หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1217 จิตใจร้ายกาจ
ตอนที่ 1217 จิตใจร้ายกาจ
ฉินจื่อซวี่และหนานกงชวี่ต่างจากไปพร้อมกับคำสั่ง หนานกงมั่วเปลี่ยนการวางกำลังขององครักษ์สายลับกับซิงเวยอีกครั้ง องครักษ์สายลับในจวนฉู่อ๋องนั้นเท่ากับจำนวนครึ่งเล็กๆ ของกำลังวังจื่อเซียวในตอนนั้น คนเหล่านี้นอกจากคุ้มกันเด็กทั้งสองและองค์หญิงฉังผิงแล้ว ทั้งหมดถูกส่งไปคุ้มกันฮ่องเต้ไท่ชูและฮองเฮาที่อยู่ในวัง แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องสื่อสารกับหัวหน้าองครักษ์ในวัง ทั้งส่งชวีเหลียนซิงไปพบจื่อเยียน รวบรวมข่าวในจินหลิงส่งมายังจวนฉู่อ๋องทันที
เมื่อเสร็จงานเหล่านี้ หนานกงมั่วจึงระบายลมหายใจออกมาแล้วสั่งให้คนเตรียมรถม้าเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ไท่ชู
สองวันนี้แม้ฮ่องเต้ไท่ชูไม่ต้องว่าราชกิจ แต่กลับยุ่งกว่าวันธรรมดาทั่วไปหลายเท่า เมื่อหนานกงมั่วเข้ามาถึงในวังหลวงแล้วก็ถูกขันทีเชิญไปรอที่ห้องโถงของห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ไท่ชูกำลังร่วมหารือกับขุนนางไม่กี่คน ก่อนหน้าหนานกงมั่ว ยังมีขุนนางสองกลุ่มที่มาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ไท่ชู ว่ากันว่าหลังเสวยอาหารเช้าฮ่องเต้ไท่ชูก็ยังไม่ได้พักผ่อน ส่วนพี่น้องของเว่ยจวินมั่วเองก็ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัว เซียวเชียนชื่อถูกส่งไปเตรียมการจัดงานเลี้ยงฉลองพระบรมราชสมภพในวันพรุ่งนี้ เซียวเชียนเหว่ยกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลผู้ปกครองเมืองต่างๆ เว่ยจวินมั่วพาเซียวเชียนจย่งไปโต้เถียงอยู่กับทูตจากแคว้นต่างๆ ที่เรียกว่าการเจรจาตั้งแต่เช้าจรดเย็น ความจริงฉู่อ๋องทำหน้าที่นี้มาติดต่อกันหลายวันแล้ว เดิมทีฉู่อ๋องก็ไม่ชอบเอ่ยวาจา ทว่าฮ่องเต้ไท่ชูกลับส่งไปทำงานที่ต้องใช้ฝีปาก โชคดีแม้เว่ยจวินมั่วจะไม่อาจเรียกได้ว่าฝีปากดี แต่ว่าบรรยากาศรอบตัวเขาก็เพียงพอให้คนไม่อาจใช้ฝีปากกับเขา ตอบรับอย่างว่าง่าย บันทึกการเจรจาในช่วงนี้จึงเป็นที่พึงพอใจของฮ่องเต้ไท่ชูยิ่งนัก
หนานกงมั่วกำลังนั่งเหม่อลอย องครักษ์คนหนึ่งก็เข้ามาเอ่ยรายงานเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “พระชายา ฮองเฮาเชิญพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงมั่วมอง ก็คือขันทีข้างกายฮองเฮานั่นเอง จึงต้องลุกขึ้นเดินตามขันทีไปเข้าเฝ้าฮองเฮาที่วังหลังแล้ว
ในตำหนักฮองเฮานั้นคึกครื้น เดิมวันนี้เป็นวันที่เหล่ามิ่งฟู่[1]มาเข้าเฝ้าฮองเฮาในทุกๆ เดือน ใกล้จะถึงวันพระบรมราชสมภพแล้ว เก่ามิ่งสตรีที่มีอำนาจในจินหลิง ชายาเอกของผู้ปกครองเมืองต่างๆ ที่เดินทางมายังเมืองหลวงต่างก็ทยอยเข้าวัง หนานกงมั่วเดินเข้าไปพลันมองเห็นผู้คนนั่งเต็มห้องโถง เกือบแสดงท่าทีตกใจออกมา ฮองเฮามองเห็นหนานกงมั่วใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มออกมา กวักมือเอ่ย “อู๋สยา รีบเข้ามาเถิด”
