หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 610 การพระราชทานสมรสอย่างไม่คาดคิด (1)
ตอนที่ 610 การพระราชทานสมรสอย่างไม่คาดคิด (1)
ชายในชุดคลุมสีดำก็คือกงอวี้เฉินที่หายไประยะเวลาหนึ่ง กงอวี้เฉินส่งเสียงหยัน เอ่ยเสียงเข้ม “เตรียมม้า ข้าจะกลับราชสำนักเป่ยหยวน”
“เจ้าสำนัก ร่างกายของท่าน…” ชายชุดดำเอ่ยด้วยท่าทีลังเล นับตั้งแต่ต่อสู้กับเว่ยจวินมั่วครั้งนั้น ร่างกายของกงอวี้เฉินก็ไม่สู้ดีมาโดยตลอด แม้ปกติจะดูไม่ออกถึงสิ่งที่แปลกไป แต่หากเหน็ดเหนื่อยเกินไปมักทรมานเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้กงอวี้เฉินสูญเสียกำลังภายใน ไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไป นั่นหมายถึงเขาไม่อาจเหน็ดเหนื่อยมากเกินไปได้
“ไม่เป็นไร” กงอวี้เฉินยิ้มเย็น เอ่ย “ไม่เคยเสียเปรียบ คนพวกนี้ก็จะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยข้าต้องสนใจว่าพวกเขาจะอยู่หรือตาย ไปเถิด”
“ขอรับ เจ้าสำนัก”
กงอวี้เฉินหันกลับไป มองไปยังความมืดมิดในทิศทางที่โยวโจวตั้งอยู่ เอ่ยด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ “เว่ยจวินมั่ว…หนานกงมั่ว เยี่ยนอ๋อง…ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าจะรับมือกับหมากตัวต่อไปของข้าเยี่ยงไร แผ่นดินต้าเซี่ย…หึๆ…”
ไม่นาน ชายชุดดำไม่กี่คนก็ควบม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ากงอวี้เฉิน กงอวี้เฉินพลิกตัวขึ้นหลังม้าตัวหนึ่งในนั้น ส่งเสียงออกมา กลุ่มคนหายไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว
หนานกงมั่วฝึกฝนทหารผู้ใต้บังคับบัญชาดังเช่นในทุกๆ วัน มีประสบการณ์จากการรบมาหนึ่งครั้งเหล่าทหารจึงมีกำลังใจมากขึ้น แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะสู้ทหารทั่วไปในกองทัพไม่ได้ แต่หากต่อสู้กันตัวต่อตัวเมื่อไรพวกเขาก็มีฝีมือใกล้เคียงกับพวกนั้นได้ กระทั่งบางครั้งยังเหนือกว่าด้วยซ้ำ
สนามประลอง หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วยืนอยู่เคียงข้างกัน มองดูหัวหน้ากองธงคนหนึ่งของเว่ยจวินมั่วและผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของหนานกงมั่วกำลังต่อสู้กัน หนึ่งคนใช้กระบวนท่าทั่วไปที่ใช้ในกองทัพ ท่วงท่าสง่างาม อีกคนปราดเปรียว คล่องแคล่วและแม่นยำ ต่อสู้กันอย่างสูสี ทหารที่ยืนล้อมอยู่ด้านข้างกลับประหลาดใจ คนพวกนี้แน่นอนว่าพวกเขารู้จัก ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งเข้ามาในเขตกองกำลัง แน่นอนว่าตอนนั้นทุกคนต่างดูถูกต่างๆ นานา ไม่คิดว่าเวลาสั้นๆ เพียงเดือนกว่าๆ คนเหล่านี้กลับมีพัฒนาการกระทั่งฝีมือสูสีกับหัวหน้ากองธงที่ผ่านสนามรบมาไม่น้อย หากทุกคนเป็นเช่นนี้…
