หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 89 พาพระมาดู (1)
เว่ยจวินมั่วหันมามองหนานกงมั่ว หนานกงมั่วยังคงยิ้มและก้าวเดินนำขึ้นไปก่อน
ทั้งสองมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา เมื่อเดินขึ้นแน่นอนว่าไม่ได้ใช้พละกำลังอะไรมากมาย ถนนเส้นนี้เงียบสงบดี เดินไปได้ครึ่งทางจึงหันกลับมามองทะเลดอกไม้หลากสีด้านล่าง เห็นผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ไปมา ยิ่งทำให้มีเสน่ห์เป็นดั่งนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอู๋สยามีวรยุทธเก่งกาจเพียงนี้” เว่ยจวินมั่วหันกลับไปมองพลางก้าวเดินไปข้างหน้าด้วย เขาหันกลับมามองหนานกงมั่วอยู่บ่อยครั้ง แม้เดินมานานถึงเพียงนี้แล้วหนานกงมั่วก็ยังหายใจได้อย่างมั่นคง ท่าทางดูสบายๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังภายในนั้นไม่ธรรมดา หนานกงมั่วหันไปมองเขาเล็กน้อย เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านไม่แปลกใจที่ข้ามีวรยุทธ์หรือ” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น “น่าจะเป็นอาจารย์ท่านนั้นสอน…ไม่สิ วรยุทธ์ของอาจารย์ท่านนั้นคล้ายกับไม่ได้ดีเท่าอู๋สยา อู๋สยายังมีอาจารย์ท่านอื่นอีกหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มตอบ “ไม่มีอาจารย์ท่านอื่นอีกแล้ว แต่ยังมีอาจารย์อาอีกหนึ่งท่าน ข้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าวรยุทธ์ของเว่ยซื่อจื่อเองก็ไม่เลวเช่นกัน” ดูจากการที่เว่ยจวินมั่วไปมาจวนฉู่กั๋วกงโดยที่ไม่ถูกใครจับได้ ก็เพียงพอให้รู้ได้แน่ชัดแล้วว่าวรยุทธ์ของเว่ยจวินมั่วนั้นดีกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก ขณะเดียวกันมันยิ่งทำให้นางสงสัยว่าระหว่างวรยุทธ์ของนางกับเว่ยจวินมั่วใครจะมีวรยุทธ์สูงกว่ากัน
“ประมือกันสักตั้งหรือไม่” หนานกงมั่วเลิกคิ้วถาม
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว เขาพาอู๋สยาออกมา ไม่ได้อยากพานางออกมาต่อสู้กันเสียหน่อย เพียงแต่…สถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่สู้คงไม่ได้ หากแม้แต่จะเอาชนะอู๋สยายังไม่ได้ จะสู่ขอนางมาเป็นภรรยาได้เยี่ยงไร นี่เป็นสิ่งที่เสด็จลุงเยี่ยนอ๋องสอนเอาไว้ แน่นอน เยี่ยนอ๋องเคยกล่าวว่า เกิดเป็นบุรุษแม้แต่สตรียังสู้มิได้ยังกล้าที่จะเป็นบุรุษอยู่อีกหรือ สิ่งที่เว่ยซื่อจื่อเข้าใจคือ หากวรยุทธ์ของเขามิได้สูงกว่าอู๋สยา อู๋สยาจะต้องดูหมิ่นเขาแน่
เช่นนั้นก็…สู้กันเถอะ!