หนานกงมั่วรีบเข้าไปถวายพระพร “ถวายพระพรเสด็จแม่เพคะ”
ฮองเฮายิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้ายุ่ง แต่วันนี้เสด็จอาสะใภ้ทั้งหลายต่างก็มาพร้อมแล้ว ต้องพบสักหน่อย ต่อไปคงหาโอกาสที่ดีเช่นนี้ไม่ได้ง่ายๆ”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ เป็นลูกที่คิดไม่รอบคอบเองเพคะ” หนานกงมั่วลุกขึ้นตอบรับด้วยรอยยิ้ม
พระชายาโจวอ๋องที่นั่งถัดลงมาจากฮองเฮายกมือป้องปากเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นานมาแล้วพระชายาฉู่อ๋องยังต้องเรียกข้าว่าเสด็จป้าอยู่เลย ยามนี้กลับเปลี่ยนมาเรียกเสด็จอาสะใภ้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ใครก็ไม่อาจเอ่ยได้อย่างแม่นยำ” ฮองเฮาจ้องนางเขม็งอย่างไม่พอใจ เอ่ย “ปากนี้ของเจ้า…อู๋สยา นี่คือเสด็จอาสะใภ้ห้าของเจ้า ยังจำได้หรือไม่”
แน่นอนว่าหนานกงมั่วจำพระชายาโจวอ๋องงดงามผู้นี้ได้ ยังจำได้ถึงเรื่องของบุตรชายเพียงคนเดียวของพระชายาโจวอ๋องเกี่ยวข้องกับเว่ยจวินมั่วเล็กน้อย แม้ความจริงแล้วจะเป็นฝีมือของเซียวเชียนเยี่ย แต่ใครใช้ให้ทำเพื่อสาดโคลนใส่เว่ยจวินมั่วกันเล่า อย่างน้อยความซวยนี้เว่ยจวินมั่วยังคงแบกไปครึ่งหนึ่ง
“คารวะเสด็จอาสะใภ้ห้าเพคะ ไม่เจอเสด็จอาสะใภ้ห้ามานานหลายปียังคงสง่างามโดดเด่น เหล่าหลานๆ ยังไม่อาจเทียบได้” หนานกงมั่วคารวะด้วยรอยยิ้ม
พระชายาโจวอ๋องหัวเราะ “ดูปากเล็กนี่ มิน่าเล่าฝ่าบาทและฮองเฮาถึงได้รักเอ็นดูเพียงนี้” หนานกงมั่วเม้มริมฝีปากยิ้ม เพียงยิ้มบางไม่เอ่ยวาจา
ฮองเฮาแนะนำบรรดาพระชายาที่เหลือให้หนานกงมั่วได้รู้จัก มีทั้งหยวนเพ่ย[2]และจี้เฟย[3] ข้างกายพระชายาเหล่านี้ต่างก็มีพระชายาซื่อจื่อจวิ้นอ๋องต่างๆ ต่อให้หนานกงมั่วจะบอกว่าตนเองมีความจำที่ดี แต่ก็ยังรู้สึกรับไม่ไหว รอจนกระทั่งทำความรู้จักคารวะเหล่าพระชายาทั้งหมดแล้ว หนานกงมั่วจึงลอบระบายลมหายใจออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งลงยังที่นั่งว่างตรงหน้าซุนเหยียนเอ๋อร์และจูชูอวี้
เหล่าพระชายาทั้งหลายราวกับเต็มไปด้วยความประหลาดใจต่อหนานกงมั่วหลานสะใภ้ผู้นี้ แม้แต่ยามที่นั่งลงแล้วหนานกงมั่วยังรู้สึกว่าสายตาที่มองมายังนางไม่ได้น้อยลงเลยด้วยซ้ำ พระชายาโจวอ๋องมองไปยังหนานกงมั่วพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พระชายาฉู่อ๋องนั้นเป็นคนยุ่งมากๆ หลายวันมานี้พวกเรายังไม่เห็นแม้เพียงเงาเลย วันนี้หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาส่งคนไปเชิญ เกรงว่าคงจะไม่ได้เจอ”
หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “เสด็จอาสะใภ้ห้ากล่าวหนักไปแล้วเพคะ หลายวันก่อนอู๋สยายังเจอเสด็จอาสะใภ้ในงานเลี้ยงของเสด็จป้ารองอยู่เลยเพคะ เพียงแต่เสด็จอาสะใภ้กำลังยุ่ง อู๋สยาเป็นผู้น้อยไม่กล้าเข้าไปรบกวน”
