หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1218 การรับมือของตระกูลเซี่ย
ตอนที่ 1218 การรับมือของตระกูลเซี่ย
เมื่อเข้าใจความหมายของฮ่องเต้ไท่ชู หนานกงมั่วเองก็ไม่เกรงใจ พาเหล่านางกำนัลขันทีผู้รับหน้าที่ส่งของ อีกทั้งเรียกองครักษ์ข้างกายของตนไม่กี่คนออกมาพร้อมกับนาง ขบวนผู้คนมุ่งหน้าไปมอบของที่จวนตระกูลเซี่ยอย่างโอ่อ่า จากนั้นจึงกลับจวนฉู่อ๋องด้วยตนเอง
เรื่องของคุณชายเซี่ยเจ็ดเมื่อวานก็ไม่อาจปิดบังต่อเซี่ยโหวได้ เซี่ยโหวแทบจะไม่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก แต่ตระกูลขุนนางเหล่านี้อ่อนไหวมาตั้งแต่เกิดทำให้เขารู้ว่าแปดถึงเก้าส่วนเซี่ยเจ็ดต้องเดือดร้อน เพียงแต่เรื่องการร้องเรียนตระกูลเซี่ยยังไม่ถึงขั้นตั้งรับไม่ได้ แม้ราชสำนักมีคนที่เป็นศัตรูกับตระกูลเซี่ย แน่นอนว่ามีคนเส้นทางเดียวกันเช่นกัน หากเกิดความลำบากในราชสำนักเซี่ยเจ็ดก็ไม่ได้ตัวคนเดียวไร้คนยืนเคียงข้าง อย่างมากสุดท้ายก็คงถูกลงโทษหักเงินเดือนไปไม่กี่ปีเท่านั้น เรื่องเล็กน้อยนี้ใครสนใจกันเล่า
แต่ไม่คิดว่ายังไม่ทันได้ยินเรื่องร้องเรียน ฮ่องเต้ก็ให้คนส่งของมาแล้ว ไม่มีเทศกาล ไม่มีเหตุผล เซี่ยโหวยังไม่ใช่ที่โปรดปรานของโอรสสวรรค์ที่ฝ่าบาทนึกอยากประทานรางวัลก็ประทานรางวัลได้ มองไปยังด้านหลังของนางกำนัลขันทีเห็นได้ชัดว่าเป็นองครักษ์จวนฉู่อ๋องพลันเข้าใจทันใด เชิญคนเข้าไปดื่มน้ำชาในห้องโถงรับแขกอย่างรอบคอบ หลังจากประทานรางวัลก็ให้ผู้ดูแลของจวนออกไปส่งด้วยตนเองจึงพ่นลมหายใจออกมา
เซี่ยโหวมองชุดหมากล้อมหยกที่วางอยู่ตรงหน้า ยิ้มบางก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปขอเข้าพบมารดาที่เรือนหลัง
ยามนี้ลูกหลานของตระกูลเซี่ยเริ่มออกไปรับราชการแล้ว แต่กลับน้อยนักที่นายหญิงใหญ่เซี่ยจะออกไปเดินอยู่ข้างนอก คนนอกเพียงคิดว่าเพราะนายหญิงใหญ่เซี่ยอายุเยอะจึงไม่สนใจ นายหญิงใหญ่เซี่ยกลับใช้ชีวิตเสพสุขอย่างสงบอยู่ในเรือนของนางในทุกๆ วัน เป็นอิสระกว่าคนอายุมากเหล่านั้นที่อายุมากแล้วทว่ายังคงแย่งชิงอำนาจการปกครองเรือนกับลูกสะใภ้ไม่รู้กี่เท่า
ขณะที่เซี่ยโหวเดินเข้าไป เซี่ยเพ่ยหวนที่กำลังพูดคุยอยู่กับนายหญิงใหญ่เห็นบิดาเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ
เมื่อมองเห็นบุตรสาว ใบหน้าของเซี่ยโหวจึงอ่อนโยนขึ้นหลายเท่า สำหรับบุตรสาวผู้นี้เซี่ยโหวทั้งรักและรู้สึกผิด หากไม่มีเรื่องพระราชทานสมรสให้แก่องค์ชายในตอนนั้น ยามนี้หลานของตนก็คงรู้ความแล้ว มองไปยังมารดา เซี่ยโหวจึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน มองเซี่ยเพ่ยหวนก่อนจะเอ่ยถาม “เพ่ยหวน