หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1194 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ตอนที่ 1194 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
องค์ชายแห่งหนานเย่ว์อดงุนงงไม่ได้เมื่อเขาถูกแรงกระแทกจนล้มคว่ำลงไปกับพื้นอย่างกะทันหัน ก่อนที่พวกเขาจะมาก็ได้สืบทราบมาก่อนแล้วว่า ฉู่อ๋องแห่งต้าเซี่ยและพระชายานั้นมีวรยุทธ์แข็งแกร่งมาก แต่องค์ชายหนานเย่ว์เองก็ถือเป็นยอดฝีมือของราชสำนักหนานเย่ว์ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก จนกระทั่งเขาได้รู้ในยามนี้เองว่าระหว่างยอดฝีมือด้วยกันก็ยังมีช่องว่าง
หลังจากที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่ทางด้านหลัง เขาก็เลิกต่อต้านการโจมตีของหนานกงมั่วทันที และพยายามที่จะหลบการโจมตีจากคนข้างหลังแทน เพราะเขารู้สึกได้ว่าแม้พระชายาฉู่อ๋องจะทักทายเขาด้วยดาบที่ชี้หน้าเขาอยู่อย่างนี้ แต่นางก็ไม่ได้มีเจตนาสังหาร ตรงกันข้ามกับคนที่อยู่ข้างหลังเขา จิตสังหารรุนแรงพุ่งเข้าสู่หัวใจของเขาก่อนที่เขาจะมองเห็นร่างนั้นเสียอีก แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วขณะสำหรับคนภายนอก แต่สำหรับองค์ชายหนานเย่ว์แล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเขาพยายามใช้วิธีการต่างๆ เพื่อหลบหลีกการโจมตีของเว่ยจวินมั่วไปแล้วอย่างน้อยสามวิธี แม้ว่าจะต้องแลกกับการรับดาบจากหนานกงมั่ว อย่างไรก็ตาม หนานกงมั่วก็แค่แทงเขาเบาๆ เท่านั้น และในขณะที่เขากำลังจะล้มลงกับพื้นนั่นเอง เขากลับหลบฝ่ามือของเว่ยจวินมั่วไม่พ้น ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นราวกับอวัยวะภายในทั้งห้าของเขากลับตาลปัตร
หนานกงมั่วหยุดมือหลังจากที่แทงเขาไปหนึ่งครั้ง เพราะถึงอย่างไรองค์ชายหนานเย่ว์ก็ไม่ได้ต้องการทำร้ายนางจริงๆ หลักๆ แล้วคงเป็นเพราะความอับอายที่กลายเป็นความโกรธจนทำให้เขาหน้ามืดไปชั่วขณะบวกกับความกลัวว่าจะรับมือนางไม่ได้อีกเล็กน้อยเท่านั้น
“จวินมั่ว” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นเบาๆ คงไม่ใช่เรื่องดีหากเว่ยจวินมั่วทำให้ทูตของหนานเย่ว์พิการ เว่ยจวินมั่วไม่สนใจคำพูดขององค์หญิงหลิงเซียง แต่เขาเก็บฝ่ามือที่กำลังจะซัดออกไปอีกครั้งกลับมาเมื่อหนานกงมั่วเอ่ยปาก เขาย่อมไม่สามารถทำให้องค์ชายหนานเย่ว์ตายตรงนี้ได้อยู่แล้ว แต่การทำให้องค์ชายหนานเย่ว์อยู่ในสภาพปางตายสักสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด
“เสด็จพี่เป็นอย่างไรบ้าง” องค์หญิงหลิงเซียงลอบถอนหายใจก่อนจะรีบเดินเข้าไปพยุงองค์ชายหนานเย่ว์ขึ้นมา องค์ชายหนานเย่ว์เจ็บจนหอบหายใจ กระบี่ชิงหมิงทิ้งรอยแผลกว้างขนาดสองนิ้วมือและยาวสามถึงสี่ชุ่นเอาไว้บนใบหน้าเขา กระบี่ชิงหมิงเย็นเยียบและทรงพลัง แม้ว่าสีผิวของเจ้าชายหนานเย่ว์จะเข้มกว่าสีผิวของชาวจงหยวนเล็กน้อย แต่รอยแผลนั้นก็สามารถเห็นเป็นสีแดงอมม่วงได้อย่างชัดเจนจนน่าตกใจ ไหนเลยที่เขาจะรักษาท่าทีสงบนิ่งและผ่อนคลายในแบบองค์ชายอย่างเมื่อครู่นี้ไว้ได้อีก
ชาวบ้านที่อยู่รายล้อมแอบหัวเราะเยาะเขาอย่างอดไม่ได้
