“หากท่านย่ารู้สึกไม่สบายก็ให้พี่รองไปดูแลสิขอรับ! พี่รองเป็นคนละเอียด จะต้องดูแลได้ดีกว่าเด็กที่มาจากบ้านนอกแน่!” หลิ่วอวิ๋นฮั่นมองไปยังหลิ่วอวิ๋นซูด้วยความไม่พอใจ เด็กสาวผอมกะหร่องคนนี้ มีส่วนไหนที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าชอบกัน?

เด็กที่มาจากบ้านนอก? ฮูหยินผู้เฒ่าสูดลมหายใจลึก “พี่รองของเจ้าช่างละเอียดอ่อนเสียจริง” น้ำเสียงนี้แฝงไปด้วยความหมาย ทำให้หลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่อยู่ข้างๆ ใจเต้นตึกตัก ไม่กล้าเงยหน้าสบตาฮูหยินผู้เฒ่าอีก

“ซูเอ๋อร์ มิใช่เจ้าบอกว่าทำเครื่องหอมที่ช่วยสงบใจให้ข้าหรือ? อยู่ไหนเล่า?”

“ท่านย่าเจ้าคะ อยู่บนโต๊ะในห้องเจ้าค่ะ”

บนโต๊ะในห้อง…ใบหน้าของหลิ่วอวิ๋นฮั่นพลันเปลี่ยนสี คงไม่ใช่ของที่เขาทำแตกพวกนั้นหรอกนะ…

ในที่สุดชุนเซียงก็เข้าใจโดยพลัน ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะกล่าวว่าคุณหนูหกฉลาดเป็นอย่างมาก วันนี้ได้มาเห็นนับว่าเกินความคาดหมาย ความจริงเครื่องหอมที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในเรือนด้านหลัง ถูกทำเป็นเป็นถุงหอมแขวนไว้กับชายคา! คุณหนูหกกล่าวว่าเครื่องหอมพวกนี้ต้องตากแดดเสียหน่อยถึงจะอยู่ได้นานยิ่งขึ้น

“ไม่ ท่านย่า เข้าไปไม่ได้ขอรับ…” หลิ่วอวิ๋นฮั่นรีบมาขวางตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า

“นี่เจ้าทำอะไร?”

เห็นเพียงท่าทีแข็งกร้าวของเขา “ฮั่นเอ๋อร์…เมื่อครู่นี้ตอนที่เข้าไปตามหาน้องหก ไม่ทันระวังจึงได้ทำของแตก”

“ทำของแตก? คงไม่ใช่เครื่องหอมพวกนั้นของข้าหรอกกระมัง?” น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจจนถึงขีดสุด นางกวาดตามองไปรอบๆ อี๋เหนียงและคุณหนูทั้งหลายต่างพากันก้มหน้า แย่แล้ว หากรู้เช่นนี้พวกนางคงไม่ตามมา กลัวว่าอีกสักครู่พวกนางจะถูกทำโทษเป็นเพื่อนคุณชายสาม

“เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะท่านย่า เครื่องหอมพวกนั้นซูเอ๋อร์วางไว้อย่างเป็นระเบียบ ทั้งยังมีอยู่หลายขวด คงไม่ถูกชนแตกหมดหรอกเจ้าค่ะ”

ทว่าเรื่องราวกลับกลายเป็น…

ฮูหยินผู้เฒ่ามองเศษกระเบื้องจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายอยู่บนพื้น มือทั้งสองมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนออกมา

“ท่านย่า ซูเอ๋อร์เชื่อว่าพี่สามไม่ได้ตั้งใจอย่างเด็ดขาด อย่างไรเสียก็แค่เครื่องหอม ซูเอ๋อร์ทำขึ้นใหม่ก็ได้แล้วเจ้าค่ะ” อวิ๋นซูมีเหตุมีผลเป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความโอหังไร้เหตุผลของหลิ่วอวิ๋นฮั่นเด่นชัดยิ่งขึ้น

“ชุนเซียง นำเข็มขัดกลับมา หยกก็แกะออกมานำไปทำเป็นเครื่องประดับให้คุณหนูหกเสีย!”

“เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า”

แย่แล้ว ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจริงๆ แล้ว! ความจริงหลิ่วอวิ๋นฮั่นไม่ได้กลัวฮูหยินผู้เฒ่า ที่เขากลัวคือท่านโหว แค่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อหน้าท่านโหวเพียงคำเดียว ตนเองก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกทำโทษ

“เด็กๆ เขียนจดหมายถึงท่านโหว บอกไปว่าคุณชายสามยังต้องไปขัดเกลาที่ชายแดนอีกหลายปีค่อยกลับมา!”

“อะไรนะ? ท่านย่า! ฮั่นเอ๋อร์ไม่กลับไป ฮั่นเอ๋อร์ไม่กลับไป!” จะให้เขากลับไปชายแดนหรือ? นี่มันรับไม่ได้ยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตายเสียอีก ชายแดนเป็นสถานที่แบบไหนกัน ทอดตามองไปก็มีแต่ทรายสีเหลือง กระทั่งจะหาสถานบันเทิงสักที่ก็ไม่มี! หลายปีมานี้เขาถูกบีบบังคับจนแทบบ้า ไม่ง่ายเลยกว่าท่านพ่อจะให้กลับมา ตนเองจึงรีบกลับมาก่อน ตอนนี้ท่านย่าถึงกับจะส่งตนกลับไปเชียว?

“ท่านแม่เจ้าคะ ลูกสามเพียงแค่สะเพร่าไปชั่วครู่ เขาไม่รู้ว่าของพวกนั้นเป็นเครื่องหอมที่จะให้ท่านแม่!”

“ท่านย่าเจ้าคะ น้องสามอยู่ที่ชายแดนเจอความลำบากไม่น้อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กลับมา…” หลิ่วอวิ๋นฮว๋าอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าขอร้องเพื่อคุณชายสาม

หลิ่วอวิ๋นฮั่นมองไปรอบๆ แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ขอร้องเพื่อเขา! พลันปรากฏแววตาโหดเหี้ยม ทำคุณหนูทั้งหลายตกใจจนหันหน้าหนี

“ฮึ ข้ากลับเห็นว่าสันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก!” ฮูหยินผู้เฒ่ากระแทกไม้เท้า เหลยซื่อรู้ดีว่า ตอนนี้หากจะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนใจ มีเพียงให้หลิ่วอวิ๋นซูพูดออกมาเอง!

แต่ว่า…นางจะเปิดปากพูดได้อย่างไรเล่า

“ท่านย่าเจ้าคะ ไม่ง่ายเลยกว่าพี่สามจะกลับจากชายแดนมาได้ ความจริงท่านย่าเองก็คิดถึงพี่สามมากมิใช่หรือเจ้าคะ? ซูเอ๋อร์รู้ว่าพี่สามไม่ได้ตั้งใจ ท่านย่าอย่าได้โกรธไปเลยเจ้าค่ะ”

ทุกคนต่างตกตะลึง คุณหนูหกเป็นอะไรไปแล้ว?! หรือหวาดกลัวคุณชายสามจนทนไม่ไหว แต่หากส่งกลับไปที่ชายแดนจริงคุณชายสามก็ทำอะไรนางไม่ได้

แต่อวิ๋นซูรู้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่สามารถส่งคุณชายสามกลับไปชายแดนได้ ท่านโหวถูกส่งไปประจำการอยู่ที่ชายแดนก็เพราะประเทศเล็กๆ หลายประเทศบริเวณชายแดนรุกล้ำเข้ามาบ่อยๆ แต่ระยะนี้ชายแดนสงบลงมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เหล่าโหวอยู่ที่นั่นอีก

“เด็กคนนี้นี่นะ เจ้ามีเมตตาเช่นนี้จะถูกผู้อื่นรังแกได้ง่าย!”

