หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1019 เจรจาสันติอีกครั้ง (2)
ตอนที่ 1019 เจรจาสันติอีกครั้ง (2)
ชายชราตัวสั่นงันงกก้าวออกมา เอ่ย “ฝ่าบาท ยามนี้ราชสำนักอ่อนแอ…กระหม่อม กระหม่อมคิดว่า ต้องเจรจาสงบศึกกับเยี่ยนอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เจรจาสงบศึกอีกแล้ว
สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา สายตาที่มองไปยังขุนนางเก่าแก่เหล่านั้นเต็มไปด้วยไอสังหาร ในบรรดาฮ่องเต้ นิสัยของเซียวเชียนเยี่ยนนับว่าอ่อนโยน โดยเฉพาะกับเหล่าขุนนางเก่าแก่พวกนั้น พูดคุยอย่างมีมารยาทมาโดยตลอด ครั้งนี้ดวงตากลับเผยไอสังหารและความโกรธออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้ผู้คนเบื้องล่างหวาดกลัวจนตัวสั่นขึ้นมา
“ฝ่าบาทอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” เห็นเช่นนั้น หันหมิ่นและโจวเซียงจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม ยามนี้หากปล่อยให้เซียวเชียนเยี่ยฆ่าคน เกรงว่าราชสำนักคงปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม
เซียวเชียนเยี่ยหลับตา เก็บกลั้นความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ มองไปยังทั้งสองคน เอ่ย “ท่านทั้งสองมีความคิดเห็นเช่นไร”
หันหมิ่นและโจวเซียงมองสบตากัน ลอบสบถอยู่ในใจ แม้น้ำหลีอยู่ใกล้จินหลิงถึงขั้นขี่ม้าเร็วเพียงหนึ่งวันก็มาถึง ระยะห่างเช่นนี้เพียงเยี่ยนอ๋องข้ามแม่น้ำมาได้พวกเขาก็หมดหนทางแล้ว หลายปีมานี้ราชสำนักสูญเสียไปเป็นจำนวนมาก กองกำลังรักษาการณ์สิบสามที่มีหน้าที่คุ้มกันจินหลิงมีจำนวนคนไม่พอไม่ต้องเอ่ยถึง กำลังการต่อสู้เองก็ไม่อาจเทียบกับกองกำลังรักษาการณ์โยวโจวที่ต่อสู้สุดชีวิตอยู่ในสนามรบ ที่สำคัญก็คือตลอดทางที่ต่อสู้มา กองทัพโยวโจวแสนยานุภาพเกรียงไกร เอาชนะมาได้อย่างง่ายดายราวกับผ่าไม้ไผ่ ทว่าราชสำนักกลับไร้คนใช้งานได้
คิดมาถึงตรงนี้ โจวเซียงก็เศร้าใจขึ้นมา ไม่กี่ปีก่อนฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ พวกเขารับใช้ฝ่าบาทเองก็มีใจต้องการให้แผ่นดินสงบสุข ทำให้ฝ่าบาทได้เป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เพียงไม่กี่ปีกองทัพของเยี่ยนอ๋องก็บุกมาถึงเมืองแล้ว ผู้ปกครองเมืองคนอื่นๆ นอกเหนือจากผู้ที่ถูกลดอำนาจ ไม่เข้าร่วมกับเยี่ยนอ๋องก็เฝ้ามองอยู่ห่างๆ คิดจะให้พวกเขาเคลื่อนทัพปกป้องฝ่าบาทคงเป็นเรื่องเพ้อฝันของคนโง่
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีลงสนามรบด้วยตนเอง ต่อให้ต้องตายในสนามรบก็นับว่าเป็นการตอบแทนพระคุณอันเปี่ยมล้นของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” โจวเซียงเอ่ยทั้งน้ำตา
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง เขาเองก็รู้ว่าเวลานี้โจวเซียงและหันหมิ่นเองก็ไร้หนทางแล้ว ดังนั้นให้โจวเซียงลงสนามรบ…นั่นคงเป็นเรื่องตลก โจวเซียงเป็นปัญญาชน อายุมากแล้วอย่าว่าแต่ลงสนามรบ แม้แต่เดินให้มั่นคงเกรงว่าคงได้หอบไม่น้อย
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ย “ช่างเถิด ถอยออกไปเถิด ข้าจะอยู่เงียบๆ”