เจ้าเด็กตระกูลลิ่นนั่นเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เรื่องของลิ่นฉังเฟิงตระกูลเซี่ยไม่เคยปิดบังเซี่ยเพ่ยหวน กระทั่งยังลอบเปิดโอกาสให้ลิ่นฉังเฟิงด้วยซ้ำ อย่างไรนิสัยความสามารถของลิ่นฉังเฟิงก็ไม่มีอะไรให้ติ นอกเสียจากตระกูลลิ่นจะเลวร้ายไปสักหน่อย แต่หากบุตรสาวชอบพอลิ่นฉังเฟิง เรื่องของตระกูลลิ่นใช่ว่าจะไม่อาจแก้ไขได้ อย่างไรก็ดีกว่าปล่อยเวลาของบุตรสาวให้ผ่านไปเช่นนี้
เซี่ยเพ่ยหวนหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา “ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วงแล้ว”
นายหญิงใหญ่เซี่ยหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้ามาพอดี ข้ากำลังเอ่ยเรื่องนี้กับเจ้าเด็กคนนี้อยู่พอดี แม้จะไม่ไยดีตระกูลลิ่นทั้งตระกูล แต่ข้าก็เห็นว่าหลายปีมานี้เจ้าเด็กนั่นติดตามฉู่อ๋องมาหลายปีฝึกฝนมีความสามารถมาบ้าง ฉลาดหลักแหลม”
เซี่ยโหวยิ้มพลางเอ่ย “ท่านแม่เอ่ยถูกแล้ว เจ้าเจ็ดเองก็บอกว่าลิ่นฉังเฟิงไม่เลว ลูกยังได้ยินพี่ฉินบอกว่า ตอนนี้คนผู้นั้นของตระกูลลิ่นเสียใจจนไม่รู้จะเสียใจอย่างไรแล้วขอรับ บอกว่าอยากให้ลิ่นฉังเฟิงกลับไป เพียงแต่ลิ่นฉังเฟิงไม่ยอมเท่านั้น ลูกและฮูหยินเองก็คิดว่าเจ้าเด็กนี่ดีไปหมดทุกอย่าง เพียงมีตระกูลเลวร้ายไปสักหน่อยก็เท่านั้น เพียงแต่ติดตามฉู่อ๋องมานานหลายปี เขาคงเรียนรู้จากฉู่อ๋องมาบ้างกระมัง หากเป็นเช่นนี้ ถือว่าเป็นการชดเชยความไม่พอใจต่อตระกูลลิ่นได้ บนโลกใบนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่ดีไปหมดเสียทุกอย่าง”
นายหญิงใหญ่เซี่ยพยักหน้า มองเซี่ยเพ่ยหวนด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ย่าเอ่ยกับเจ้าเมื่อครู่ เจ้าเห็นอย่างไร”
เซี่ยเพ่ยหวนหลุบตาลง ใบหน้าเห่อร้อนแดงขึ้นมาอีกหลายส่วน “เพ่ยหวนฟังท่านย่าและท่านพ่อเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยยิ้มอย่างพึงพอใจ เอ่ย “เช่นนั้นก็ตอบรับแล้ว เยี่ยม ชีวิตคนแก่เยี่ยงข้าไม่มีอันใดให้เสียใจแล้ว กังวลเพียงอย่างเดียวคือการแต่งงานของเจ้า ยามนี้นับว่าวางใจแล้วจริงๆ” เซี่ยโหวเองก็ดีใจ “ดูเหมือนตระกูลของเราก็ต้องจัดงานมงคลเสียแล้ว ไม่กี่วันนี้กำลังยุ่ง ช่วงนี้ก็ให้พี่เจ็ดของเจ้ากลับไปตอบเจ้าเด็กตระกูลลิ่นนั่นเถิด เขาจะได้ไม่ต้องคิดหาของส่งมาที่จวนวันเว้นวัน”
เซี่ยเพ่ยหวนลุกขึ้น “ลูกไปคารวะท่านแม่ก่อนนะเจ้าคะ”