“ไม่…ไม่เป็นไร” ในที่สุดองค์ชายหนานเย่ว์ก็สามารถลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วทั้งสองคนได้ด้วยการประคับประคองขององค์หญิงหลิงเซียง ผู้ติดตามที่อยู่ด้านข้างก็รีบเข้ามาช่วยองค์หญิงพยุงเขาขึ้น บริวารคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ฉู่อ๋อง นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“แลกเปลี่ยนวิชาน่ะ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเรียบๆ
ผู้ติดตามส่งเสียงเยาะ “สองรุมหนึ่ง จะลอบโจมตีกันหรือ”
“เมื่อครู่นี้พระชายาก็ยั้งมือแล้ว แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมจบ ยังมียางอายอยู่หรือไม่!” ใครบางคนในฝูงชนก่นด่าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ส่วนบางคนก็มองออกอย่างชัดเจน เซียวเซียนจย่งเย้ยหยัน “เมื่อครู่นี้พี่สะใภ้ข้าชนะแล้วไม่ใช่หรือ องค์ชายหนานเย่ว์แพ้ไม่เป็นมากกว่าจึงได้ไม่ยอมรามือใช่หรือไม่” เว่ยจวินมั่วก็แค่ซัดเขาล้มลงกับพื้นเท่านั้น เขาไม่มีบาดแผลภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้คนที่อยู่ใกล้ๆ เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเสื้อผ้าบริเวณไหล่และหัวใจขององค์ชายหนานเย่ว์ขาดวิ่น เขามีรอยเลือดเล็กน้อยตรงบริเวณลูกกระเดือก บาดแผลไม่ลึกไม่มีเลือดไหลออกมาด้วยซ้ำ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากกระบี่จากของหนานกงมั่ว
“องค์ชายสี่พูดถูก! องค์ชายหนานเย่ว์ก็แค่นี้เอง!” ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ความอึดอัดคับข้องใจเมื่อครู่นี้ถูกระบายออกไปหมดแล้ว พวกเขารู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยและเงยหน้าขึ้นมาได้อีกครั้ง
คนติดตามผู้นั้นไม่สามารถจะโต้แย้งได้ จึงได้แต่ต้องกัดฟันอดทนต่อไป
หนานกงมั่วยิ้ม “เชิญองค์หญิงหลิงเซียง?”
องค์หญิงหลิงเซียงตาเป็นประกายเล็กน้อย นางส่ายศีรษะพลางยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “พระชายาวรยุทธ์สูงส่ง แม้แต่พี่ชายข้าก็สู้ไม่ได้ หลิงเซียงย่อมไม่ใช่คู่มือของพระชายา คงต้องยอมแพ้แต่โดยดี” ในเมื่อพวกนางประเมินหนานกงมั่วไว้ต่ำเกินไป ก็ไม่สู้ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมาดีกว่า การยึกยักไม่ยอมรับรังแต่จะเป็นการดูถูกตัวเองเสียเปล่าๆ
ผู้คนที่ยังคงรู้สึกขุ่นเคืองในทีแรกรู้สึกดีต่อตัวองค์หญิงพระองค์นี้ขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่านางตรงไปตรงมาเช่นนี้
องค์หญิงหลิงเซียงกล่าว “พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บคงต้องขอตัวกลับก่อน หากวันนี้พวกเราเสียมารยาทไปก็ต้องขอให้องค์ชายและพระชายาอภัยให้ด้วย ขอตัวก่อน”
หนานกงมั่วพยักหน้าน้อยๆ “ได้สิ แต่ว่า…” ร่างของหนานกงมั่วเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นางดึงแส้ออกมาจากเอวของผู้ติดตามคนหนึ่ง แล้วสะบัดมันออกไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังองค์ชายหนานเย่ว์อย่างไร้ความปรานี คนผู้นั้นกรีดร้องก่อนจะเอามือปิดหน้าและล้มลงกับพื้นทันที
