หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 259 กลับจวน เจิ้งซื่อผู้ถูกทอดทิ้ง (2)
ตอนที่ 259 กลับจวน เจิ้งซื่อผู้ถูกทอดทิ้ง (2)
ได้ยินมาว่า…พระชายาซื่อจื่อที่พึ่งแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็ถูกท่านแม่เฒ่าบีบให้ตายเสียแล้ว
คุณหนูใหญ่หนานกงพึ่งแต่งเข้าจวนได้หนึ่งวัน ข่าวลือจากจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็โหมกระพือไปทั่วจินหลิง ไม่ว่าแบบใดล้วนมีหมด หนานกงมั่วนั่งอยู่ในเรือนซูอวิ๋นฟังข่าวลือจากบ่าวรับใช้ที่ได้ยินมาจากด้านนอก อดไม่ได้กระตุกยิ้มมุมปาก จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องใช่ว่าไม่คิดแก้ข่าว แต่ข่าวลือเช่นนี้ สิ่งที่ถูกปล่อยออกมาก่อนก็มักจะถูกผู้คนจดจำได้ดียิ่งกว่า เมื่อคนเชื่อไปแล้ว หากคิดจะอธิบายให้ชัดเจน ต่อให้ใช้ความพยายามหลายสิบเท่าก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น… ต่อให้พวกเขาอธิบายสถานการณ์ในห้องโถงฝูฮุ่ยโดยละเอียดก็มีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อ มีใครบ้างไม่รู้ว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไม่ยอมรับซื่อจื่อ สุดท้ายจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องคงได้แต่อธิบายครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระชายาซื่อจื่อยังไม่ตาย ยังมีชีวิตปกติสุขอยู่เลย
โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับหนานกงไหวที่บุกมาเอาเรื่องถึงที่จวน จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก เจ้าให้กำเนิดบุตรีที่ร้ายเพียงนี้ยังกล้ามาเอาเรื่องอ๋องอย่างข้าอีกหรือ
ในห้องหนังสือ หนานกงมั่วกำลังนั่งจัดการกับหนังสือเก่าแก่ที่ขนมาจากเรือนฉู่กั๋วกง ยามนี้พวกเขายังไม่มีห้องที่เพียงพอ ดังนั้นหลังสือเก่าแก่หลายเล่มจึงต้องเก็บเอาไว้ ในห้องหนังสือมีเพียงหนังสือที่จำเป็นเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ห่างออกไปไม่ไกล คุณชายเสียนเกอกำลังนั่งเดินหมากอยู่กับเว่ยจวินมั่วอยู่ริมหน้าต่าง พลางหันมามองหนานกงมั่ว เอ่ยขึ้น “ได้ข่าวว่าเจ้าถูกกดดันจนฆ่าตัวตาย ศิษย์พี่เสียใจอย่างสุดซึ้ง”
หนานกงมั่วกลอกตา เอ่ยตอบโต้ “ศิษย์พี่ ยามที่ท่านเอ่ยว่าเสียใจท่านช่วยแสดงสีหน้าออกมาบ้างได้หรือไม่”
“เจ้าไม่ได้ตายจริงๆ นี่ ไยต้องแสดงอารมณ์ออกมาให้สิ้นเปลือง” คุณชายเสียนเกอเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน เหลือบตากลับไปมองเว่ยจวินมั่วที่กำลังวางหมากอย่างเงียบเชียบ เอ่ยเรียก “น้องเขย”
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว ไม่เอ่ยสิ่งใด คุณชายเสียนเกอเอ่ยด้วยความมั่นใจขึ้นมา “น้องเขย คนนั้นในตระกูลเจ้า…ให้ศิษย์พี่ช่วยจัดการให้หรือไม่”
“ขอบคุณมาก” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
“ขอบคุณมากนี่มีกี่ความหมายหรือ” คุณชายเสียนเกอเอ่ยถาม เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบ “ตามสบาย เกิดอันใดขึ้นอย่ามาลากข้าและอู๋สยาติดร่างแหไปด้วยเป็นพอ”