“ช่างพูดเก่งเสียจริง หากข้ามีลูกสะใภ้เยี่ยงนี้สักคนคงรักไม่ไหว” พระชายาโจวอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หนานกงมั่วร้องไห้ไม่ได้ยิ้มไม่ออก การสร้างรอยร้าวนี้ช่างโจ่งแจ้งเกินไป
พระชายาฉีอ๋องที่นั่งอยู่ข้างพระชายาโจวอ๋องถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ “พี่สะใภ้ห้า พระชายาฉู่อ๋องเป็นผู้น้อย ท่านอย่าได้ทำให้นางตกใจ”
พระชายาโจวอ๋องส่งเสียงหยัน เอ่ยเสียงเบา “เจ้าช่างเป็นคนใจดีนัก”
พระชายาฉีอ๋องเพียงยิ้มบางไม่โต้เถียงกับนางต่อ หันไปพยักหน้าให้หนานกงมั่วด้วยรอยยิ้ม สีหน้าท่าทางใจดีอยู่ไม่น้อย หนานกงมั่วยิ้มหวาน พยักหน้าแสดงความขอบคุณกลับไป
อย่างไรหนานกงมั่วก็เป็นเด็ก พระชายาหญิงสูงศักดิ์มากมายอยู่ในที่นี่ เป็นไปไม่ได้ที่จะคุยกับนางตลอดเวลา รอทุกคนเริ่มเอ่ยถึงหัวข้ออื่น หนานกงมั่วจึงลอบถอนหายใจ พูดคุยโต้ตอบกับคนเหล่านี้ มิสู้ต่อสู้กับเหล่ามือสังหารที่ใช้ดาบใช้กระบี่อย่างโจ่งแจ้งคงจะมีความสุขมากกว่าจริงๆ
“พี่สะใภ้” ซุนเหยียนเอ๋อร์โน้มตัวมาเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม
หนานกงมั่วยิ้มให้นาง “ข้าไม่เป็นไร เมื่อคืนพวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ซุนเหยียนเอ๋อร์ส่ายศีรษะ ความจริงนางกลับไปถึงจวนจึงรู้ว่าเกิดเรื่องลอบสังหารขึ้น แม้รู้สึกกลัวตามหลังทว่าตอนนั้นนางไม่รู้อันใดเลย จูชูอวี้กลับคาดเดาได้บ้าง เพียงแต่ข้างกายมีคนคอยคุ้มกัน ตัวนางก็เป็นคนรักชีวิตคนหนึ่ง แน่นอนจึงไม่เป็นอันใด จูชูอวี้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ได้ยินว่าพี่สะใภ้เข้าวังมาแล้ว พวกหม่อมฉันรอตั้งนานก็ไม่เห็นพี่สะใภ้ ที่แท้ก็ไปหาเสด็จพ่อหรือเพคะ”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ “มีเรื่องต้องรายงานเสด็จพ่อ เพียงแต่ที่ห้องทรงพระอักษรนั้นยุ่งมาก ข้าจึงรอสักหน่อย คิดว่าช่วงไม่กี่วันนี้เสด็จแม่เองก็คงยุ่งมากจึงไม่กล้ามารบกวน”
ซุนเหยียนเอ๋อร์พยักหน้า “หลายวันมานี้เสด็จแม่ยุ่งมากจริงๆ เพคะ” ต้องรับรองสตรีสูงศักดิ์พระชายาเหล่านี้ที่ขอเข้าเฝ้า อีกทั้งยังทูตจากแคว้นต่างๆ ฮองเฮายุ่งมากจริงๆ จนร่างกายดูผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ยังมีชีวิตชีวาจึงดูไม่ออก หนานกงมั่วเรียนการแพทย์ กลับมองเห็นความเหนื่อยล้าที่ฮองเฮาซ่อนเอาไว้ที่หว่างคิ้ว ในขณะที่กำลังคิดว่ากลับไปต้องส่งสมุนไพรอุ่นๆ บำรุงร่างกายมาให้ฮองเฮา ขันทีดูแลปรนนิบัติที่ห้องทรงพระอักษรด้านหน้าพลันมาขอเข้าเฝ้า บอกว่าฝ่าบาทเรียกพระชายาฉู่อ๋องเข้าเฝ้า ห้องโถงพลันเงียบลงทันใด ฮองเฮาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อฝ่าบาทเชิญเข้าเฝ้า อู๋สยาก็รีบไปเถิด อย่าได้เสียเวลา”