“พระชายา ท่าน!” องค์หญิงหลิงเซียงร้องออกมาด้วยความตกใจทันที
หนานกงมั่วโยนแส้ทิ้งอย่างง่ายๆ “คงไม่ส่งนะ”
ผู้ติดตามที่ถูกเฆี่ยนคือคนที่ทำให้ใบหน้าของบัณฑิตคนหนึ่งบาดเจ็บในทีแรก เวลานี้เขาตะโกนออกมาอย่างเหลืออดพลางเอามือปิดใบหน้าที่มีเลือดไหล “พระชายา!…พวกเราเป็นคณะทูตจากหนานเย่ว์ ท่านกล้า…กล้าดีอย่างไร…”
หนานกงมั่วเอ่ยเรียบๆ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน บังเอิญที่นี่เป็นแผ่นดินต้าเซี่ย”
ผู้ติดตามผู้นั้นยังไม่ยอมและอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกองค์หญิงหลิงเซียงตำหนิเสียงเบาเสียก่อน “พวกเรากลับกันก่อน!” องค์ชายหนานเย่ว์บาดเจ็บไม่น้อย ถ้าไม่รีบกลับไปตามหมอมาดู เกิดเขาเป็นอันใดขึ้นมาคงจะไม่มีใครรับผิดชอบได้
ชายผู้นั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอม เขาติดตามองค์หญิงจากไปด้วยความเกลียดชัง ในขณะฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง
องค์หญิงหลิงเซียงพยุงองค์ชายหนานเย่ว์ออกไปจากสถานที่อันพลุกพล่านนี้พร้อมกับคนอื่นๆ ก่อนจะหายไปท่ามกลางฝูงชนในเวลาไม่นาน เมื่อไม่มีสิ่งใดสนุกๆ ให้ดูแล้ว ฝูงชนก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที โชคดีที่การประชันกวีเพิ่งจบลงพอดีเช่นกัน หลังจากที่ได้ดูเรื่องสนุกๆ แล้ว ทุกคนจึงพากันแยกย้ายไปในที่สุด
เซียวเชียนเหว่ยยืนอยู่ข้างถนน เขามองฝูงชนที่แยกย้ายกันไปอย่างเหม่อลอย
“พี่สาม? พี่สาม!” เสียงเรียกของเซียวเชียนจย่งทำให้เขาได้สติกลับมา เซียวเชียนจย่งมองเขาด้วยความประหลาดใจ “พี่สาม พี่กำลังคิดอันใดหรือ ข้าพูดด้วย ท่านก็ไม่ได้ยินหรือ”
เซียวเชียนเหว่ยยิ้มอย่างขอโทษขอโพย “ไม่มีอันใด เจ้าว่าอย่างไรนะ”
เซียวเชียนจย่งชี้ไปที่หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วก่อนจะเอ่ย “ข้าบอกว่า พี่ใหญ่และพี่สะใภ้กำลังดื่มชาอยู่ตรงนั้น ท่านกับพี่สะใภ้สามจะเข้าไปหรือไม่” เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยตอบ “กว่าจะได้พบกันไม่ใช่ง่ายๆ เลย โชคดีที่วันนี้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จัดการสถานการณ์ได้ดี พวกเราเข้าไปทักทายสักหน่อยเถิด” เมื่อพูดจบแล้วจึงหันกลับมาสั่งการ จากนั้นก็พาจูชูอวี้และชายารองเหวินเดินไปหาหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้” เซียวเชียนเหว่ยประสานมือพลางเอ่ย “วันนี้โชคดีจริงๆ ที่ได้พี่สะใภ้ ไม่อย่างนั้น…” หนานกงมั่วหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่จริงแล้วองค์หญิงและองค์ชายหนานเย่ว์ต่างก็เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก” เซียวเชียนเหว่ยยิ้มแต่สีหน้าของเขาก็ยังอึดอัด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเกลียดคณะทูตจากหนานเย่ว์เข้ากระดูกดำ
คนทั้งกลุ่มกลับไปยังโรงน้ำชาอีกครั้ง ลิ่นฉังเฟิงยกนิ้วโป้งให้หนานกงมั่ว “แม่นางมั่ว ฝีมือไม่ตกเลย เลื่อมใส”
หนานกงมั่วกลอกตาใส่เขาอย่างเบื่อหน่าย “อย่าพูดเหมือนข้าเป็นคนแก่อายุเจ็ดแปดสิบอย่างนั้นสิ”
ลิ่นฉังเฟิงรีบขอโทษทันที “มิกล้า พระชายายังอ่อนเยาว์อยู่เลย”