นายทหารที่หนานกงมั่วฝึกฝนต่างพากันเชิดหน้า ท่าทางภาคภูมิใจ แรกเริ่มที่มาอยู่ในกองทัพโดนดูถูกมาตลอด ยามนี้สามารถรู้สึกยินดีเมื่อผ่านสถานการณ์ลำบากนั้นมาแล้ว แน่นอนว่าต้องดีใจเป็นธรรมดา แน่นอนว่ายิ่งรู้สึกเคารพนับถือเว่ยฮูหยินที่มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเขามากยิ่งขึ้น
การต่อสู้ในครั้งนี้จบลงโดยนายทหารร่างเล็กใช้กริชจี้อยู่บนลำคอของหัวหน้ากองธง ทั้งสองลุกขึ้นมาประสานมือทำความเคารพซึ่งกันและกัน หัวหน้ากองธงเองก็ใจกว้าง เอ่ยเสียงดัง “ข้าแพ้แล้ว”
นายทหารเองเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “ข้าน้อยฝีมือต่ำต้อย หากอยู่ในสนามรบ ข้าอาจไม่ใช่ผู้ชนะก็เป็นได้ขอรับ” แม้จะชนะทว่าไม่ได้เย่อหยิ่ง เว่ยฮูหยินเคยบอกว่าต่อให้พวกเขาฝึกฝนมาดีเพียงใด หากประสบการณ์น้อยก็อาจตกอยู่ในกำมือของนายทหารที่ถูกฝึกฝนและผ่านสนามรบมามากได้เช่นกัน ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของหัวหน้ากองธงจึงดีขึ้นมามาก ทั้งสองกลับเข้าสู่หน่วยของตนเอง
เว่ยจวินมั่วกวาดตามองผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง เอ่ยเสียงเย็น “คิดแต่ว่าตนเองนั้นเก่งกาจไร้ผู้เทียมทาน ตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วรู้สึกละอายบ้างหรือไม่”
ทุกคนก้มหน้าด้วยความละอาย เว่ยจวินมั่วเอ่ยต่อ “เมื่อก่อนพวกเจ้าดูถูกพวกเขา ตอนนี้ยังไม่ถึงสองเดือน พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเท่าใดกัน”
เงียบ
“สามวันต่อจากนื้ ทุกคนฝึกฝนเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ต่อไปนี้จะมีการประลองทุกๆ ครึ่งเดือน หากแพ้อีกก็ทำเช่นเดิม”
ทุกคนคร่ำครวญ เดิมทีการฝึกฝนของพวกเขาก็หนักกว่าหน่วยอื่นอยู่แล้ว หากเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวพวกเขาคงต้องตายแน่ๆ แม้จะคร่ำครวญเพียงใด ทว่าทุกคนก็ยังปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่เพียงเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา หลายครั้งที่ต่อสู้กับเป่ยหยวน หน่วยของพวกเขานั้นมีจำนวนการสูญเสียน้อยทว่าผลงานกลับไม่น้อย นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผล อย่างไรชีวิตก็เป็นของตนเอง ทุกคนต่างก็มีเพียงชีวิตเดียวเหมือนๆ กัน
ชั่วพริบตาก็มาถึงเดือนหกเสียแล้ว แม้เป็นดินแดนทางเหนือทว่าก็เริ่มร้อนขึ้นมาแล้ว เดือนนี้ต้าเซี่ยและเป่ยหยวนทำสงครามน้อยใหญ่มาสิบกว่าครั้งมีแพ้มีชนะ ในที่สุดก็เป็นเป่ยหยวนทนไม่ได้ถอยทัพไป อย่างไรทหารของต้าเซี่ยก็เป็นฝ่ายรับ ด้านหลังมีกำลังคอยสนับสนุน ทว่าเป่ยหยวนที่เป็นฝ่ายบุก ราชสำนักเป่ยหยวนอยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้ เพียงมองก็รู้แล้วว่าไม่เห็นผลอันใด ฮ่องเต้เป่ยหยวนเองก็พิโรธแล้ว มีรับสั่งให้สลายกองกำลัง พวกเขายังต้องใช้เวลารักษาตัว รอถึงฤดูใบไม้ร่วงค่อยกลับมาปล้นชิงเพื่ออยู่ให้รอดในฤดูหนาว
