หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 629 ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ (1)
ตอนที่ 629 ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ (1)
หนานกงมั่วครุ่นคิด รีบเอ่ย “ศิษย์พี่ เรื่องนี้คงต้องรอไปก่อน ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก” เมืองโยวโจวมีเรื่องมากมาย ยามนี้พวกเขาสามารถปลีกตัวออกมานอกเมืองได้นับว่าไม่เลวแล้ว วันนี้คงอยู่ต่ออีกไม่ได้ คุณชายเสียนเกอที่แทบยิ้มจนตาหยี ใบหน้ากลับแสดงท่าทีนิ่งสงบ “ไม่เป็นไร รอเจ้ามีเวลาเมื่อใดค่อยมาก็ไม่ต่างกัน”
“เช่นนั้นก็ดี ศิษย์พี่ไม่รีบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“คุณชาย ฮูหยิน” ไกลออกไป หลิ่วหันท่าทีองอาจ ใช้เวลาไม่นานก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสามคน หนานกงมั่วเลิกคิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่อันใดกัน มาที่นี่กันหมด” หลิ่วหันจนปัญญา เอ่ยตอบว่า “รายงานฮูหยิน เยี่ยนอ๋องส่งคนมาเชิญคุณชายและฮูหยินกลับเข้าเมืองโดยเร็วเจ้าค่ะ”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” รอยยิ้มของหนานกงมั่วพลันจางหาย เอ่ยเสียงเข้ม
หลิ่วหันเอ่ย “เอ่ยว่ามีคนจากเมืองหลวงมาเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว หันกลับมามองสบตากับเว่ยจวินมั่ว คนที่มากับขบวนเจ้าสาวก็ไม่ใช่คนมาจากเมืองหลวงหรือ ไยจึงมีมาอีกเล่า แน่นอน สองคนที่มานั้นมีตำแหน่งไม่สูงพอ คงไม่อาจจัดการหลายเรื่องได้ เช่นนั้นคนที่ทำให้เยี่ยนอ๋องเรียกตัวพวกเขากลับโดยเร็วได้ คิดว่าคงไม่ใช่คนธรรมดา
“ใคร” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม
หลิ่วหันเอ่ยเสียงเรียบ “เอ้อกั๋วกง เกาอี้ปั๋วและไต้เท้าโจวเซียงเจ้าค่ะ”
แม้แต่เว่ยจวินมั่ว ดวงตาก็อดที่จะฉายแววแปลกใจไม่ได้ เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เกาอี้ปั๋วสามารถละเลยได้ แต่เอ้อกั๋วกงและโจวเซียงสองคนนี้ อย่าว่าเพียงแค่มาร่วมงานพิธีแต่งงานของเชื้อสายหลักเยี่ยนอ๋องเลย แม้แต่มาร่วมงานพิธีของเยี่ยนอ๋องเองยังนับว่ายิ่งใหญ่แล้ว สองท่านนี้ ตอนนี้นับว่าเป็นขุนนางอันดับหนึ่งของราชสำนักก็ว่าได้ เซียวเชียนเยี่ยส่งทั้งสองคนมาพร้อมกัน…
ทั้งสองเอ่ยลาอาจารย์และอาจารย์อา ขี่ม้าเร็วมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองโยวโจว กลับมาถึงจวนเยี่ยนอ๋อง ไม้ทันได้เข้าไปรายงานพระชายาเยี่ยนอ๋องว่ากลับมาถึงแล้วก็ถูกเยี่ยนอ๋องเรียกตัวไปยังห้องหนังสือทันที ในห้องหนังสือ คุณชายทั้งสามของจวนเยี่ยนอ๋องต่างอยู่กันครบ เพียงแต่สีหน้าของเซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนเหว่ยนั้นดูตึงเครียด ทว่าเซียวเชียนจย่งยังคงสงบและสบายๆ เห็นได้ว่าเยี่ยนอ๋องเพียงให้เขาเข้ามาฟัง ไม่คิดจะให้เขาออกความคิดเห็นใดๆ ตัวเขาเองก็คงไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้นัก
“เสด็จลุง”