ทั้งสองรู้ว่านางเขินอายจึงปล่อยนางไปไม่ได้ยื้อเอาไว้ จัดการกับเรื่องที่กังวลใจมาโดยตลอดได้แล้วใบหน้าของเซี่ยโหวและนายหญิงใหญ่เซี่ยต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมีความสุขแล้ว นายหญิงใหญ่เซี่ยจึงเอ่ยถามถึงการมาของเซี่ยโหว เซี่ยโหวเองก็ไม่ปิดบัง เอ่ยเล่าให้ฟังถึงวัตุประสงค์การมาไปหนึ่งรอบ แม้นายหญิงใหญ่เซี่ยจะเป็นสตรี แต่อย่างไรก็ผ่านยุคสมัยมาสองราชวงศ์สี่ฮ่องเต้ ยิ่งเคยเห็นการเดินทางของต้าเซี่ยตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่ประสบการณ์ที่คนธรรมดาทั่วไปจะเทียบได้ เมื่อเซี่ยโหวพบเจอความยากลำบากยังได้มาขอคำชี้แนะจากนาง
นายหญิงใหญ่เซี่ยฟังสิ่งที่บุตรชายเล่าจบ ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่นานก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าคิดเช่นไร”
เซี่ยโหวเอ่ย “ตามความคิดของลูก ยามนี้คนที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญที่สุดคือฉู่อ๋อง แต่ตระกูลเซี่ยของเราผ่านมาหลายปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปแย่งชิงคุณความดี อย่างไร…ฝ่าบาทเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันอันใด ภายในสิบปียี่สิบปีก็คงไม่เป็นไรขอรับ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยขัด
เซี่ยโหวเอ่ยต่อ “เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ยามนี้ฝ่าบาทเชื่อและไว้วางใจฉู่อ๋องมอบหมายหน้าที่เป็นพิเศษ หากเป็นเช่นนี้ไปตลอดแน่นอนว่าดี แต่…จิตใจคนนั้นเปลี่ยนง่าย ฝ่าบาทยังหนุ่มยังแน่นหากเรายกธงสนับสนุนฉู่อ๋อง เกรงว่าคงไม่ได้ทำร้ายเพียงตนเอง และยังทำร้ายเขาด้วย ก่อนหน้านี้เจ้าเจ็ดก็เคยเอ่ยเรื่องนี้กับลูก อีกไม่กี่วันจะขอออกไปปกครองนอกเขต ยามนี้ตระกูลเซี่ยคนที่โดดเด่นที่สุดก็คือเจ้าเจ็ด ลูกหลานคนอื่นๆ เองก็คงยังไม่อาจทำอันใดได้ในระยะเวลาสั้นๆ ขอเพียงเจ้าเจ็ดออกจากเมืองหลวง ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นขอรับ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยขมวดคิ้ว อย่างไรคนเฒ่าคนแก่อายุมากแล้วก็ต้องการให้ลูกหลานอยู่ใกล้ๆ เพียงแต่นางไม่ใช่คนไร้เหตุผล เพียงเอ่ย “หากเจ้าเจ็ดออกไปอยู่ข้างนอก…”
เซี่ยโหวลุกขึ้นยกมือขึ้นประสาน เอ่ย “เป็นเช่นนี้ขอรับ เพียงเจ้าเจ็ดออกจากเมืองหลวง ภายในแปดปีสิบปีเกรงว่าคงไม่อาจกลับเมืองหลวงมาได้ ยากที่จะกตัญญูต่อหน้าท่านแม่” นายหญิงใหญ่เซี่ยอายุมากแล้ว เอ่ยได้ยากว่ารอถึงเซี่ยเจ็ดกลับมาแล้วนางยังจะรอได้อยู่ นายหญิงใหญ่เซี่ยถอนหายใจ เอ่ย “เซี่ยเจ็ดทำเพื่อตระกูลเซี่ย ข้าจะสนใจเรื่องนี้ได้เยี่ยงไร เพียงแต่เขาอายุยังน้อยต้องโดดเดี่ยวอยู่ภายนอก คงลำบากแล้ว”
