หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 219 พระแปลก (1)
“ก็มิใช่เพราะจวนฉู่กั๋วกงของเราสั่งสอนไม่ดีหรอกหรือ” น้ำเสียงใสของหนานกงมั่วดังเข้ามา ทุกคนหันไปมอง เห็นหนานกงมั่วเดินนำสาวใช้เข้ามา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไม่เพราะเช่นนั้น จะทำให้พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องและหย่งชังจวิ้นจู่สงสัยในการอบรมของจวนฉู่กั๋วกงได้อย่างไร โชคดี ที่ข้าไม่ได้เติบโตมาในจวนฉู่กั๋วกง”
“มั่วเอ๋อร์ กล่าวกับท่านพ่อดีๆ” หนานกงชวี่ที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างมานานขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยขึ้น
หนานกงไหวใบหน้าเข้มขึ้น ชายตามองหนานกงซู เอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
หนานกงมั่วย่างกรายมานั่งลง เอ่ย “ไยท่านพ่อไม่ถามน้องรองเล่าว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ น้องรอง เจ้าจะเล่าโดยละเอียดหรือให้ข้าเล่าแทนเจ้า”
หนานกงซูตัวสั่นระริก จ้องหนานกงมั่วด้วยแววตาเคียดแค้น เจิ้งซื่อรีบกอดประคองนางเอาไว้พลางเอ่ย “อย่ากลัว ท่านพ่อกับแม่จะจัดการแทนเจ้าเอง”
หนานกงมั่วดีดนิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ “อย่าเอาเล่ห์เหลี่ยมที่เจ้าใช้กับเซียวเชียนเยี่ยมาใช้ต่อหน้าข้า คนที่นั่งอยู่ตรงนี้คือบิดามารดาและพี่ของเจ้า ไม่ใช่บุรุษที่เจ้าสมคบ น้องรองช่างมีความสามารถ เจ้าไปทำอันใดที่จวนเย่ว์จวิ้นอ๋องกันถึงทำให้พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องโกรธจนไม่สนศักดิ์ศรีได้เพียงนั้น”
หนานกงไหวชะงัก เขาเป็นบุรุษแน่นอนว่ามิได้อยู่ส่วนเดียวกันกับสตรี ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังมิได้มาถึงหูเขา หนานกงซูกล้ำกลืนความเจ็บแค้น เอ่ย “ข้าไปทำอันใดกันเล่า ต่อให้พี่สาวไม่พอใจข้า อย่างไรเราก็ตระกูลเดียวกัน ท่านกลับทำให้ข้าต้องขายหน้าต่อผู้คนมากมาย…ข้า…ฮือ ฮือ…”
“โง่เง่า” หนานกงมั่วหัวเราะเยาะ พ่นคำนั้นออกมาโดยไร้ความปรานี “เมื่อวานเจ้าคิดว่าเพราะหย่งชังจวิ้นจู่ไม่พอใจเจ้าจึงได้ดูถูกเจ้าอย่างนั้นหรือ วันนี้เจ้าออกจากบ้านมาเช้าเกินไป ไม่ลองไปเดินวนบนถนนช่วงสายสักรอบเล่า ไม่ไปลองฟังดูเล่า สตรีจวนหนานกงมีความสามารถล่อลวงบุรุษ เย่ว์จวิ้นอ๋องหลงจนไม่สนใจพระชายา คงถูกกล่าวถึงกันจนทั่วท้องถนนเสียแล้ว ข้าไม่ตบเจ้า หรือจะปล่อยให้หย่งชังจวิ้นจู่ช่วยสั่งสอนเจ้าแทนท่านพ่ออย่างนั้นหรือ เจ้าช่างมีความกล้าไม่น้อย ยังกล้าดูถูกว่าหย่งชังจวิ้นจู่เองก็เป็นเชื้อสายรอง หากนางมิได้เกิดเป็นเชื้อพระวงศ์อนาคตนางก็เป็นได้แค่อนุภรรยา ต่อให้หย่งชังจวิ้นจู่มิได้เกิดในตระกูลเชื้อพระวงศ์ก็คงดีกว่าเจ้าที่ทำให้ตัวเองตกต่ำอย่างน่ารังเกียจ”