หนานกงมั่วลุกขึ้น ย่อตัวลงเบาๆ “ลูกทูลลาเพคะ”
“รีบไปเถิด” ฮองเฮาพยักหน้าเอ่ย
ออกมาจากตำหนักของฮองเฮา หนานกงมั่วหันกลับไปมองยกมือขึ้นเช็ดเหงื่ออย่างอดไม่ได้ ในตำหนักนั้นนั่งอยู่หลายสิบเกือบร้อยคน แม้ทุกคนจะควบคุมเสียงได้เป็นอย่างดี แต่เสียงจอแจของพระชายาและสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นก็ทำให้คนเวียนหัวไม่น้อย ตำแหน่งฮองเฮานี้ก็ไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ เลย
ยามหนานกงมั่วก้าวเท้าเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ไท่ชูกำลังโกรธกริ้ว หนานกงมั่วไม่ตกใจและไม่ได้หวาดกลัว ฮ่องเต้ไท่ชูไม่ใช่คนอารมณ์ดีนางชินแล้ว ยังแสดงอารมณ์โกรธออกมาได้แสดงว่าเขายังไม่ได้โกรธมาก หากฮ่องเต้ไท่ชูโกรธขึ้นมาจริงๆ กลับเงียบเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับทะเลกว้างใหญ่ที่กำลังเกิดพายุ ดูเงียบสงบอันตรายและไอสังหารซุกซ่อนอยู่เบื้องลึกไม่มีที่สิ้นสุด
“เสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ไท่ชูส่งเสียงหยันโบกมือส่งสัญญาณให้นางนั่งลงคุยกัน พร้อมเอ่ยถาม “เรื่องลอบสังหาร มีเบาะแสแล้วหรือ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ยเล่าง่ายๆ ฮ่องเต้ไท่ชูจนคำพูด “ไม่มีแล้วเจ้าเข้าวังมาทำไมเล่า” หนานกงมั่วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้ขันทีด้านข้าง ขันทีรับมาด้วยสองมือไม่กล้าแม้แต่เหลือบมองส่งไปตรงหน้าให้ฮ่องเต้ไท่ชูทันที ฮ่องเต้ไท่ชูมองหนานกงมั่วด้วยความสงสัยก่อนจะรับไปเปิดอ่านคิ้วคมขมวดเล็กน้อย “นี่คือความคิดของเจ้าหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยตอบ “เพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูพยักหน้า ครุ่นคิดพลางเอ่ย “รอบคอบกว่าที่พวกเขาคิดสักหน่อย ดีมาก เช่นนี้แล้ว ข้าควรให้พวกเขาไปเรียนรู้จากเจ้า กลุ่มคนไร้ความสามารถทำอันใดก็ไม่สำเร็จ” หนานกงมั่วถอนหายใจ หลุบตาลง “เสด็จพ่อเอ่ยหนักไปแล้วเพคะ มุมมองที่แตกต่างในการแก้ปัญหาเท่านั้น แน่นอนว่าทหารองครักษ์ในวังนั้นเยี่ยมยอด หม่อมฉันเพียงเสริมเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเพคะ เสด็จพ่อคิดว่ามีประโยชน์ก็ใช้ หากไม่อาจใช้การได้ถือเสียว่าดูๆ ไปเท่านั้นเพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูม้วนแผ่นกระดาษเก็บเอาไว้ในกล่องข้างกาย เอ่ย “ก่อนหน้านี้จวินมั่วเอ่ยกับข้าแล้ว ส่งองครักษ์จวนฉู่อ๋องเข้าวัง เคยเอ่ยกับเจ้าแล้ว”