เซี่ยโหวยิ้มเอ่ย “เป็นบุรุษไหนเลยจะเกรงต่อความยากลำบากขอรับ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยพยักหน้า เอ่ย “ในเมื่อเจ้ามีแผนอยู่ในใจก็จัดการไปอย่างวางใจเถิด ฉู่อ๋องและพระชายาฉู่อ๋องต่างก็ไม่ใช่คนไม่สำนึกบุญคุณ วันนี้ฝ่าบาทประทานสิ่งของมาให้คงเพราะพระชายาฉู่อ๋องได้เอ่ยชื่นชมต่อหน้าพระพักต์ ตระกูลอย่างเรา…ในเมื่อเข้ามาอยู่ในราชสำนักแล้ว ไม่คิดต่อสู้คงเป็นเรื่องยาก แต่อยากเจอคนมั่นคงนั้นยากกว่า สองท่านนั้นก็มิใช่เจ้านายที่หลงมัวเมามัวในอำนาจ คนเบื้องล่างระมัดระวังสักหน่อย คิดว่าอนาคตคงไม่อาจเกิดปัญหาใหญ่ได้”
ไม่เอ่ยถึงการพระราชทานสิ่งของของฮ่องเต้มีผลต่ออำนาจของตระกูลเซี่ยต่อจินหลิงอย่างไร ทว่าหนานกงมั่วกลับมาถึงจวนฉู่อ๋อง ในจวนกลับครึกครื้นเป็นพิเศษ บุรุษที่แต่งกายคล้ายคนในยุทธภพถูกมัดและโยนไปอยู่บนแท่นโบยกลางลานกว้าง ซิงเวยยืนกอดกระบี่เอนตัวพิงเสาแหงนหน้ามองฟ้า มองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามาจากไกลๆ จึงยืนตรงเอ่ยด้วยความเคารพ “พระชายา”
หนานกงมั่วกวาดตามองไปยังจอมยุทธ์ไม่กี่คนที่กำลังร้องโอดโอย เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ไยจึงพาพวกเขาเข้ามาในจวนแล้วเล่า”
ซิงเวยเอ่ย “ใต้เท้าฉินบอกว่าไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นพ่ะย่ะค่ะ คนเหล่านี้เป็นคนที่แม่นางจื่อเยียนให้คนนำตัวมา ที่นางไม่สะดวกและไม่ถนัดเรื่องสอบสวนคน พระชายาวางใจ ไม่ทิ้งร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงมั่วมองใบหน้าไร้ความรู้สึกของซิงเวย อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ตั้งแต่กลับมาจินหลิง ซิงเวยดูพูดมากกว่าเดิมมาก”
“…” ซิงเวยเงียบ ใบหน้ายังคงไร้สีหน้าใดๆ
ยามนี้เหล่าจอมยุทธ์ที่ถูกจับให้หมอบอยู่กับพื้นจึงรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด พวกเขาเพียงไปหาความสุขกับแม่นางสักคนในหอนางโลมหรือเดินอยู่ในตรอกที่ไร้ผู้คนจากนั้นก็สลบไป ตื่นขึ้นมาก็ถูกโยนลงบนพื้นเย็นๆ แม้ตรงหน้าจะดูเป็นเรือนใหญ่ของผู้มีอำนาจ ทว่าไม่รู้ว่าตนตกมาอยู่ในมือของผู้ใด
ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง มีคนได้สติขึ้นมา เบิกตาโพลงอย่างอดไม่ได้ เอ่ย “ท่าน…ท่านคือพระชายาฉู่อ๋องหรือ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ยิ้มพลางเอ่ย “ทำไม ข้าไม่เหมือนพระชายาฉู่อ๋องหรือ”
“ไม่ ไม่…” ดวงตาของคนที่เอ่ยมีแววหวาดผวาพาดผ่าน พยายามควบคุมสติ แน่นอนว่าหนานกงมั่วมองเห็นท่าทีของเขา ยิ้มบางก่อนจะหมุนตัวเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใต้ชายคา หันมาเอ่ยถาม “คนเหล่านี้เป็นใครกัน”
ชวีเหลียนซิงถือสมุดบัญชีสองเล่มออกมาจากด้านใน ยิ้มหวานเอ่ย “คนพวกนี้ คนหนึ่งคือประมุขของเกาะหวงหลงในตงไห่ อีกคนถูกขนานนามว่าสามวีรบุรุษพี่น้องสกุลเกาแห่งกลุ่มพลหลิ่งหนาน อีกสองคนกลับเป็นคนพเนจรไร้ครอบครัวตัวคนเดียว แต่ว่าต่างเป็นมือสังหารฝีมือขั้นหนึ่งกันทั้งนั้นเพคะ”