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ พี่สามเป็นคนมีเหตุผล วันหน้าจะต้องไม่รังแกซูเอ๋อร์แน่นอน ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

คำพูดของหลิ่วอวิ๋นซูทำให้หลิ่วอวิ๋นฮั่นไม่พอใจยิ่งนัก ทว่าตอนนี้เขาไม่กล้าแสดงท่าทางอะไรออกไปอีก กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธขึ้นมาแล้วส่งเขากลับไป

นังเด็กสารเลว! หน้าเนื้อใจเสือ ถึงกับเอาท่านย่ามาข่มเขา!

“…” เขามุ่ยปาก ไม่พูดอะไรก็แสดงว่ายอมรับแล้ว

“เช่นนั้น…ยังไม่ขอโทษน้องหกของเจ้าอีก”

“อะไรนะ?! ให้ข้าขอโทษน้องหก ท่านย่า…ข้า…”

“ลูกสาม!” เหลยซื่อที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าบุตรชายของตนกำลังจะก่อเรื่องอีก รีบกะพริบตาส่งสัญญาณให้สุดชีวิต แต่ว่าไม่ทันเสียแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงฮึดฮัดออกมาครั้งหนึ่ง “เด็กๆ!”

“อย่าเจ้าค่ะ…ท่านย่า น้องสามสำนึกผิดแล้ว!” หากน้องสามถูกส่งไปแล้ว วันหน้าใครรจะสนับสนุนนางได้? ในใจของหลิ่วอวิ๋นฮว๋ายังมีแผนการอื่นอยู่อีก

เหลยซื่อคุกเข่าลงข้างกายหลิ่วอวิ๋นฮั่น “ฮั่นเอ๋อร์ เมื่อพบเจอความลำบาก บุรุษที่ดีสามารถลดราวาศอกได้ ขอแค่นิดเดียว แค่เจ้าพูดคำนั้นออกมา…”

อวิ๋นซูมองบุรุษดื้อรั้นบนพื้น เขาแผ่กลิ่นอายแห่งความโกรธออกมาทั่วทั้งร่าง แววตาราวกับต้องการกลืนกินนางทั้งเป็น คนผู้นี้ มองปราดเดียวนางก็ทราบว่า ในสายตาของเขาชีวิตคนเป็นเพียงผักปลา ในเมื่อเขามีความคิดที่จะฆ่าตน เช่นนั้น ตนก็ไม่จำเป็นต้องลงมืออย่างไว้ไมตรีอีก

“ท่านย่าเจ้าคะ พี่สามเป็นคนมีตำแหน่ง จะให้ขอโทษซูเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน ไม่สู้ให้พี่สามชดใช้เครื่องหอมเหล่านั้นให้ซูเอ๋อร์จะดีกว่า”

“ได้ๆๆ! เท่าไรก็ชดใช้! ฮั่นเอ๋อร์ ยังไม่รีบรับผิดกับท่านย่าอีก!” เหลยซื่อรีบดึงแขนเสื้อของหลิ่วอวิ๋นฮั่น บุรุษผู้นั้นดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงคารวะฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าขอรับ ฮั่นเอ๋อร์รู้ความผิดแล้วขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าสูดหายใจลึก สายตาที่มองไปยังเหลยซื่อยิ่งทวีความผิดหวัง

“เช่นนั้น ซูเอ๋อร์ วันหน้าขาดสมุนไพรอะไร ก็ส่งคนไปขอที่เรือนพี่สามของเจ้า หากเขาไม่ให้ ก็มาบอกย่า”

ความหมายก็คือ หากวันหน้าหลิ่วอวิ๋นฮั่นยังกล้าสร้างความลำบากให้อวิ๋นซู เช่นนั้นหากฮูหยินผู้เฒ่าทราบ จุดจบมีเพียงอย่างเดียว

“เจ้าค่ะ ท่านย่า”

งิ้วสนุกๆ ก็จบเช่นนี้ สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของเหลยซื่อ

ภายในห้อง ทั้งสามเงียบงันไม่พูดจา ทันใดนั้น หลิ่วอวิ๋นฮั่นใช้เท้าถีบเก้าอี้จนคว่ำ “ไอ้เด็กสารเลว! ข้าจะทำให้นางอยู่ไม่สู้ตาย!”