คุณชายเสียนเกอกระตุกยิ้มมุมปาก รู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้มิได้มีคุณธรรมอันใด ถอนหายใจออกมา มองไปยังหนานกงมั่ว “ศิษย์น้องผู้น่าสงสาร เจ้าว่า…การอุดอู้อยู่แต่ในเมืองเล็กๆ เช่นจินหลิงนี่มันมีอันใดน่าสนุกกัน มิสู้ไปท่องยุทธภพกับศิษย์พี่จะดีเสียกว่า” หนานกงมั่วกอดหนังสือในมือพลางหัวเราะออกมา หันไปมองเขา “ศิษย์พี่ เมื่อก่อนท่านไม่กล่าวเช่นนี้”
คุณชายเสียนเกอมิได้ใส่ใจที่คำพูดของตนนั้นถูกรู้ทัน ยกนิ้วคีบตัวหมากและวางลงไป “อย่างไรก็ตาม อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปแล้ว ต่อไปเจ้าต้องระวังตัวให้ดี เพียงแต่…ข้าดูแล้วว่าในเมืองจินหลิงนี่คนที่จะสู้เจ้าได้นั้นมีไม่กี่คน คงไม่เสียเปรียบอันใด” หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “ข้ารู้เจ้าค่ะ” รู้มาแต่แรกว่าศิษย์พี่ไม่ชอบจินหลิง หนานกงมั่วจึงไม่คิดยื้อเขาเอาไว้ ยื้อคนให้อยู่ในสถานที่ที่เขาไม่ชอบมันจะไปมีประโยชน์อันใด พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดอย่างไรก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง “ศิษย์พี่ดูแลตนเองด้วย จริงสิ อาจารย์อา…”
เสียนเกอเอ่ย “ท่านอาจารย์น่ะหรือ กลับตานหยางไปแล้ว อาจารย์ฝากข้ามาบอกเจ้าว่าหากเจ้าตั้งครรภ์แล้วเขียนจดหมายไปบอกอาจารย์กับอาจารย์อาด้วย พวกเขาจะมาเยี่ยมหลาน”
หนานกงมั่วกลอกตาอยู่ในใจ หลานงั้นหรือ ยังไม่ทันได้ทำอันใดเลย
เสียนเกอลุกขึ้น “เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้วไม่ต้องส่ง จริงสิ พรุ่งนี้ควรกลับจวนแล้วใช่หรือไม่ จวนฉู่กั๋วกง…ได้ข่าวว่าเจิ้งซื่อถูกบิดาเจ้าขังเอาไว้แล้วนี่”
หนานกงมั่วมิแปลกใจ วันพิธีแต่งงานไม่เห็นแม้แต่เงาของเจิ้งซื่อก็พอเดาได้ว่าคงถูกหนานกงไหวกักบริเวณ เสียนเกอเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าเป็นการกักตัวง่ายๆ หรือ หนานกงไหวจับเจิ้งซื่อขังไว้ในคุกมืดในจวนต่างหาก ดูเหมือนว่า…ศิษย์น้อง อีกไม่นานเจ้าคงจะมีมารดาคนใหม่เสียแล้ว” ไม่รอให้หนานกงมั่วได้ตอบโต้ เสียนเกอก็พุ่งตัวออกไปทางหน้าต่าง ชั่วพริบตาก็หายตัวไปจากเรือนซูอวิ๋น
“คุกมืดหรือ” หนานกงมั่วกอดหนังสือเป็นตั้งขณะเดิน แล้วนั่งลงในตำแหน่งที่เสียนเกอพึ่งลุกออกไป
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “หลายตระกูลมีสถานที่เช่นนั้น เอาไว้จัดการกับคนที่ไม่ควรจัดการอย่างโจ่งแจ้ง หนานกงไหว…บิดาของเจ้าดูเหมือนจะทิ้งเจิ้งซื่อเสียแล้ว”
“เอ๋ ข้านึกว่าเขารักเจิ้งซื่อเสียอีก” หนานกงมั่วแปลกใจ ความรักทะนุถนอมมาสิบกว่าปี ยอมให้เจิ้งซื่อทำตัวเป็นใหญ่ในเรือนหลัง จะละทิ้งง่ายๆ เช่นนี้น่ะหรือ
“รักหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วมองหนานกงมั่ว หนานกงมั่วหัวเราะพลางเอ่ยถาม “ไม่เหมือนหรือ”
“ไม่เหมือน” เว่ยจวินมั่วส่ายหน้า การกระทำใดของหนานกงไหวที่เหมือนรักแท้กัน ส่วนใหญ่นั้นคล้ายลุ่มหลงมัวเมาเสียมากกว่า แต่เขาก็ไม่เข้าใจ เมิ่งฮูหยินนั้นงดงามกว่าเจิ้งซื่อเป็นไหนๆ หนานกงมั่วแปลกใจ ยิ้มตาหยี “ซื่อจื่อเพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าไม่เหมือนรักแท้ หรือว่าซื่อจื่อเคยเห็นว่าแบบใดคือรักแท้หรือ” เว่ยจวินมั่วพยักหน้า หนานกงมั่วดวงตาวาววับ “โอ้ เคยเห็นที่ใดกันหรือ” หรือว่าโลกนี้จะมีคู่รักที่รักเดียวใจเดียวไปชั่วชีวิตจริงๆ โดยเฉพาะในจินหลิงน่ะหรือ