ดังนั้น ความจริงชีวิตของชาวเป่ยหยวนก็คือ ฤดูใบไม้ผลิหาอาหารไปทั่วเขตทุ่งหญ้า หากไม่มีก็มาแย่งชิงเอาจากต้าเซี่ย บางครั้งยังถูกตีเหมือนหมา ฤดูร้อนทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม เลี้ยงม้าเลี้ยงแกะ ดื่มเหล้ากินเนื้ออย่างมีความสุข ฤดูใบไม้ร่วงทำสงครามกับต้าเซี่ย ฤดูหนาวใช้อาหารที่ปล้นมาเพื่อประทังชีวิต หากแย่งอาหารมาไม่ได้ก็ต้องผ่านฤดูหนาวไปด้วยความหิวโหย
มองเป่ยหยวนขี่ม้าไกลออกไป นายทหารที่เฝ้าอยู่ตามชายแดนก็พากันพ่นลมหายใจออกมา ในที่สุดก็มีเวลาได้หายใจหายคอ แม้จะบอกว่าไม่ใช่สงครามใหญ่ต้องลำบากลำบน แต่การต้องมาเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลานั้นก็ยากจะทนได้ เอ่ยตามหลักการ คนเป่ยหยวนถอนทัพกลับไปแล้ว เว่ยจวินมั่วเองก็ต้องกลับไปทำการเพาะปลูกยังที่เดิม ทว่าแม่ทัพจูมีคำสั่งออกมา ในเมื่อผู้บังคับการกองพันเว่ยมีประสบการณ์ในการฝึกทหาร เช่นนั้นก็ให้ทำการฝึกฝนอยู่ที่ด่านชายแดนต่อไป ส่วนเรื่องเพาะปลูก กองทัพมีคนมากมายที่จะรับหน้าที่นั้น ดังนั้นคนอื่นๆ จึงต้องน้อมรับคำสั่งและอยู่รับการทรมานจากผู้บังคับการกองพันเว่ยต่อไป
ทหารชุดแรกภายใต้การฝึกของหนานกงมั่ว ผ่านการฝึกระยะเวลาสองเดือนแล้ว ตามคำของหนานกงมั่วกล่าวได้ว่าสามารถไปเจอคนได้แล้ว วาจานี้ในสายตาคนอื่นกลับมองว่าถ่อมตัวเกินไป ต่อให้มองมาจากบนฟ้าก็ต้องยอมรับว่าอนาคตข้างหน้าคนเหล่านี้จะกลายเป็นกองกำกลังที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน หนานกงมั่วเป็นเพียงสตรี อีกทั้งยังเป็นหมอประจำกองทัพ แน่นอนว่าไม่อาจนำทัพ ดังนั้นในกองทัพไม่ว่าจะเป็นผู้นำน้อยใหญ่ นายทหารชั้นสูง ผู้บังคับการกองพัน ผู้บังคับการกองร้อยต่างพากับจับจ้องตาเป็นมันเพื่อหวังจะแบ่งไปบ้าง สุดท้ายกลับถูกผู้บังคับการกองพันเว่ยรวบเข้าสู่หน่วยของตนเองไปเงียบๆ ไม่บอกไม่กล่าว ทำให้หลายคนไม่พอใจแต่ก็ทำอันใดไม่ได้ ใครใช้ไห้ภรรยาของเขาเป็นคนฝึกฝนกันเล่า
เพียงแต่เมื่อมีเว่ยจวินมั่วเข้ามาในกองทัพก็เริ่มมีการเปรียบเทียบจำนวนการตาย นายทหารชั้นสูงทั้งหลายเริ่มหันมาให้ความสำคัญการหมอประจำกองทัพ ไม่มีทหารที่สมบูรณ์แบบก็สามารถฝึกฝนได้ ดังนั้น หนานกงมั่วจึงพบว่ามนุษยสัมพันธ์ของตนเองพลันดีขึ้นมามาก บางครั้งเดินไปเดินมาอยู่ในกองทัพยังได้เจอกับผู้บังคับการกองพันสักคนสองคน หรืออาจเป็นรองแม่ทัพต่างๆ เป็นบางครั้งบางคราว เจ้าบอกว่าในกองทัพให้ความสำคัญกับบุรุษดูถูกสตรีหรือ เมื่อเผชิญหน้ากับความสามารถและผลประโยชน์ นั่นก็คือเมฆที่ลอยเข้ามาหาดีๆ นี่เอง
แม้แต่นายทหารชั้นสูงในค่ายอื่นๆ ยังได้ยินข่าวบ้าง หนึ่งในนั้นแน่นอนว่ามีเฉินอวี้และเซวียเจินที่เข้าไปขออนุญาตจากเยี่ยนอ๋องด้วยตนเอง นำทหารหนุ่มที่ร่างกายอ่อนแอมาให้หนานกงมั่วช่วยฝึกฝน แน่นอนว่าเห็นแก่หน้าของขุนพลทั้งสองหนานกงมั่วไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะโยนให้คนที่สำเร็จการฝึกไปแล้วให้ช่วยฝึกฝน ทว่าคุณชายเว่ยก็ยังไม่พอใจ ดังนั้น…เฉินซิวและเซวียปินจึงต้องรับกรรมไป