัสได้จากดาบชโลมโลหิตนั้นมันเหมือนกับดาบสีโลหิตเลย
มันเป็นดาบที่ชั่วร้ายเกินไป!
เธอกังวลว่าโจวฉวนจีจะถูกความชั่วร้ายครอบงําจิตใจเพราะดาบเล่มนั้น
เหมือนกับพวกที่หลงใหลในอํานาจและเริ่มสูญเสียจิตใจไป ตามตํานานที่เธอเคยได้ยินมา
“ไม่ต้องห่วงหรอก ดาบเล่มนี้จะไม่ทําอันตรายใด ๆกับข้าแน่นอน เพราะร่างกายของข้าน่ะไม่เหมือนคนอื่นข้าเชี่ยวชาญในเรื่องการกดออร่าปีศาจยังไงล่ะ!”เขาพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
เขาเริ่มพูดโม้ออกมาอย่างไม่อายปาก
“จริงหรอ?”
เจียงฉือน้อยรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ในตอนนั้นเอง เจ้าหนูทรายสามตาก็ลากเจ้างูสีดําตัวจ้อยเข้ามา
เจ้างูมองไปทางดาบชโลมโลหิตเล่มนั้นพลางเบิกตากว้างและพูดขึ้นมา“เป็นดาบสังหารที่น่ากลัวอะไรขนาดนี้เนี่ย!ไอดาบเล่มนี้มันมาจากไหนกัน?ถ้าไอพวกสํานักมารรู้เรื่องนี้เข้าละก็มีหวังเกิดการฆาตกรรมหมู่แหง”
โจวฉวนจีเหลือบไปมองมันก่อนจะพูดว่า“ดาบของเทพกระบี่ยังไงล่ะเจ้าคิดว่าไง?”
เจ้างตัวจ้อยสบถขึ้นมาในใจนี่เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรอะ?
เจ้ามันก็แค่เด็กที่โง่เขลาเท่านั้นแหละ!
*นี่เจ้าทําตัวแบบนั้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองรึไงกัน?*
*แล้วนี่เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรอว่าเจ้าเป็นเทพกระบี่น่ะ?*
*รอจนกว่าข้าจะฟื้นตัวกลับมาได้ก่อนเถอะแน่นอนว่าข้าจะ…*
*หนียังไงล่ะโว้ย!*
โจวฉวนจีเก็บดาบชโลมโลหิตเข้าสุดยอดช่องเก็บของและพูดกับเจียงจือน้อยว่า“จะว่าไปคาถาที่พวกเราซื้อมาครั้งที่แล้วเป็นไงบ้างล่ะ? เจ้าอยากจะซื้อเพิ่มอีกมั้ย?”
เจียงฉือน้อยนั้นมีพรสวรรค์ในการใช้คาถาทั้ง 5 ธาตุโจวฉวนจีเลยซื้อตําราคาถาให้เธอทุกครั้งที่เขาออกไปข้างนอกเอง
ตอนนี้เธอก็ได้บรรลุขั้นพื้นฐานของธาตุไฟลมและแล้ว
รวมถึงคาถารักษาด้วย เธอมักจะฝึกอยู่ตลอด จนตอนนี้เธอได้เข้าสู่เส้นทางแห่งผู้ใช้อาคมและผู้รักษาแล้ว
เจียงฉือน้อยพยักหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ข้าคิดว่าข้าค่อนข้างจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วล่ะอย่างตอนที่ฝึกต่อสู้เนี่ยพี่เหลี่ยนชินก็แทบจะเข้าใกล้ข้าไม่ได้เลยด้วย” เธอพูดขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
MANGA DISCUSSION