เว่ยจวินมั่วเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด ทำเพียงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าที่รบเร้าถามตนเองอย่างลึกซึ้ง เห็นว่าเขาจ้องมองตนเองนิ่ง หนานกงมั่วกะพริบตาปริบไม่เข้าใจ ถูกดวงตาสีม่วงสวยคู่นั้นจ้องมาจึงทำตัวไม่ถูก ไม่นานหนานกงมั่วก็เข้าใจความหมายในดวงตาของเขา ดวงหน้าสวยพลันแดงระเรื่อขึ้นมา ถลึงตาใส่ใครบางคนโดยไม่เอ่ยวาจาใด
ให้ตายเถอะข้าเขินหรือนี่ การแสดงออกของเว่ยซื่อจื่อในบางครั้งนั้นทำให้นางรู้สึกว่าคุณชายผู้นี้นั้นเดินย่างกรายผ่านพุ่มดอกไม้ ใบไม้ไม่ติดตัว[1]
“อู๋สยาไม่เชื่อข้าหรือ” เว่ยจวินมั่วจ้องมองนางพร้อมเอ่ยถาม ดวงตาสีม่วงเข้มนั้นสื่อความหมายบางอย่าง หนานกงมั่วเบี่ยงหน้าหลบ เอ่ยพึมพำเสียงเบา “ข้าไม่ได้ถามท่านเสียหน่อย…” อาศัยจังหวะนี้สารภาพรักมันเกินไปหรือไม่ เพียงแต่…ไม่ยอมรับไม่ได้เลยว่าหัวใจนางนั้นเต้นระรัวจนมิอาจควบคุมได้ เว่ยจวินมั่วยื่นมือมาดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด เอ่ยกระซิบ “อู๋สยา ไม่ว่าจะนานเพียงใดข้าก็จะรอเจ้า ชีวิตนี้เว่ยชิงสิงจะไม่มีทางผิดต่อเจ้า อีกทั้ง…เจ้าเป็นของข้า”
ดิ้นรนอยู่ชั่วครู่แต่ก็ดิ้นไม่หลุด หนานกงมั่วจึงไม่คิดดิ้นให้เสียแรงเปล่าอีก ตอนนี้นางไม่อยากต่อสู้ เพียงแต่… “ทำไมท่านถึง…ชอบข้า”
มิใช่เพราะนางไม่มีความมั่นใจในตนเอง แต่เป็นเพราะนางรู้จักตนเองเป็นอย่างดี นาง หนานกงมั่วเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดี ยิ่งสนิทยิ่งรับมือได้ยาก นางอารมณ์แปรปรวน สำหรับบุรุษในยุคสมัยนี้แล้วแน่นอนว่าย่อมมิใช่นิสัยสตรีที่น่าชื่นชอบอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่นศิษย์พี่ของนาง อยู่ด้วยกันมานานรู้จักนิสัยของกันและกันเป็นอย่างดี หากเอ่ยถึงความช่วยเหลือหรือการต่อสู้นั้นไม่มีปัญหา แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานก็วิ่งหนีให้ไวกว่าใคร ยกคำพูดของศิษย์พี่ขึ้นมากล่าว เขาได้บอกไว้ว่า ข้าช่วยเจ้าต่อสู้ได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่ข้าไม่ต้องการมาต่อสู้กับเจ้าทุกวันอย่างแน่นอน เราต่างมีปัญญาเหนือสรรพสิ่งเพื่อเอามากดผู้คนบนโลก ไม่ใช่เอามากดกันเอง
เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงมา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย ไม่รู้ทำไมรู้สึกว่าน่าสงสารแปลกๆ อดไม่ได้กระตุกมุมปากขึ้นเผยรอยยิ้มออกมา ประทับจูบลงไปบนริมฝีปากสีแดงสวยของนาง หนานกงมั่วชะงัก ไม่รู้ทำไมถึงลืมต่อต้าน บรรยากาศในห้องหนังสือพลันอบอวลไปด้วยความหวานละมุนขึ้นมา ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ หนานกงมั่วจึงนึกถึงความความหวานละมุนภายใต้แสงเทียนในคืนวันเข้าหอขึ้นมา ความรู้สึกว่าแม้แต่อากาศยังร้อนขึ้นทำให้จิตใจนางไม่สงบ อีกทั้งมือใหญ่ข้างหนึ่งวางลงบนแผ่นหลังและกำลังขยับเคลื่อนไหวปลอบโยนจิตใจที่ว้าวุ่นของนาง แพขนตาหนางอนงามกำลังสั่นไหวเล็กน้อย “จวิน…จวินมั่ว…”
——————————-
[1] เดินย่างกรายผ่านพุ่มดอกไม้ ใบไม้ไม่ติดตัว (สำนวน) หมายถึงผู้ชายเจ้าชู้โรแมนติกจีบไปเรื่อย แต่ไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้