เว่ยจวินมั่วหิ้วเขาไปโยนไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อให้มีที่นั่งว่างสำหรับเซียวเชียนจย่งและเซียวเชียนเหว่ย คุณชายฉังเฟิงโศกเศร้าเสียใจมาก เขาได้แต่หลบไปอยู่ด้านหลังเจี่ยนชิวหยางและคุณชายเซี่ยเจ็ดตรงมุมห้อง ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ต่างหัวเราะคิกคัก เหอเหวินลี่เอามือปิดหน้าปิดตาและรู้สึกว่าตนเองเลือกคบเพื่อนผิดไปแล้วจึงต้องมาอับอายขายหน้าแบบนี้ เจ้าเด็กประหลาดคนนี้ยังประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในตำแหน่งการงานยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เซียวเชียนเหว่ยมองทุกคนที่เห็นเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องธรรมดาด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย อาจจะกล่าวได้ว่าเขาให้ความเคารพแม่ทัพที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่วเหล่านั้น แต่เว่ยจวินมั่วมักจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างหยาบคาย อย่างเช่น ลิ่นฉังเฟิง เขาก็ไม่ใช่เพิ่งจะเห็นลิ่นฉังเฟิงโดนแกล้งเป็นครั้งแรก แต่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่วกลับไม่ได้รู้สึกว่าเว่ยจวินมั่วดูถูกดูแคลนพวกเขาเลย กลับทุ่มเทให้กับเว่ยจวินมั่วโดยไม่คำนึงถึงชีวิต ซึ่งมันเป็นเรื่องที่…แปลกมากจริงๆ
เขาย่อมไม่เข้าใจ เว่ยจวินมั่วมักจะหยาบคายต่อทุกคนเช่นนี้เหมือนกันหมด แต่ลิ่นฉังเฟิงและเสียนเกอก็แตกต่างจากเจี่ยนชิวหยางอยู่บ้าง เพราะเดิมทีก็มาจากวังจื่อเซียว ส่วนการปฏิบัติต่อฉินจื่อซวี่และคุณชายเซี่ยเจ็ดนั้นก็แตกต่างจากเจี่ยนชิวหยางและคนอื่นๆ อยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับฮ่องเต้ไท่ชูที่อารมณ์ร้าย แต่พระองค์ก็จะไม่ดุด่าแม่ทัพนายพลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาตามอำเภอใจ คนที่พระองค์จะสามารถดุด่าไปพลางหัวเราะไปด้วยได้จริงๆ ก็มีเพียงพวกเฉินอวี้ เซวียเจิน ไม่กี่คนนี้เท่านั้น บางครั้งอาจจะเป็นเพราะต่อหน้าคนกันเอง เขาจึงไม่ได้รู้สึกว่าต้องสุภาพเกรงใจอันใดมาก หากเขาปฏิบัติต่อใครก็ตามด้วยท่าทีสุภาพให้เกียรติตลอดเวลา แล้วจะแยกแยะความสัมพันธ์และสถานะของคนพวกนั้นในใจเขาได้อย่างไร
แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ เว่ยจวินมั่วก็จะช่วยอย่างเต็มที่ กระทั่งวางแผนหลายๆ เรื่องแทนพวกเขาล่วงหน้าด้วยซ้ำ
เซียวเชียนเหว่ยได้เห็นเพียงผิวเผินย่อมมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ลึกลงไป เขาจึงสับสนอยู่บ้าง
เมื่อทุกคนนั่งลงอีกครั้ง ในขณะที่จูชูอวี้และชายารองเหวินก็มาถึงโต๊ะของหนานกงมั่วและคนอื่นๆ จูชูอวี้เหลือบมองชายารองเหวินที่ยืนอยู่ด้านหลังนางก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้เป็นวันพิเศษ เจ้าก็นั่งลงด้วยกันเถิด”
ชายารองเหวินย่อตัวขอบคุณพระชายา จากนั้นจึงนั่งลงทางด้านซ้ายของจูชูอวี้
หลังจากที่มีคนไม่คุ้นหน้านั่งลงเพิ่ม บรรยากาศบนโต๊ะก็เงียบขรึมขึ้นเล็กน้อย ฉินซียิ้มให้หนานกงมั่ว “มั่วเอ๋อร์ เจ้าเก่งจริงๆ!”