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางพ่นลมหายใจออกมา กล่าวลาอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อไล่เหล่าขุนนางออกไปหมดแล้ว เซียวเชียนเยี่ยลุกขึ้นเดินไปยังวังหลังอย่างไร้จุดหมาย รอจนได้สติเขาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าตำหนักของไทเฮา นึกถึงเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก เซียวเชียนเยี่ยส่ายศีรษะเตรียมหมุนตัวกลับไป เรื่องราววุ่นวายเหล่านี้ อย่าเอาไปรบกวนให้เสด็จแม่ต้องกังวลจะดีกว่า
“ถวายพระพรฝ่าบาท” นางกำนัลคนหนึ่งของตำหนักฮองเฮาเดินออกมา ย่อตัวถวายพระพร “ไทเฮาเชิญฝ่าบาทเข้าไปในตำหนักเพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ เอ่ย “ไปเถิด”
เข้ามาในตำหนัก ไทเฮากำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่กอดเด็กที่มีอายุสี่ห้าขวบเอ่ยกระซิบเสียงเบาบางอย่าง เด็กคนนั้นซูบผอมเล็กน้อย นั่งอยู่บนตักของไทเฮาด้วยใบหน้าเขินอาย นั่นคือองค์ชายใหญ่ที่ให้กำเนิดโดยฮองเฮาหยวนซื่อ
“ลูกถวายพระพรเสด็จแม่” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย
องค์ชายใหญ่มองเห็นเซียวเชียนเยี่ย ก่อนอื่นนั้นออกอาการตกตะลึง จากนั้นจึงลงจากตักของไทเฮา คารวะอย่างนอบน้อม “ลูกถวายพระพรเสด็จพ่อ” แม้จะเป็นเด็กอายุเพียงสี่ขวบ แต่มารยาทขององค์ชายใหญ่กลับเหมาะสมฐานะ เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาสั่งสอนและใส่ใจเป็นอย่างดี มองโอรสตรงหน้า สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยพลันอ่อนโยนขึ้น พยักหน้า เอ่ย “ลุกขึ้นเถิด”
องค์ชายใหญ่ลุกขึ้น มองเซียวเชียนเยี่ยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “เสด็จพ่อมีเรื่องจะคุยกับเสด็จย่าของเจ้า เจ้ากลับไปหาเสด็จแม่เจ้าก่อนเถิด”
องค์ชายใหญ่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาพลันมีความผิดหวังขึ้นมา ทว่ากลับเอ่ยตอบอย่างว่าง่าย “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ ลูกทูลลา เสด็จย่า หลานทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮายิ้มใจดี “เด็กดี ไปเถิด” ออกคำสั่งให้นางกำนัลไปส่งองค์ชายที่ตำหนักฮองเฮาด้วยตนเอง ก่อนจะหันกลับมาหาเซียวเชียนเยี่ย เอ่ย “เมื่อครู่ได้ยินว่าฝ่าบาทมายืนอยู่หน้าตำหนักนานแล้ว มีเรื่องใดหรือไม่” เซียวเชียนเยี่ยยิ้มขมขื่น “ลูกมีเรื่องคิดจนเหม่อลอย รบกวนเสด็จแม่แล้ว”
ไทเฮาส่ายศีรษะ สีหน้านิ่งสงบมองไปที่เขา เอ่ย “เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วหรือ”
เซียวเชียนเยี่ยชะงัก หลับตาลงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย “ลูกไร้ความสามารถ เสด็จแม่โปรดอภัยด้วย กองทัพของเยี่ยนอ๋อง…ใกล้จะข้ามแม่น้ำมาได้แล้ว เกรงว่า…อีกไม่กี่วันคงบุกโจมตีจินหลิงแล้ว”
ไทเฮาเงียบไปนาน ถอนหายใจเอ่ย “ช่างเถิด โชคชะตาเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ ทำสิ่งใดไม่ได้แล้วแม่ก็อยู่กับเจ้าตายกับเจ้าเท่านั้นแล้ว”
“ลูกไม่ดีเองพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย
ไทเฮาส่ายศีรษะ “เจ้าอายุน้อยเกินไป ตอนนั้นแม่และเสด็จพ่อของเจ้าเองก็ไม่ได้สั่งสอนอย่างใกล้ชิด จะไปเอาชนะเสด็จอาเยี่ยนอ๋องเจ้าได้เยี่ยงไร เป็นแม่เองที่ผิดต่อเจ้า”
เซียวเชียนเยี่ยส่ายศีรษะพูดไม่ออก ห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและเศร้าโศก ทำให้รู้สึกหวิวอยู่ในใจ
ไทเฮามองโอรสของตนที่มีท่าทีเศร้าโศก ถอนหายใจออกมาเบาๆ รินน้ำชาและวางลงตรงหน้าเขา เอ่ย “รถมาถึงตีนเขาอย่างไรก็ต้องมีหนทาง ไยต้องทำหน้าราวกับเด็กเพียงนี้”
เซียวเชียนเยี่ยชะงัก ยื่นมือไปถือถ้วยชาเอาไว้ ความอบอุ่นราวกับส่งผ่านปลายนิ้วเข้ามาในร่างกาย หัวใจที่ปั่นป่วนค่อยๆ สงบลง ก้มลงดื่มชาไปหนึ่งอึก เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า เอ่ย “เสด็จแม่กล่าวถูกแล้ว ลูกผิดไปแล้ว ขอเพียงเยี่ยนอ๋องยังไม่บุกมาถึงวังหลวง ลูกก็ยังเป็นฮ่องเต้ของต้าเซี่ย ต่อให้…ต่อให้เขาได้บัลลังก์นี้ไป เขาก็ต้องเป็นโจรกบฏไปตลอดชีวิต”
ไทเฮาไร้ซึ่งคำพูด นางไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนักมากนัก หลายปีมานี้ก็ไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่ง สถานการณ์ในตอนนี้ ใครก็ไม่อาจต้านทานคลื่นใหญ่ได้ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือการอยู่เคียงข้างบุตรชายก็เท่านั้น
“ทูลไทเฮา องครักษ์ประจำห้องทรงอักษรมารายงาน เอ้อกั๋วกงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอก ขันทีวิ่งเข้ามารายงานอย่างเร่งรีบ
“ว่าไงนะ” สองแม่ลูกตกตะลึง เซียวเชียนเยี่ยรีบลุกขึ้น “เอ้อกั๋วกงกลับมาแล้วหรือ เขาไม่ได้อยู่ที่เฉินโจวหรือ” เอ้อกั๋วกงถูกล้อมอยู่ที่เขาชิงอวิ๋นในเฉินโจว แต่เซียวเชียนเยี่ยคิดว่าอย่างน้อยเขาก็คงจะยืนหยัดไปได้สักระยะ ต่อให้ไม่อาจสังหารศัตรูได้ อย่างน้อยก็สามารถยื้อกองกำลังรักษาการณ์โยวโจวและกองกำลังไท่หนิงเอาไว้ได้บ้างบางส่วน แต่ว่า…ไยเอ้อกั๋วกงจึงกลับมาแล้วเล่า
ขันทีด้านนอกก็ไม่กล้าเอ่ยปาก เขาเองก็ไม่รู้เรื่องอันใดนัก เพียงมารายงานเท่านั้น
เซียวเชียนเยี่ยสะบัดแขนเสื้ออย่างรีบร้อน “เอ้อกั๋วกงอยู่ที่ใด”
ขันทีเอ่ย “เอ้อกั๋วกงอยู่ที่ห้องทรงอักษรพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าต้องการขอรับโทษจากฝ่าบาทด้วยตนเอง”
ได้ยินเช่นนั้น หัวใจเซียวเชียนเยี่ยพลันจมดิ่ง “เอ้อกั๋วกง กลับมาได้อย่างไร”
“ทูลฝ่าบาท เอ้อกั๋วกงกลับมาคนเดียว อย่างอื่น กระหม่อมไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่เสียเวลา เซียวเชียนเยี่ยยกมือขึ้นประสานหันไปหาไทเฮา “เสด็จแม่ ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาก็ไม่สนใจอันใดมาก รีบลุกขึ้นเอ่ย “แม่จะไปกับเจ้า” ไทเฮาเองก็รู้ เอ้อกั๋วกงกลับมาตอนนี้ เกรงว่าคงจบไม่ดีนัก
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า รีบเดินนำออกไปก่อน
ในห้องทรงอักษร หยวนชุนดูซูบโทรมกว่าเมื่อหลายวันก่อนที่เฉินโจวอย่างเห็นได้ชัด คุกเข่าอยู่บนพื้นก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา เซียวเชียนเยี่ยเข้ามาพลันชะงัก “เอ้อกั๋วกงทำอันใด ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก”