ทั้งสองหยุดลงและเผชิญหน้าต่อสู้กันบนขั้นบันไดหิน
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น คว้าดาบขนาดเหมาะมือที่อาจารย์อาของนางให้เอาไว้มาถือในมือ สู้สุดกำลังราวกับสิงโตสู้กับกระต่าย นางไม่เคยประมาทต่อคู่ต่อสู้
เว่ยจวินมั่วหมดทางเลือก ยกมือขึ้นช้าๆ ดาบยาวเลื่อนเข้ามาอยู่ในมือของเขา
“เชิญ” สิ้นคำนั้น หนานกงมั่วก็พุ่งเข้าหาเว่ยจวินมั่วอย่างไม่เกรงใจ เว่ยจวินมั่วเองก็คว้าดาบกวัดแกว่งเข้าใส่ หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม กระโดดขึ้นสูง ปลายดาบแหลมคมลอยขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นพุ่งเข้าหาเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วเบี่ยงตัวหลบ แขนเสื้อยาวตวัดปัดดาบของหนานกงมั่วไปอีกฝั่ง เอ่ยเสียงเรียบ “อู๋สยา ดาบสั้นของเจ้า กับดาบยาวของคู่ต่อสู้เช่นข้า เช่นนี้เจ้าเอาชนะข้ามิได้หรอก”
หนานกงมั่วยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
ชั่วพริบตาเดียวร่างเพรียวบางของหนานกงมั่วก็ขยับประชิดตัวเว่ยจวินมั่ว ดาบสั้นในมือสะท้อนแสงวาบขณะวาดผ่านใบหน้าของเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วสาวเท้าก้าวถอยหลังหลบ ทิ้งดาบยาวไปเสีย ระยะห่างของทั้งสองเขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้น นอกจากอาวุธสังหารระยะไกลและวิชาตัวเบาแล้ว สิ่งที่หนานกงมั่วถนัดที่สุดก็เห็นจะเป็นการต่อสู้ระยะประชิด อย่างไรเสียก็เป็นผลลัพธ์จากการฝึกมาจากทั้งสองโลกไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน แต่นางค้นพบว่าการต่อสู้ระยะประชิดของเว่ยจวินมั่วเองก็เก่งกาจไม่แพ้กัน หนานกงมั่วเคลื่อนไหวรุนแรงและดุดัน ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมุ่งโจมตีศัตรู ทว่าเว่ยจวินมั่วนั้นรอจังหวะ กำลังภายในของเขาล้ำลึกและแยบยลหลักแหลม เห็นได้ชัดว่าเป็นความเชี่ยวชาญของเขา สำหรับประสบการณ์นั้นทั้งคู่ไม่เป็นสองรองใคร นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม
ขณะต่อสู้กันอยู่ หนานกงมั่วก็รู้สึกห่อเหี่ยวอยู่ในใจ เว่ยจวินมั่วฝีมือร้ายกาจกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก นอกเสียจากจะใช้พิษเข้าช่วย มิเช่นนั้นนางไม่มีทางเอาชนะเขาได้ อีกทั้งกำลังของชายหญิงนั้นมีความแตกต่างมากเกินไป หากปล่อยเวลานานไปผู้ที่แพ้ไปแล้วแปดส่วนแน่นอนว่าย่อมเป็นนาง ความรู้สึกเช่นนี้…ช่างไม่น่าอภิรมย์ใจเสียจริง
หนานกงมั่วหดหู่ เว่ยจวินมั่วเองก็ตระหนก เขารู้อยู่แล้วว่าอู๋สยานั้นมีวรยุทธ์ ทว่าฝีมือวรยุทธ์ของอู๋สยาสูงกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มากทีเดียว เรียกได้ว่ามีฝีมือสูสีกับเขา และเขารู้ด้วยว่า อาวุธสังหารที่แท้จริงของอู๋สยาคือยาพิษและอาวุธลับ หากต้องต่อสู้ด้วยชีวิต กลัวว่าทั้งคู่คงได้ตายตกไปด้วยกันเป็นแน่ นั่นหมายความว่าหากลิ่นฉังเฟิงปรับมือกับอู๋สยา เกรงว่าจะแพ้มากเสียกว่าชนะ