หนานกงมั่วแปลกใจ “มือสังหารหรือ” มือสังหารในจวนฉู่อ๋องมีไม่น้อย แทบจะเรียกว่าเป็นรังมือสังหารก็ว่าได้ อย่างไรสิ่งที่ใหญ่ที่สุดของจวนฉู่อ๋องนั้นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นสำนักมือสังหารที่โด่งดังที่สุดในยุทธภพ
ชวีเหลียนซิงเม้มริมฝีปาก ยิ้มพลางเอ่ย “นับตั้งแต่วังจื่อเซียวถอนตัวออกมาจากยุทธภพ สำนักหอธาราเองก็แทบไม่ได้เคลื่อนไหวในยุทธภพ หลายปีมานี้ยุทธภพจึงมีสำนักมือสังหารและมือสังหารใหม่ๆ เกิดขึ้นมาไม่น้อยเลยเพคะ”
หนานกงมั่วพยักหน้าเข้าใจทันใด อย่างไรมือสังหารก็เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีมายาวนาน ไม่ใช่ว่าวังจื่อเซียวและสำนักหอธาราถอนตัวออกมา ยุทธภพก็จะไม่มีมือสังหารแล้ว ใต้หล้ามีคนมีความสามารถมากมาย คนใหม่เปลี่ยนคนเก่า มือสังหารเองก็เช่นกัน
ฟังเจ้านายกับสาวใช้คุยกัน คนที่นอนอยู่บนพื้นสีหน้าพลันเปลี่ยน พวกเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักไปทั่วหล้า มือสังหารยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในความมืด คาดไม่ถึงว่าสตรีหน้าตาอ่อนโยนงดงามทั้งสองจะเอ่ยถึงตัวตนของพวกเขาออกมาได้ชัดเจนเพียงนี้ เห็นได้ว่ารู้จักพวกเขาอย่างลึกซึ้ง
หนานกงมั่วพยักหน้า มือวางไปยังพนักวางแขนของเก้าอี้ มองต่ำไปยังคนเบื้องล่าง เอ่ย “ทุกท่านต่างก็เป็นคนในยุทธภพมีหน้ามีตา ข้าไม่อยากเสียมารยาทกับพวกท่าน ดังนั้น…ข้าจะถาม รอดูคำตอบของพวกท่านเป็นอย่างไร”
ทุกคนไม่เอ่ยวาจา หนานกงมั่วเองก็ไม่โกรธ ยิ้มร่า เอ่ย “หากคำตอบของพวกท่านไม่เป็นที่พึงพอใจของข้า หนึ่งคำถาม…ตัดแขนหรือตัดขาของพวกท่านหนึ่งข้าง ดีหรือไม่” ได้ยินเช่นนั้น สามวีรบุรุษหลิ่งหนานที่เอ่ยก่อนหน้านั้นสีหน้าพลันเปลี่ยน ความจริงไม่ใช่เพียงเขา คนที่อยู่บนพื้นไม่มีใครสีหน้าดีนัก พระชายาฉู่อ๋องที่อยู่ตรงหน้ามีใบหน้างดงาม สง่างามสูงส่ง เพียงแต่วาจาที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นกลับทำให้คนขนลุกซู่อย่างอดไม่ได้
ชวีเหลียนซิงยิ้มพลางเอ่ย “พระชายา หากมีคำถามห้าคำถาม พวกเขาไม่อาจตอบได้เลยจะทำเยี่ยงไรเพคะ”
หนานกงมั่วมองสำรวจคนบนพื้น ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ย “เช่นนั้นก็คงต้อง…ตัดหัวพวกเขาเสีย เมืองจินหลิงมีจอมยุทธ์มากมาย จับมาอีกสักสองคนจะเป็นไรไป”
“พระชายาปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ” ชวีเหลียนซิงเอ่ยชม
“พระชา พระชายาอยากถามอันใด” ประมุขเกาะหวงหลงเหงื่อแตกพลั่ก เอ่ยถาม