“นั่งลงคุยกัน” เยี่ยนอ๋องโบกปัดมือ บอกให้ทั้งสองนั่งลงคุยกัน เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนเหว่ยมองหนานกงมั่วด้วยความตกใจ พวกเขารู้ดีว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ให้ความสำคัญกับพี่ชายและพี่สะใภ้เพียงใด แต่ไม่รู้ว่าแม้แต่หารือเรื่องเหล่านี้บิดายังให้พี่สะใภ้มาด้วย หากรู้ว่าแม้แต่เสด็จแม่เองยังไม่อาจเข้ามาร่วมพูดคุยเรื่องเหล่านี้ได้ หนานกงมั่วจึงทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของน้องชายทั้งสอง หันไปมองเยี่ยนอ๋อง เอ่ย “เสด็จลุง ครั้งนี้ฝ่าบาทหมายความเช่นไรเพคะ”
เมื่อเทียบกับหลานชายที่พูดน้อยคำ เยี่ยนอ๋องชอบสนทนากับหลานสะใภ้ผู้นี้มากกว่า แม้จะเป็นสตรี แต่ใช่ว่าจะไม่มีสาระ ทุกครั้งที่เอ่ยปากยังสามารถเอ่ยตรงเป้าจุดสำคัญเสมอ ที่สำคัญก็คือนางไม่เหมือนเว่ยจวินมั่วที่กว่าจะเอ่ยได้แต่ละคำราวกับมันราคาตำลึงสองตำลึงอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนไม่รู้จะต่อความเยี่ยงไร สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือนางไม่ใช่บุรุษ ไม่เช่นนั้นคงได้เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจไปแล้ว
เยี่ยนอ๋องแค่นเสียงหยัน เอ่ยราบเรียบ “เขายังจะหมายความเช่นไรได้อีกเล่า หากไม่ใช่ไม่วางใจ จึงส่งคนมาดูว่าข้าคิดเยี่ยงไร”
เซียวเชียนเหว่ยขมวดคิ้ว เอ่ย “แต่ว่า เสด็จพ่อ ไยฝ่าบาทจึงต้องจับจ้องเพียงเรา ชินอ๋องที่มีกองทัพมากมายอยู่ในมือมิได้มีเพียงเสด็จพ่อคนเดียวนี่พ่ะย่ะค่ะ” คนที่มีกองกำลังอยู่ในมือมากมายนั่นคือหนิงอ๋องแห่งสีโจว คังอ๋องแห่งปาสู่ ไต้อ๋องแห่งปิ้งโจว เยี่ยนอ๋องมองบุตรชายเล็กน้อยทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด ชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่วเขารู้ดี แต่บุตรชายทั้งสามนั้นไม่รู้ เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ยามนี้ฮ่องเต้จัดการเชื้อพระวงศ์ในจินหลิงแล้ว บรรดาตระกูลขุนนางทั้งหลายก็ไม่อยากต่อล้อต่อถียงกับเขา แน่นอนว่าเขาต้องการหาคู่ต่อสู้ใหม่ เพียงแต่…หากเผชิญหน้ากับชินอ๋องมากมาย ใครใช้ให้เขามั่นใจเพียงนี้กัน”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าเป็นขุนนางในราชสำนักแน่นอนเพคะ” คนเหล่านั้นก็มีแต่ยกยอสรรเสริญฝ่ายเดียวกัน แม้เซียวเชียนเยี่ยจะเป็นคนชอบน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่อถูกยกยอมากว่าครึ่งปี ความเชื่อมั่นจึงขยายตัวอย่างไร้ขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเซียวเชียนเยี่ยเองก็ไม่ใช่คนถ่อมตัวแต่อย่างใด
เซียวเชียนชื่อเองก็เข้าใจว่าเสด็จพ่อไม่ต้องการเอ่ยอันใดมาก เอ่ยถาม “เช่นนั้นจะจัดการกับเอ้อกั๋วกงและไต้เท้าโจวเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องเอ่ย “พวกเขามาร่วมพิธีสมรสมิใช่หรือ หลังจากผ่านงานพิธีก็รีบไล่พวกเขากลับไป ช่วงนี้พวกเจ้าเองก็ระวังตัวด้วย” พวกเขาไม่ได้กังวลเอ้อกั๋วกง ยามนี้โยวโจวเองก็ไม่มีอันใดให้ราชสำนักจับผิดได้ แต่กับโจวเซียงนั้นเยี่ยนอ๋องไม่วางใจ โจวเซียงเคยถูกอดีตฝ่าบาทเนรเทศได้รับความลำบากไม่น้อย อีกทั้งตัวเขาก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อแต่อย่างใด ปัญญาชนเหล่านี้ที่ชอบทำนั่นก็คือชอบแอบอ้างเอาคำพูดมาใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน หากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยให้พวกเขาจับได้ก็จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” ทั้งสามเอ่ยพร้อมเพรียงกัน เพียงแต่เซียวเชียนชื่อจริงจัง เซียวเชียนเหว่ยตึงเครียด เซียวเชียนจย่งไม่ใส่ใจ