เซี่ยเพ่ยหวนยังยกนิ้วให้และเอ่ยชมเชยว่า “เก่งจริงๆ! ก่อนหน้านี้เซวียเสียวเสี่ยวเล่าให้พวกเราฟังว่าเจ้านำทหารออกไปเด็ดหัวแม่ทัพนอกกำแพงเมืองโยวโจว ข้ายังนึกว่านางพูดเกินจริงเสียอีก ดูท่าแล้วจะเป็นเรื่องจริงนะนี่” หนานกงมั่วจนใจ “ข้าเก่งเพียงนั้นที่ไหน พวกเจ้าไม่รู้จักนิสัยของเสียวเสี่ยวหรือ เวลาตื่นเต้นดีใจขึ้นมาก็จะชอบเอ่ยใหญ่โตไว้ก่อน”
จูชูอวี้ยิ้มพลางเอ่ย “จะพูดเช่นนั้นก็คงไม่ได้หรอกเพคะ เมื่อครู่นี้พี่สะใภ้เอาชนะองค์ชายหนานเย่ว์ กู้ชื่อเสียงให้กับต้าเซี่ยของเราได้”
หนานกงมั่วไม่ได้สนใจอันใดนัก “ชื่อเสียงอันใดกัน เป็นเพียงความสนุกสนานของทุกคนเท่านั้น ชาวหนานเย่ว์ชอบรำดาบใช้ทวน ไปไหนก็อดอวดวิชาไม่ได้ ต่อให้ข้าไม่ลงมือ วันนี้พวกเขาก็สู้ไปได้ไม่ถึงไหนหรอก” วันนี้มียอดฝีมืออยู่ที่นั่นไม่น้อย นอกจากพวกเขาแล้ว ตอนที่หนานกงมั่วกำลังต่อสู้อยู่นั้น นางก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่ายังมีสายตาหลายคู่ที่เฝ้ามองอยู่ และพวกเขาก็อาจไม่ใช่คนธรรมดาด้วย
พระชายารองเหวินก็สงบนิ่งเช่นเดียวกับแซ่ของนาง นางนั่งฟังพวกเขาสนทนากันอย่างเงียบๆ อยู่ข้างจูชูอวี้โดยไม่มีความตั้งใจจะเอ่ยแทรกเลยแม้แต่น้อย นางทำตัวเป็นชายารองที่ให้ความเคารพชายาเอกอย่างเต็มที่ หนานกงมั่วไม่ใช่คนที่จะเริ่มเอ่ยอันใดกับนางก่อนอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรชายาเอกก็นั่งอยู่ด้วย การให้ความสนใจสนทนากับชายารองเป็นพิเศษจะเป็นการไม่ไว้หน้าจูชูอวี้ได้ โชคดีที่พวกนางก็ไม่ได้คุ้นเคยกับชายารองเหวินผู้นี้อยู่แล้ว จึงไม่มีเรื่องพูดจากับนางอยู่ดี
ขณะที่การสนทนาอย่างไร้จุดหมายดำเนินไปทางด้านนี้ อีกฟากโต๊ะก็พูดเรื่องไร้สาระขึ้นมา
คือเรื่องการแต่งงานระหว่างตระกูลลิ่นและตระกูลจู หลังจากการโต้เถียงกันอย่างลับๆ มากว่าครึ่งเดือน ลิ่นฮั่นและคุณชายใหญ่ตระกูลจูก็เห็นพ้องต้องกันในที่สุด เรื่องนี้ลิ่นฮั่นเป็นคนผิด ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินน้อยของคุณชายใหญ่ตระกูลจูก็ไม่ได้ทำอันใดผิด อีกทั้งนางยังมีบุตรชายและบุตรสาวที่เป็นทายาทสายหลักอย่างถูกต้องด้วย ตระกูลจูจึงไม่จำเป็นที่จะต้องถอยให้พวกเขาแต่อย่างใด โดยท้ายที่สุดแล้วลิ่นฮั่นก็จะยังได้แต่งเข้าตระกูลจูในฐานะภรรยาอย่างเท่าเทียม
เดิมทีนายท่านตระกูลลิ่นเองก็ไม่เห็นด้วย เขายอมโยนลิ่นฮั่นไปไว้ที่อารามแม่ชีดีกว่าจะยอมอับอายขายหน้าเช่นนี้ แต่ก็ทนการรบเร้าอย่างหนักจากฮูหยินและบุตรชายทั้งสองของตนไม่ได้ จนในที่สุดก็ต้องยอมประนีประนอม แม้จะบอกว่าเป็นภรรยาที่เท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงก็เป็นเพียงอนุภรรยา แค่เรียกให้ดูน่าฟังเท่านั้น และไม่ใช่ว่าตระกูลจูขาดทายาทแล้วจนต้องให้คุณชายใหญ่แต่งงานเพิ่มสักหน่อย ชื่อของลิ่นฮั่นในแผนผังตระกูลของตระกูลจูก็ยังคงต้องเป็นอนุภรรยาอยู่ดี แม้ว่าในอนาคตนางจะให้กำเนิดบุตรชาย ก็ไม่นับว่าเป็นทายาทสายตรงที่เกิดจากภรรยาเอกด้วยซ้ำ สิ่งที่เดียวที่ลิ่นฮั่นมีคือการสนับสนุนจากตระกูลลิ่น หากเป็นครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เมื่อแต่งเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องทนทรมานเช่นไรบ้าง ใครจะไปชอบผู้หญิงที่ทำเรื่องแบบนั้นเพื่อทำลายเชื่อเสียงของตนเองได้ลงเล่า