หนานกงมั่วพยักหน้าพึงพอใจ ยิ้มบางแล้วจึงเอ่ย “ประมุขเกาะหวงหลงเสพสุขในตงไห่ ไม่รู้ว่ามาจินหลิงเพราะเหตุอันใด” ประมุขหวงหลงเอ่ย “ใกล้ถึงวันพระบรมราชสมภพของฝ่าบาท แน่นอนว่ากระหม่อมมาร่วม…อ๊าก” ยังเอ่ยไม่ทันจบพลันมองเห็นแสงสีเงินสว่างวาบ แขนข้างซ้ายของประมุขเกาะหวงหลงย้อมด้วยเลือดสีแดงฉานขึ้นมาทันใด แม้แขนยังไม่ทันได้หลุดออกแต่ก็อีกไม่ไกลแล้ว ซิงเวยถอนหายใจสะบัดกระบี่ยาวของตนเบาๆ เลือดพลันกระเด็นออกมาจากคมกระบี่หยดลงไปบนพื้น
ดวงตาหงส์ของหนานกงมั่วหรี่ลง เอ่ยเสียงเย็น “ประมุขหวงหลง แม้ข้าไม่ค่อยฉลาดนัก แต่ข้าไม่ชอบคนที่คิดว่าข้าโง่”
ประมุขเกาะหวงหลงเดิมก็เป็นโจรผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในทะเลตงไห่ เพียงแต่ส่วนใหญ่เขาอยู่ในทะเล น้อยนักจะเดินไปมาบนบก ราชสำนักมีเรื่องมากมายต้องจัดการจึงไม่มีใครใส่ใจเขา เขาถูกเรียกว่ายิ่งใหญ่จนเคยชินแล้ว ไหนเลยจะยอบรับเรื่องเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าตะโกนด่าทอออกมาอย่างอดไม่ได้ “หญิงชั่ว หากวันใดเจ้าตกอยู่ในกำมือข้า ข้าจะให้เจ้าตายทั้ง…”
คำว่า ‘เป็น’ ยังไม่ทันออกจากปาก ลำคอของประมุขเกาะหวงหลงพลันเอียงหมดลมหายใจไปทันที มีเพียงดวงตาที่จ้องเขม็งด้วยความแค้นเคืองเบิกกว้างราวกับตายตาไม่หลับ
หนานกงมั่วมองไปยังคนทั้งห้าที่เหลืออยู่อย่างเกียจคร้าน เอ่ยเสียงเรียบ “ทุกท่านคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังอย่างประมุขเกาะหวงหลงผู้นี้กระมัง”
ทั้งห้าคนยามนี้ไยจะไม่เข้าใจ ประมุขเกาะหวงหลงผู้นี้เป็นเพียงลิงที่ถูกเชือดให้พวกเขาดูเท่านั้น
เมื่อถูกโยนไว้บนพื้น สามพี่น้องสกุลเกาหันมองหน้ากันโดยไม่อาจห้ามได้ ในที่สุดก็ก้มหน้า เอ่ยเสียงเบา “ไม่รู้พระชายาอยากถามอันใด”
หนานกงมั่วยกยิ้มเบาๆ “พวกท่านยอมให้ความร่วมมือก็ดี วันพระบรมราชสมภพของเสด็จพ่อใกล้มาถึง ข้าไม่อยากสังหารชีวิตใด อีกทั้งไม่ใช่ทุกครั้งที่ข้าจะสังหารคนง่ายๆ เช่นนี้” ทั้งสามสั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุม ไม่ได้สังหารง่ายๆ แน่นอนว่าต้องได้รับความทรมานโหดเหี้ยมจนถึงตาย คนในยุทธภพนั้นไม่ได้ติดตามข่าวของราชสำนัก ดังนั้นชื่อเสียงของพระชายาฉู่อ๋องผู้นี้ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักในยุทธภพนัก พวกเขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินบ้างเล็กๆ น้อยๆ หลังจากเข้าเมืองหลวงมาแล้วเท่านั้น พระชายาฉู่อ๋องผู้นี้ไม่เหมือนสตรีทั่วไป ทว่าต้องเห็นกับตาจึงจะรู้ว่านางแตกต่างจากสตรีอื่นเยี่ยงไร
และไม่นับอีกสองคนว่าเป็นอย่างไร สามพี่น้องสกุลเกาเอ่ยพร้อมเพรียง “พระชายาเอ่ยถามมาเถิด พวกกระหม่อมมิบังอาจโกหก” พวกเขาทำเพื่อผลประโยชน์ หากเหมือนประมุขเกาะหวงหลงที่แม้แต่ชีวิตยังไม่เหลือ ยังจะเอ่ยถึงความรุ่งเรืองเงินทองไปไยกันเล่า