“เจ้า…เจ้า…” หนานกงซูลุกลี้ลุกลนขึ้นมา
“ที่มั่วเอ๋อร์เอ่ยมาเป็นเรื่องจริงหรือ” หนานกงไหวใบหน้าทะมึน เอ่ยถามเสียงดัง
“ข้า…ข้า…” หนานกงซูรีบกำแขนเสื้อเจิ้งซื่ออย่างลุกลี้ลุกลน เจิ้งซื่อรีบเอ่ย “ท่านพี่ เรื่องนี้จะโทษซูเอ๋อร์ได้อย่างไร ในเมื่อเข้าไปอยู่ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องแล้ว แน่นอนว่าต้องพยายามเรียกร้องความรักจากหวงจั่งซุน เห็นชัดๆ ว่า…เห็นชัดๆ ว่าพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องกำลังริษยาไม่มีคุณธรรม”
“หุบปาก”
“หึ กล่าวเช่นนี้หว่านฮูหยินก็คงคิดว่าท่านพ่อเองก็ต้องให้ความรักแก่บรรดาอี๋เหนียงพวกนั้นด้วยสิ เอ๋ ข้าลืมไป หว่านฮูหยินเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับอี๋เหนียงพวกนั้นนี่นา การแย่งชิงความรักไม่ใช่เรื่องว่ามีคุณธรรมหรือไม่ ตั้งแต่โบราณมาก็ไม่เคยมีกฎข้อไหนที่บอกว่าเป็นอนุต้องมีคุณธรรม เพราะนั่นเป็นเรื่องของภรรยาเอกเท่านั้น” หนานกงมั่วยิ้มตาหยี
“เจ้า…”
“พอแล้ว” หนานกงไหวเอ่ยเสียงดัง “วันๆ เอาแต่โวยวาย ใครพูดจาไร้สาระก็หยุดเสีย ซูเอ๋อร์ เจ้ารีบกลับไปที่จวนเย่ว์จวิ้นอ๋องเดี๋ยวนี้ พึ่งออกเรือนไปไม่กี่วันก็วิ่งแจ้นกลับจวนในสภาพนี้อย่างนั้นหรือ”
หนานกงซูไม่ยอม นางกลับมาเพื่อขอให้บิดาจัดการแทนนาง
หนานกงไหวคร้านจะสนใจนาง จ้องเจิ้งซื่อเขม็ง “แล้วก็เจ้า จัดการธุระของตัวเองอยู่เงียบๆ ไปเสีย มั่วเอ๋อร์ อีกครึ่งเดือนก็ต้องออกเรือนแล้ว ไปจัดเตรียมสินเจ้าสาวให้เรียบร้อย”
หนานกงมั่วยักไหล่ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
หนานกงไหวส่งเสียงหยัน ยังอยากเอ่ยบางอย่างอีก สาวใช้ด้านนอกพลันรายงานขึ้นมา “รายงานนายท่าน เอ้อกั๋วกงกลับมาแล้ว ส่งเทียบเชิญนายท่านไปที่จวนเจ้าค่ะ”
ยามนี้เอ่ยถึงเอ้อกั๋วกง หนานกงไหวก็ปวดหัวขึ้นมา เขาไม่รู้ข่าวเอ้อกั๋วกงกลับมาด้วยซ้ำ เทียบเชิญจากจวนเอ้อกั๋วกงก็ถูกส่งมาเสียก่อน เพียงคิดก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องใด กวาดตามองหนานกงซู ส่งเสียงหยัน หนานกงไหวสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปอย่างโมโห
หนานกงมั่วลุกขึ้น มองหนานกงซูที่ร้องไห้จนตาบวมราวกับลูกท้อด้วยเสียงหัวเราะ เม้มริมฝีปากยิ้มเบาๆ “ข้าไปก่อนล่ะ เชิญน้องสาวและหว่านฮูหยินตามสบาย” เจิ้งซื่อกอดหนานกงซูเอาไว้ กัดฟันเอ่ย “คุณหนูใหญ่ช่างฝีปากคมคาย” หนานกงมั่วหัวเราะ เอ่ยตอบ “ธรรมดา สู้ฮูหยินมิได้” หันกลับไปพยักหน้าให้หนานกงชวี่ที่อยู่ด้านข้าง หนานกงมั่วพลันหมุนตัวเดินออกไป
กลับมาถึงเรือนไฉ่อู๋ของเจิ้งซื่อ หนานกงซูพุ่งเข้าไปร้องไห้โฮในอ้อมกอดของมารดาอีกครั้ง เจิ้งซื่อกอดบุตรีเอาไว้ เจ็บปวดราวกับมีมีดกรีด
“เอาล่ะ ซูเอ๋อร์เด็กดี ทุกข์ใจอะไรบอกกับแม่ แม่จะช่วยเจ้าระบายความแค้นเคืองเอง”