เซียวเชียนชื่อสามพี่น้องถอยออกไป หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วกลับถูกเยี่ยนอ๋องเรียกตัวเอาไว้ เมื่อในห้องหนังสือเหลือเพียงสามคนพลันเงียบขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง หนานกงมั่วลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยว่า “เสด็จลุง เซียวเชียนเยี่ยจับตามองจวนเยี่ยนอ๋อง เป็นเพราะ…จวินมั่วหรือไม่เพคะ”
เยี่ยนอ๋องเงยหน้าขึ้นมามองนาง พยักหน้าเบาๆ ยกมือขึ้นห้ามสิ่งที่ทั้งสองจะเอ่ยต่อ เอ่ยเสียงเข้ม “พวกเจ้าไม่ต้องคิดอันใดมาก ต่อให้ไม่มีเรื่องของจวินมั่ว เรื่องเหล่านี้ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะเป็นข้า หรือพี่น้องคนอื่นๆ ต่างรู้กันเป็นอย่างดี เพียงฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ที่ไม่อาจวางใจที่สุดก็คือบรรดาชินอ๋องที่มีกองกำลังมากมายอยู่ในมือเช่นพวกเรา” เซียวเชียนเยี่ยต้องการดึงอำนาจกองทัพออกไปจากมือชินอ๋อง กระทั่งอยากกำจัดผู้ปกครองเมืองด้วยซ้ำ สิ่งนี้ไม่ผิด ปัญหาก็คือเขาจะมีความสามารถนี้หรือไม่ ใครต่างก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้เขากำจัดได้ง่ายๆ ตามอำเภอใจ
หนานกงมั่วยิ้มขมขื่น หากไม่เป็นเพราะชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่ว อย่างน้อยเซียวเชียนเยี่ยก็คงไม่มุ่งเป้าไปยังจวนเยี่ยนอ๋อง
เห็นชัดว่าเยี่ยนอ๋องไม่สนใจสิ่งนี้ เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ต้องคิดมาก ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าลงมือกับข้าอย่างโจ่งแจ้งหรอก หากไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล เสด็จอาเหล่านี้ของเขาก็ไม่ใช่คนโง่”
หนานกงมั่วพยักหน้า เยี่ยนอ๋องเอ่ยต่อ “กับหยวนชุนไม่ต้องกังวล แต่เป็นตาเฒ่าโจวเซียงนั่น พวกเจ้าสองคนก็ระวังไว้สักหน่อย เชียนชื่อพวกเขาทั้งสามอย่างไรก็ยังไร้ประสบการณ์เกินไป”
“พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ เสด็จลุง” ทั้งสองพยักหน้า เอ่ยพร้อมเพรียง
เยี่ยนอ๋องสั่งคนจับตามองโจวเซียง แต่คนที่มาหาหนานกงมั่วเป็นคนแรกกลับเป็นหยวนชุน ยามนี้ต่างก็พักอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง อยากมาเยี่ยมก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด หนานกงมั่วกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับองค์หญิงฉังผิง สาวใช้ด้านนอกพลันวิ่งเข้ามารายงานว่าเอ้อกั๋วกงมาขอพบองค์หญิงและจวิ้นจู่ องค์หญิงฉังผิงชะงัก ไม่เข้าใจเล็กน้อย “ไยเอ้อกั๋วกงจึงตั้งใจมาพบข้าเล่า”
แม้ว่านางเป็นต้าจั่งกงจู่แต่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคนในราชสำนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเอ้อกั๋วกงที่เป็นกั๋วกงขุนนางขั้นหนึ่ง ยามนี้ยังเป็นบิดาของฮองเฮาอีก ด้วยตำแหน่งของเขา ไม่มาถวายพระพรองค์หญิงฉังผิงก็ไม่มีผู้ใดว่าอันใดได้