หยวนชุนเงยหน้า เอ่ยเสียงหนักแน่น “กระหม่อมพ่ายให้ศัตรู สูญเสียทหารไปหลายแสนนาย ขอฝ่าบาทลงโทษด้วย”
แม้จะทำใจเอาไว้แล้ว เซียวเชียนเยี่ยก็อดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่า… “พ่ายต่อศัตรูหรือ เช่นนั้นกั๋วกงท่าน…” เอ้อกั๋วกงเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ คุณชายเว่ยปล่อยกระหม่อมกลับคืนมา เดิมกระหม่อมควรตายเพื่อฝ่าบาท ทว่าอยากกลับมารับโทษจากฝ่าบาทด้วยตนเอง ขอฝ่าบาทประหารกระหม่อมเถิด”
เซียวเชี่ยนเยี่ยพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ เอ้อกั๋วกงพ่ายแพ้ สำหรับกองทัพราชสำนักที่เดิมปะทะกับลมพายุเรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มความโหดร้ายเข้าไปอีก ทหารหลายแสนนาย… “เกิด…อะไรขึ้นกันแน่” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยออกมาได้ยากยิ่ง
เอ้อกั๋วกงเล่าถึงสนามรบอีกรอบ จนเซียวเชียนเยี่ยที่ฟังต้องกัดฟันอย่างอดไม่ได้ “เว่ยจวินมั่วอีกแล้วหรือ เว่ยจวินมั่วอยู่ที่เมืองเผิงมิใช่หรือ ไยถึงได้ไปอยู่ที่เฉินโจวแล้วเล่า ไยจึง…”
เอ้อกั๋วกงถอนหายใจ เอ่ยจริงจัง “หนานกงไหวหนีจากอวิ๋นตู จับตัวบุตรีของเว่ยจวินมั่วที่เฉินโจว คุณชายเว่ยร้อนใจตามหาบุตรี ไม่สนใจความเสียหายลงสนามรบนำทัพด้วยตนเอง…”
“หนานกงไหวอีกแล้วหรือ” เซียวเชียนเยี่ยโกรธแค้น “ข้ารู้ว่าเขาเชื่อไม่ได้ หากไม่ใช่เขาหนีไป อวิ๋นตูจะแตกเร็วเพียงนั้นหรือ เดี๋ยวก่อน…เจ้าบอกว่า บุตรีของเว่ยจวินมั่วถูกหนานกงไหวจับตัวไปอย่างนั้นหรือ”
เอ้อกั๋วกงพยักหน้า “กระหม่อมได้ยินข่าวมาเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยหลุบตาลงครุ่นคิด แน่นอนว่าเขาไม่ได้สั่งให้หนานกงไหวทำเช่นนี้ ตัวหนานกงไหวเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องจับตัวบุตรีของเว่ยจวินมั่ว เช่นนั้น…เป็นกงอวี้เฉินอย่างนั้นหรือ เซียวเชียนเยี่ยโกรธตนเองที่ถูกกงอวี้เฉินหลอกอีกแล้ว เพื่อจับเด็กคนเดียว กงอวี้เฉินกล้าสั่งหนานกงไหวทิ้งอวิ๋นตู แต่ว่าหากหนานกงไหวทำสำเร็จแล้วจริงๆ… เซียวเชียนเยี่ยส่ายศีรษะอยู่ในใจ ต่อให้หนานกงไหวทำสำเร็จ เขาจะหวังพึ่งเด็กคนเดียวเพื่อขับไล่ทหารหลายแสนได้อย่างนั้นหรือ
เซียวเชียนเยี่ยเงียบ เอ้อกั๋วกงก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงรอผลลัพธ์ของตนเองเงียบๆ การพ่ายแพ้ที่เฉินโจวเท่ากับว่าหยวนชุนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ได้ตายไปแล้ว ยามนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นเพียงคนแก่คนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ดังนั้นเซียวเชียนเยี่ยจะลงโทษเขาอย่างไร หยวนชุนปล่อยวางแล้ว
เซียวเชียนเยี่ยมองหยวนชุน เอ่ยเสียงเข้ม “เอ้อกั๋วกงกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อนเถิด เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
เอ้อกั๋วกงชะงัก โค้งตัวคารวะ “กระหม่อมทูลลา”
ไม่มีการลงโทษไม่ได้หมายความว่าเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้ เพียงแต่ตอนนี้เซียวเชียนเยี่ยยังนึกไม่ออกว่าจะจัดการเยี่ยงไร เอ้อกั๋วกงไม่สนใจ ลุกขึ้นเดินโซเซออกไป