ชั่วพริบตา ทั้งสองประมือมากว่าพันกระบวนท่าทว่ายังไม่อาจรู้ผลแพ้ชนะ เว่ยจวินมั่วสัมผัสได้ว่าลมหายใจของหนานกงมั่วเริ่มไม่นิ่ง ดวงตาจมลง มือที่จะผลักหนานกงมั่วออกกลับเปลี่ยนกระบวนท่า ไม่สนใจมือที่จู่โจมเข้ามาของหนานกงมั่ว กลับพุ่งตัวเข้าหามืออีกข้างของนางที่ถือดาบสั้นเอาไว้ หนานกงมั่วจะยอมเปิดโอกาสให้เขาได้เยี่ยงไร พลิกมือวาดดาบกลับไป เว่ยจวินมั่วเบี่ยงตัวหลบ มืออีกข้างของเขาคว้ามือซ้ายของหนานกงมั่วเอาไว้ อาศัยจังหวะที่นางกำลังตกใจหมุนตัวไปยืนซ้อนหลังและคว้าเอวนางเอาไว้ หนานกงมั่วโกรธจัด ยกมือตวัดดาบกลับไป เว่ยจวินมั่วคว้าข้อมือเอาไว้ เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “อู๋สยา ข้าชนะแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มเย็น “ท่านชนะงั้นหรือ” ยกเท้าขึ้นถีบไปด้านหลัง ตั้งใจจะทำร้ายเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วรีบเคลื่อนตัวหลบ หนานกงมั่วอาศัยจังหวะนั้นหลบหลีกออกจากการควบคุมของเขาจากนั้นพุ่งตัวเข้าประชิด ปลายดาบคมแนบชิดอยู่ที่ลำคอของเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วยิ้มพลางเลิกคิ้ว “ใครชนะ” เว่ยจวินมั่วเหลือบตาลงมองมือของเขาที่ยังคว้าจับอยู่ที่เอวของหญิงสาว เอ่ยยอมรับจริงจัง “เจ้าชนะแล้ว”
เสด็จแม่บอกว่าต้องยอมให้สตรี
หนานกงมั่วเก็บดาบกลับมา รู้สึกดีอยู่ในใจ ตั้งแต่อาจารย์อาและศิษย์พี่ออกไปท่องเที่ยว นางก็ไม่เคยได้ประมือกับใครจริงจัง กลับมาจินหลิงยิ่งไม่มีโอกาสแม้แต่จะขยับตัว วันนี้ได้สู้กับเว่ยจวินมั่ว ความอึดอัดตลอดหลายวันที่ผ่านมานั้นมลายหายไปมากทีเดียว ทว่าเพียงก้มหน้าลง มองเห็นมือที่เกาะเอวของตนอยู่ มุมปากย่อมกระตุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ปล่อย”
เว่ยจวินมั่วปล่อยมือออกเงียบๆ ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึก เพียงแต่ไม่รู้ทำไมหนานกงมั่วจึงรู้สึกว่าภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นมีความน้อยใจซ่อนอยู่
นางคงคิดไปเอง
เหลือบตามองชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง หนานกงมั่วเก็บดาบสั้นและเดินขึ้นบันไดขั้นต่อไป
วัดต้ากวงหมิงและวัดต้าเป้าเอินนั้นเป็นวัดโบราณสองแห่งของจินหลิง มิใช่เพียงเพราะมีพระภิกษุที่มีประวัติยาวนานและมีคุณธรรมยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุเป็นเพราะวัดถูกสร้างอยู่บนยอดเขาจื่ออวิ๋นที่มีทิวทัศน์เป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้มีชื่อเสียงมากมายได้ลงน้ำหมึกไว้ ณ ที่แห่งนี้ ที่นี่จึงมิได้เป็นเพียงถิ่นของศาสนาพุทธ ขณะเดียวกันยังเป็นสถานที่รำลึกของบรรดาปัญญาชนทั้งหลาย เป็นดั่งสถานที่ปลดปล่อยความคิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยามนี้พอดีกับที่เป็นฤดูของดอกโบตั๋น ผู้คนที่มาชมความงดงามของดอกไม้จากนั้นก็จะเดินเลยขึ้นมาจุดธูปไหว้พระ นับว่าเป็นเรื่องสวยงาม ตั้งแต่เชิงเขาก็เต็มไปด้วยสวนดอกโบตั๋นแล้ว ด้านในบริเวณวัดก็ปลูกดอกโบตั๋นเอาไว้มากมาย เพื่อเป็นการเสริมทัศนียภาพของวัดที่เดิมดูเคร่งครัดให้สบายตา
ก้าวเดินอย่างเชื่องช้ามาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือลานกว้างของวัดต้ากวงหมิง ลานกว้างถูกปูด้วยหินอ่อนทั้งหมด ผู้คนเดินผ่านไปมาขวักไขว่ไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปจุดธูป ทั่วทั้งลานกว้างปกคลุมไปด้วยกลิ่นธูปคละคลุ้ง มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์จำนวนมากตั้งอยู่บริเวณโดยรอบ ด้านหน้ายังมีดอกโบตั๋นสีสดใสประดับอยู่ด้วย เดิมลานกว้างตรงนี้เป็นพื้นที่ที่พระในวัดใช้ฝึกวิชาต่อสู้ ทว่าตอนนี้ไม่มีใครฝึกอยู่ตรงนี้แล้ว กลับกลายเป็นสถานที่จุดธูปไหว้พระของผู้มาเที่ยวชมมากมายแทน