ท่าทางโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเช่นนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ครั่นคร้าม

“ฮั่นเอ๋อร์ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นแม่ที่หุนหันพลันแล่นเกินไป ไม่ควรให้เจ้าเข้ามายุ่งเลย ก็แค่นังเด็กสาวเลวคนเดียว ประเดี๋ยวจะสกปรกมือลูก แม่มีวิธีการจัดการกับนาง!”

“ไม่! ท่านแม่ แค้นนี้ข้าจะต้องชำระ ข้าต้องให้นางเสียใจที่ดูถูกข้าในวันนี้!”

…

“คุณหนูเจ้าคะ วันหลังพวกเราก็ประหยัดได้เยอะเลยเจ้าค่ะ!”

“ใช่แล้ว ใครจะรู้ว่าสมุนไพรพวกนั้นนำมาทำเครื่องหอมหรือนำมาทำอะไร!”

สาวใช้ทั้งหลายหัวเราะกันคิกคัก อวิ๋นซูได้สติกลับมาจากความยินดีอย่างรวดเร็ว เริ่มพิจารณาว่าเรื่องอะไรที่จะสามารถทำให้ท่านโหวยอมละทิ้งบุตรีภรรยาเอกคนหนึ่งได้

แค้นใหญ่ของนางยังไม่ได้ชำระ จะปล่อยให้ตัวเองตายไปในมือของคนพวกนี้ได้อย่างไร ใครกล้าขวางทางของนาง เจอเซียนฆ่าเซียนเจอพระฆ่าพระ! หากไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก นางจะไม่ยอมไปหาเรื่องผู้อื่นเด็ดขาด เพียงแต่มีคนบางคนที่เป็นเช่นนี้ กระเสือกกระสนจะนำพาตนเองเข้าสู่ทางตันให้ได้!

เรื่องวันนี้ทำให้ทุกคนในจวนโหวทราบว่า หากจะแตะต้องหลิ่วอวิ๋นซูแม้เพียงปลายผมจะต้องผ่านด่านฮูหยินผู้เฒ่าไปให้ได้เสียก่อน จากตัวโชคร้ายที่ทุกคนรังเกียจถึงตอนนี้กลายเป็นดวงใจของฮูหยินผู้เฒ่า พวกนางสังเกตเห็นได้ถึงอะไรบางอย่าง ราวกับความสมดุลที่พยายามรักษามาอย่างยาวนาน ได้ค่อยๆ เกิดความลาดเอียงไปทางหนึ่งแล้ว

วันต่อมา

“อวิ๋นฮั่น กลับมาแล้วเหตุใดจึงไม่บอกข้าสักคำ พวกเราพี่น้องไม่ได้ไปดื่มสุราบุปผาด้วยกันนานแล้ว!”

บุรุษพูดจาเหยาะแหยะผู้หนึ่งแย้มยิ้ม ในมือมีพัดดอกท้อ สวมชุดหลวมสบาย บนกายมีกลิ่นเหล้าอยู่จางๆ

“ดื่มสุราบุปผาอะไร พอกลับมาข้าก็ถูกท่านย่าสั่งสอน!” สีหน้าของหลิ่วอวิ๋นฮั่นยังคงไม่น่าดูจนกระทั่งตอนนี้

“ไม่จริงน่า? เจ้าทำอะไรผิดหรือ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนได้ คงไม่ใช่ว่าพอกลับมาถึงก็ไปตีคนในจวนหรอกกระมัง”

คุณชายท่านนี้คือจ้าวหรงเติงบุตรชายของผู้ตรวจการอู่โจว คลุกคลีอยู่กับหลิ่วอวิ๋นฮั่นตั้งแต่เด็ก จะวิวาทหรือเกี้ยวหญิง เรื่องอะไรล้วนแล้วแต่กระทำด้วยกัน เป็นคุณชายเลวทรามที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง

“ก็นังเด็กสารเลวนั่นไงเล่า!”