หนานกงซูโบกมือ เช็ดน้ำตา เอ่ย “บอกกับท่านแล้วมีประโยชน์อันใด ท่านแม่สู้กับพระชายารัชทายาทหรือเอาชนะนังสารเลวหนานกงมั่วนั่นได้หรือไม่” เดิมทีหนานกงซูคิดว่ามารดาของตนนั้นเก่งกาจ ในจินหลิงนี้มีบ้านไหนไม่มีภรรยามากมาย ทว่ามีเพียงมารดาของนางที่สามารถจัดการเรือนหลังและบรรดาอนุพวกนั้นจนไร้เงา นอกจากบุตรชายทั้งสองและบุตรีคนหนึ่งของเมิ่งซื่อแล้วก็มีเพียงนางบุตรีผู้นี้เท่านั้น แต่ตั้งแต่ที่หนานกงมั่วกลับมา นางจึงพบว่าไม่ว่ามารดาของตนจะเก่งกาจเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรีคนโตเชื้อสายหลักอย่างหนานกงมั่วแล้วก็ยังไม่เพียงพอ จนกระทั่งหนานกงมั่วไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอันใด เพียงหยิบยกเอาฐานะขึ้นมาพวกนางก็พ่ายแพ้เสียแล้ว และตอนนี้แม้แต่บิดาที่เอ็นดูตนมาตลอดก็ไปอยู่ข้างหนานกงมั่วแล้ว
เจิ้งซื่อตบแผ่นหลังปลอบโยนนางเบาๆ “บอกแม่มาเถิด มีอันใดให้ทุกใจในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องหรือ”
หนานกงซูดวงตาแดงก่ำ เล่าเรื่องในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องในช่วงหลายวันมานี้อย่างละอาย การเป็นอนุภรรยานั้นไม่ง่ายเลย โชคดีที่นางใช้มารยาดึงหัวใจเซียวหลางกลับมาได้ ไม่ว่าอย่างไร เซียวหลางก็ยังดีกับนาง ซึ่งทำให้หนานกงซูทั้งเป็นทุกข์ทั้งสุขใจ แต่สำหรับพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องผู้นั้นหนานกงซูกลับมีความแค้นเคืองจนมิอาจเอ่ยออกมาได้หมด ไม่ว่านางจะเป็นที่โปรดปรานมากเพียงใด ยื้อเซียวเชียนเยี่ยไว้ไม่ให้เขาไปยังเรือนหยวนซื่อ อย่างไรเสียก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่นางต้องไปถวายพระพรแก่หยวนซื่อในทุกๆ วัน ต้องคอยยกน้ำชา ส่งน้ำให้ นั่นเป็นเรื่องจริง
เจิ้งซื่อได้ฟังแล้วก็ปวดใจเป็นที่สุด ทำได้เพียงเอ่ยปลอบใจ “นี่เป็นเรื่องที่ทำสิ่งใดไม่ได้ หากมีโอรสให้ท่านอ๋องก่อนก็คง…” หนานกงซูกัดฟัน เอ่ยตอบ “มีโอรสแล้วเช่นไร ฐานะข้าในตอนนี้เลี้ยงเองมิได้ด้วยซ้ำ” ตอนนี้หนานกงซูยังไม่อยากมีลูก แม้จะบอกว่าเมื่อมีลูกแล้วจะทำให้ตำแหน่งมั่นคง แต่ขณะเดียวกันหากนางตั้งครรภ์ก็คงเป็นที่โปรดปรานมิได้ และจูซื่อที่พึ่งถูกส่งเข้ามาก็ดูถูกไม่ได้ นอกจากนี้ ยามนี้หากนางตั้งครรภ์ไม่ว่าชายหญิงก็ไม่มีสิทธิ์เลี้ยงเอง นางไม่คิดอยากคลอดลูกแทนใครหรอก
“เด็กโง่” เจิ้งซื่อดีดหน้าผากบุตรีเบาๆ “เราไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ที่จะพาออกหน้าออกตามิได้เสียหน่อย ขอเพียงเจ้ามีลูก อยากเลี้ยงไว้ข้างกายอย่างไรก็ต้องมีวิธี หากครรภ์นี้ของหยวนซื่อเป็นธิดาก็คงดี หากเป็นโอรสเจ้าจะช้าไม่ได้แล้ว เดิมตำแหน่งก็เทียบไม่ได้อยู่แล้ว หากต่อไปอายุต่างกันมากก็ไม่ดีต่อบุตรในอนาคต”