หนานกงมั่วพยักหน้า ลังเลอยู่เล็กน้อย “เอ่อ…ไม่เหมาะสมหรือไม่เพคะ” นี่เป็นจุดที่หนานกงมั่วกังวล พระราชวังเป็นที่อยู่ของโอรสสวรรค์ พื้นที่ต้องห้าม ส่งองครักษ์สายลับเข้าวังมาคุ้มกันฮ่องเต้ หากมีคนเข้าใจผิดนั่นเป็นการสอดแนมในวังแล้ว แต่องครักษ์ประจำพระองค์ของฮ่องเต้ไท่ชูในยามนี้ยังไม่เก่งกาจนัก อย่างไรก็เพิ่งแต่งตั้งมาจากองครักษ์ของผู้ปกครองเมือง การเดินทางคุ้มกันจากการทำสงครามและคุ้มกันการครองบัลลังก์นั้นมีความแตกต่างกันไม่น้อย ทหารองครักษ์เดิมในวังนั้นมีไม่น้อย ทว่าฮ่องเต้ไท่ชูไม่วางใจใช้งานพวกเขาเพียงนั้น
มีหรือฮ่องเต้ไท่ชูจะไม่รู้ว่าหนานกงมั่วกำลังคิดสิ่งใด เอ่ยเสียงเรียบ “มีอันใดไม่เหมาะสม หากแม้แต่บุตรชายของตนยังไม่อาจเชื่อ ข้ายังจะเชื่อใจใครได้”
สำหรับเรื่องนี้ หนานกงมั่วไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ พ่อลูกในเชื้อพระวงศ์ไม่ถูกกันมีน้อยหรือ
ฮ่องเต้ไท่ชูโบกปัดมือ เอ่ย “เอาล่ะ เอาตามนี้ เพียงไม่กี่วันนี้แล้ว รอจวินเอ๋อร์ว่างแล้ว ยังต้องให้เขาเข้ามาฝึกพวกในวังเหล่านี้อีกสักรอบจึงจะได้”
“เสด็จพ่อ พระองค์รับปากจะให้เขาหยุดพักนะเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยเตือนถึงการตอบแทนที่เขาให้กับตน
ฮ่องเต้ไท่ชูไม่พอใจ “ไม่ได้เรื่องสักคน อายุน้อยยังคิดเกียจคร้าน ข้าอายุเพียงนี้ยังพักไม่ได้เลย เอาล่ะเอาล่ะ ข้าจำได้ ค่อยเป็นค่อยไปเถิด ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่” หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เดิมก็เข้าวังมาเพื่อวางกำลังองครักษ์ในวันพรุ่งนี้ เอ่ยเรื่องนี้จบก็มีเพียงเรื่องเล็กเรื่องน้อยแล้ว “ในเมื่อเสด็จพ่อไม่มีข้อโต้แย้ง เดี๋ยวหม่อมฉันจะให้พวกเขาเข้าวังมารับคำสั่งจากหัวหน้าองครักษ์เพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้านับว่าตอบรับแล้ว หนานกงมั่วกำลังจะเอ่ยทูลลา นางเองก็ยุ่งมากเช่นกัน
ฮ่องเต้ไท่ชูกลับยังมีเรื่องเอ่ยไม่ทันจบ “เมื่อวานเจ้ากับเซี่ยเจ็ดไปที่หอจ้วงหยวนหรือ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วอย่างสงสัย เมื่อคืนพระองค์ก็รู้แล้วมิใช่หรือ ยังเห็นว่าเซี่ยเจ็ดไปกับข้าด้วย
ฮ่องเต้ไท่ชูส่งเสียงหยัน ราชโองการฉบับหนึ่งลอยมาร่วงลงบนโต๊ะตรงหน้าหนานกงมั่ว เอ่ย “ดูสิ” หนานกงมั่วหยิบขึ้นมาเปิดออกดู ราชโองการร้องเรียนอย่างที่คาดเอาไว้ คู่กรณีร้องเรียนคือลิ่นฉังเฟิง คุณชายเซี่ยเจ็ด และหนานกงมั่ว แต่เป็นเพราะยืมชื่อน้องสาวของเซี่ยเจ็ดเข้าไปในห้องส่วนตัวก่อนจึงรอดตัวไป
ส่วนเนื้อหาร้องเรียน ไม่ได้นอกเหนือไปจากพฤติกรรมไม่เหมาะสมของลิ่นฉังเฟิงดูหมิ่นเครื่องแบบราชสำนัก เซี่ยเจ็ดคิดว่าตนมีความสามารถสูงส่ง กลั่นแกล้งผู้เข้าสอบ กดขี่ชื่อเสียงของผู้มีความสามารถต่างๆ นานา หนานกงมั่วคิดชื่นชม สิ่งที่เรียกว่าผู้ตรวจการสามารถทำให้เรื่องเล็กเรื่องน้อยกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจไม่น่าให้อภัยได้ ใช้คำรุนแรง ว่ากันว่าเซี่ยเจ็ดพยายามทำให้ผู้มีความสามารถคนหนึ่งต้องอับอาย ทำลายความมั่นใจของคนอื่น ลบล้างมุมมองชีวิตของผู้อื่น ทำลายอนาคตไร้ขีดจำกัดของผู้มีความสามารถคนหนึ่งจนไม่มีวันลุกขึ้นมาได้ คิดทำลายอนาคตเสาหลักแห่งผู้มีความสามารถ ใช้พิษน่ารังเกียจ จิตใจร้ายกาจ