นังเด็กสารเลว?! จ้าวหรงเติงสนใจขึ้นมา “สตรีที่รับมือยากหรืออย่างไร ถึงกับทำให้คุณชายสามของพวกเราทุกข์ระทมขนาดนี้ได้ มาๆๆ บอกให้น้องชายคนนี้ฟังหน่อย จะได้ช่วยเจ้าเอาหนามยอกอกออก!”

เห็นรอยยิ้มทะเล้นตรงหน้า ในสมองของหลิ่วอวิ๋นฮั่นพลันสว่างวาบ รอยยิ้มประหลาดพลันปรากฏบนบหน้า

จ้าวหรงเติงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “เฮอะๆ เจ้าคงไม่คิดหาเรื่องให้ข้าหรอกกระมัง?”

“ได้ข่าวว่า เจ้ารับอนุไม่น้อยเลยใช่ไหม?”

“ถามข้าทำไม ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้เสียหน่อย?”

“เช่นนั้นปกติเจ้าทรมานพวกนางอย่างไร?” หลิ่วอวิ๋นฮั่นเข้ามาใกล้

“คุณชายสามท่านกล่าวอะไรกัน ข้ารักถนอมพวกนาง ทุกวันคืนพวกนางล้วนตัวติดกับข้า ช่างทำให้ข้าหนักใจ” จ้าวหรงเติงโบกพัดในมืออย่างลำพองใจ “แต่ว่าสิ่งที่ข้าชอบที่สุดก็คือเห็นพวกนางหึงหวงจนต่อสู้แย่งชิงให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ฮ่าๆ สบายอารมณ์ยิ่งนัก!”

เขาหันไปหยิบถ้วยเหล้าบนโต๊ะกรอกเข้าปากไปอึกหนึ่ง

“เช่นนั้น ข้ามอบน้องสาวข้าให้เจ้าเป็นอย่างไร?”

“พรืด! แค่กๆ…เจ้า เจ้าพูดอะไร?” จ้าวหรงเติงคิดว่าตนเองฟังผิด แต่หลิ่วอวิ๋นฮั่นย้ำอีกครั้ง “ข้าจะมอบน้องสาวให้เจ้า เจ้าอย่ารังเกียจนางเลย!”

พูดเล่นอะไรกันนี่! คุณหนูจวนโหว เขาจะไปรังเกียจได้อย่างไร เพียงแต่นี่มันหมายความว่าอะไร?

ไม่รอให้จ้าวหรงเติงถามให้ชัดเจน หลิ่วอวิ๋นฮั่นก็ยืดกายขึ้นชี้ไปที่คนสามคนบนถนนด้านหน้า “เจ้าดู คนตรงกลางนั่นเป็นอย่างไร?”

ใต้ต้นไม้ตรงข้าม ร่างบางทั้งสามเดินมาช้าๆ สตรีตรงกลางใบหน้างดงามสุกใส บนร่างมีกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่ยากจะอธิบาย คล้ายกับธิดาของครอบครัวชั้นสูง หากให้เปรียบจริงๆ ก็ประดุจดั่งดอกกล้วยไม้ในหุบเขาลึกอันว่างเปล่า จ้าวหรงเติงพลันจิตใจฮึกเหิมขึ้นมา

สำหรับเขาแล้ว ทำให้สตรีผู้หนึ่งเชื่องยังตื่นเต้นยิ่งกว่าได้ครอบครองสตรีเสียอีก!

“สาวใช้ข้างกายสองนางนั้นก็ไม่เลวเลย”

“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็มอบให้เจ้าด้วยกันเลย!”