ตระกูลจูค่อนข้างใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ตระกูลลิ่นกลับไม่สนใจ เขาเพียงแต่สั่งให้ลิ่นฮูหยินจัดการเตรียมสินสอดรอไว้ พอถึงเวลาก็ค่อยส่งไปพร้อมกับตัวคนเท่านั้น แม้แต่ลูกจากอนุก็ยังไม่ได้รับการปฏิบัติที่แย่ถึงเพียงนี้ ส่วนทางด้านตระกูลจู พวกเขาก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของลิ่นฮั่นไปมากกว่าการใช้โอกาสนี้เกาะตระกูลลิ่นเท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำไม่สำเร็จ แต่ก็จะปิดโอกาสไม่ให้ตระกูลลิ่นและจวนฉู่อ๋องจับมือกันได้อีก
ลิ่นฉังเฟิงที่ได้ยินเซียวเชียนเหว่ยเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจพลันโผล่หน้าออกมาจากมุมหนึ่งทันที เขากลอกตาแล้วเอ่ยอย่างหมดความอดทน “เจิ้งอ๋อง เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับพวกเรา หรือว่าตระกูลจูยังคิดที่จะให้พวกเราไปเป็นสักขีพยานตอนที่คุณชายใหญ่จูแต่งอนุภรรยาด้วย”
“ใต้เท้าลิ่นล้อเล่นแล้ว เป็นภรรยาที่เท่าเทียมต่างหาก” เซียวเชียนเหว่ยเอ่ย
ลิ่นฉังเฟิ่งหยัน “เจิ้งอ๋องต่างหากที่ล้อเล่นแล้ว ครอบครัวอย่างพวกเราจะมีภรรยาที่เท่าเทียมได้เช่นไร” อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา การทำอันใดอย่างนั้นจะเป็นการทำให้คนอื่นตลกขบขันมากกว่า อีกอย่างตระกูลจูก็เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าไม่ใช่หรือ คงจะเป็นตาเฒ่านั่นที่เลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ
เซียวเชียนเหว่ยไม่ได้ถือสาเขา เพียงแค่ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าก็เพียงส่งข่าวเท่านั้น คุณชายรองลิ่นบอกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน จึงฝากเชิญคุณชายใหญ่กลับไปร่วมงานแต่งของน้องสาวด้วย”
ลิ่นฉังเฟิงตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะก่อนจะหันหน้าไปดื่มสุราและสนทนากับเหอเหวินลี่ รอให้มีงานแต่งก่อนค่อยมาเอ่ยเรื่องนี้ หากตาเฒ่านั่นยอมเสียหน้าเรื่องนี้สิจึงจะแปลก
เซียวเชียนเหว่ยไม่แปลกใจต่อท่าทางของลิ่นฉังเฟิง เขาเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยไม่ได้เอ่ยอันใดอีก ขณะที่คุณชายเสียนเกอที่อยู่ด้านข้างกำลังจ้องมองเซียวเซียนเหว่ย พลันเอ่ยขึ้นว่า “ช่วงนี้เจิ้งอ๋องไม่ค่อยสบายหรือ”
สีหน้าของเซียวเชียนเหว่ยแข็งค้างไปทันที แต่ในไม่ช้าเขาก็ยิ้มตอบแล้วจึงเอ่ย “ขอบคุณคุณชายเสียนเกอที่เป็นห่วง ข้าสบายดี ไม่ได้เป็นอันใด”
“อ้อ” คุณชายเสียนเกอพยักหน้าและไม่ได้ถามต่ออีก แต่เขาไม่ยอมละสายตาออกจากมือของเซียวเชียนเหว่ยเลย รอยยิ้มของเซียวเชียนเหว่ยแข็งๆ ขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าคุณชายเสียนเกอมักจะมองตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของตนอย่างมีความหมาย แน่นอน…คุณชายเสียนเกอจะไม่มีวันทำตัวเสียมารยาทเช่นนั้น เป็นเพียงความรู้สึกคิดไปเองของเซียวเชียนเหว่ยเท่านั้น