“…” ไยจึงมักคิดว่าข้าเห็นคนละเรื่องกับพวกเขาเล่า
“มีความคิดเยี่ยงไร” ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ยถาม
หนานกงมั่วลูบจมูก เอ่ย “ความสามารถทางจิตใจของผู้มีความสามารถผู้นี้…อ่อนแอเกินไปสักหน่อยเพคะ ยามสอบหน้าพระที่นั่ง จะเป็นลมตั้งแต่ก้าวเข้ามาในตำหนักหรือไม่เพคะ”
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่เดิมโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้ไท่ชูพลันอดหัวเราะแปลกประหลาดออกมาไม่ได้ “อ้อ เจ้ามองเช่นนี้หรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่อยู่ในสถานการณ์ แต่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยเจ็ดเอ่ยกับผู้มีความสามารถผู้นั้นอย่างชัดเจนทุกประโยค หากใต้เท้าที่ร้องเรียนเหล่านั้นต้องการ สามารถเทียบวาจากับผู้มีความสามารถผู้นั้นต่อหน้าได้ หากมีคำที่ไม่ตรงก็นับว่าเป็นความผิดของหม่อมฉัน แน่นอนว่าหากผู้มีความสามารถที่ฎีกานี้เอ่ยถึงไม่ใช่คนที่หม่อมฉันรู้ผู้นั้น เช่นนั้นคงต้องขอให้เสด็จพ่อช่วยสืบให้ชัดแจ้ง ส่วนลิ่นฉังเฟิง เสด็จพ่อสามารถตัดสินได้ด้วยพระองค์เอง หม่อมฉันมิบังอาจล่วงล้ำงานของราชสำนักเพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ยไม่สบอารมณ์ “ช่างเถิด ผู้ตรวจการพวกนี้ชอบหาเรื่อง แต่ใช่ผู้มีความสามารถของหลิงโจวผู้นั้นใช่หรือไม่” ใบหน้าของฮ่องเต้ไท่ชูเผยสีหน้ารังเกียจ ส่งเสียงหยัน “ดูเหมือนความสามารถจะโดดเด่นจริงๆ ถึงทำให้ใครหลายคนเรียกเขาว่าเสาหลักของประเทศได้ ข้าเองก็อยากรู้ นี่เป็นผู้มีพรสวรรค์ประเภทใดกัน ได้ยินว่าคนผู้นี้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลจ้าวแล้วหรือ”
พระองค์รู้แล้วจะถามหม่อมฉันทำไมเพคะ
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ “คล้ายจะมีเรื่องเช่นนี้เพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูขมวดคิ้ว “นับว่าฉลาด ช่างเถิด รอผ่านสองวันนี้ไปค่อยเอ่ยเรื่องนี้เถิด ได้ยินมาว่าเซี่ยโหววางหมากแล้วอย่างนั้นหรือ ที่นี่ข้ามีชุดหมากล้อมหยกขาวดำงดงาม เจ้าให้คนส่งไปให้ตระกูลเซี่ยเถิด”
นี่หมายถึงจะดันหลังตระกูลเซี่ยอย่างนั้นหรือ
หนานกงมั่วลุกขึ้นย่อตัวแสดงความเคารพ เอ่ย “หม่อมฉันรับคำสั่ง หากไม่มีอันใดแล้ว คงต้องทูลลาแล้วเพคะ”
“ไปเถิด” ฮ่องเต้ไท่ชูพยักหน้าเอ่ย
หนานกงมั่วย่อตัวอีกครั้ง หมุนตัวเดินออกจากห้องทรงพระอักษรไป
[1] มิ่งฟู่ ตำแหน่งของภรรยาขุนนาง
[2] หยวนเพ่ย ภรรยาเอกคนแรกและคนเดียว ไม่ได้แต่งภรรยาเอกคนใหม่
[3] จี้เฟย ความหมายเดียวกับจี้ซื่อ แต่เป็นของภรรยาของอ๋อง จี้เฟยคือภรรยาเอกคนใหม่ คนเก่าอาจจะตายหรือเลิกรา ต้องแต่งคนใหม่เข้ามาแทน