เมื่อได้ยินวาจาของคุณชายเสียนเกอ จูชูอวี้และชายารองเหวินที่อยู่ด้านข้างก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เซี่ยเพ่ยหวนและคนอื่นๆ ย่อมเห็นภาพนั้นเช่นกัน พวกนางต่างก็สบตากันด้วยความงุนงง ดูเหมือนว่าคุณชายเสียนเกอจะพูดไม่ผิด สุขภาพร่างกายของเจิ้งอ๋องน่าจะมีความผิดปกติจริงๆ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…ไยเขาถึงไม่ยอมให้คุณชายเสียนเกอดูอาการให้เล่า ต้องรู้ไว้ว่าแม้แต่ในวังหลวงเองก็อาจจะหาหมอที่มีฝีมือยอดเยี่ยมเทียบเท่ากับคุณชายเสียนเกอไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือว่าเป็นเพราะฉู่อ๋องและพระชายา พวกเขาจึงไม่ไว้ใจคุณชายเสียนเกองั้นหรือ
หากไม่ใช่เพราะคุณชายเสียนเกอเอ่ยขึ้นมา หนานกงมั่วคงลืมไปแล้วว่านางเคยทำดีๆ เรื่องอันใดเอาไว้ เมื่อนางนึกขึ้นมาได้ในตอนนี้ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าจะให้คนเอายาแก้พิษไปให้เขาหลังจากผ่านไปสักระยะ แต่ใครจะไปรู้ว่าช่วงปีใหม่นี้วุ่นวายมากจนทำให้ลืมเรื่องนี้ไปสนิท นี่ก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว เมื่อเห็นท่าทางอึดอัดของจูชูอวี้และชายารองเหวินก็เห็นได้ชัดว่าพวกนางก็คงจะรู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน หนานกงมั่วยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่…มันจะเป็นการทำให้ชายารองทั้งสี่ที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่มีประสบการณ์ที่ไม่ดีหรือไม่นะ
จูชูอวี้มองหนานกงมั่ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา หลายวันมานี้นางก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เซียวเชียนเหว่ยน่าจะถูกใครสักคนวางแผนทำร้าย ส่วนจะเป็นเพราะสาเหตุใดนั้น…ก็เป็นสิ่งที่เขาควรได้รับแล้ว จูชูอวี้อดสงสัยความคิดของเซียวเชียนเหว่ยและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ได้ วางยาเว่ยจวินมั่วอย่างนั้นหรือ ลืมไปแล้วหรือไม่ว่าเว่ยจวินมั่วเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน เขาไม่เพียงแต่มีวรยุทธ์สูงส่งเท่านั้น แต่ความรู้เรื่องยาพิษพวกนี้ก็จะต้องดีกว่าคนทั่วไปมากแน่ๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขามีคนที่มีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยมอย่างหนานกงมั่วและเสียนเกออยู่ใกล้ตัวเช่นนี้อีก ให้ผู้หญิงเปลื้องผ้าพุ่งเข้าใส่เขายังเป็นความคิดที่ดีกว่าการวางยาเขาเสียอีก
โชคดีอยู่อย่างก็คือเรื่องนี้ยังเป็นความลับ อย่างน้อยๆ จวนเจิ้งอ๋องก็ไม่มีใครต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
แต่เห็นได้ชัดว่ามันยังถูกเก็บเป็นความลับได้ไม่ดีพอ ไม่เช่นนั้นแล้วเซียวเชียนเหว่ยก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้หรอก