หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 309 ขอทานลู่หลี
บทที่ 309
ขอทานลู่หลี
“เรารู้ตัวดี” จงซู่เฟิงกล่าวด้วยแผ่นหลังที่ยืดตรง เขานั้นรู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นมันเทียบได้กับการทรยศต่อบ้านเมืองของเขา แต่แล้วยังไงล่ะ? เขานั้นไม่ยอมที่จะต้องมาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ต่อแล้วปล่อยให้ตัวเองต้องถูกเหยียบย่ำต่อไปได้อีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเขามั่นใจว่าตัวเขานั้นจะสามารถนำพา รัฐจงไปให้ได้เหนือกว่ารัฐเจียงในอนาคต และแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะไม่จำเป็นต้องจ่ายบรรณาการอีก
เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลง “วันนี้ท่านกลับไปก่อน เราขอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับองค์รัชทายาทก่อน แล้วจากนั้นจะบอกผลให้ท่านฟังทีหลัง”
จงซู่เฟิงก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วจากไปโดยเร็ว เขานั้นมั่นใจมากว่าคนของรัฐเจียงนั้นจะต้องยอมตกลงด้วยแน่ เพราะหากแผนการของเขาสำเร็จ รัฐเจียงก็จะได้รัฐจงเป็นเมืองในอาณัติโดยที่ไม่ต้องเสียทหารสักนาย
ในขณะที่เขาออกมาจากวังรัตติกาลนั้นจงซู่เฟิงก็ได้เหม่อลอยขึ้นมา เพราะว่าเขานั้นไม่ได้พบกับหลินซีเหยียนมานานหลายวันแล้ว เขาหวังให้แม่นางหลินกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีก่อนที่รัฐเจียงจะยอมตกลงปล่อยตัวเขา เพราะตัวเขานั้นเมื่อเรื่องบางอย่างที่อยากจะบอกกับแม่นางหลิน
“โอ๊ย”
ในขณะที่จงซู่เฟิงกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น เขาก็บังเอิญไปชนกับเด็กสาวคนหนึ่งเข้า เด็กสาวคนนั้นดูแต่งตัวปอนๆมากซึ่งดูแล้วไม่ต่างอะไรไปจากขอทานเลย
จงซู่เฟิงก็ได้คุกเข่าลงไป แล้วหันไปมองอีกฝ่ายอย่างกระวนกระวายแล้วถามอย่างอ่อนโยน “แม่หนูน้อยเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ลู่หลีก็ได้บิดริมฝีปากของนาง แล้วจากนั้นก็ได้ร้องไห้และพูดตัดพ้อ “ที่นี่มันเป็นบ้าอะไรกัน โดนคนหลอกเอาเงินไปจนหมดไม่พอ ยังจะมีคนเดินมาชนข้าอีก”
“แม่หนูอย่าร้องไห้สิ เราก็กำลังขอโทษเจ้าอยู่นี่ไง”
แล้วเด็กสาวคนนั้นก็ได้ร้องไห้หนักกว่าเดิมท่ามกลางถนน จนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดมองดู
แล้วก็มีคุณนายผู้หนึ่งกับผู้ที่สัญจรไปมาพูดคุยกัน “ในความคิดของข้า สถานการณ์เช่นนี้ส่วนใหญ่จะต้องเป็นบ้านของเด็กสาวคนนั้นกำลังทิ้งนางเป็นแน่ๆ”
“ทิ้งกันได้ลงคอเช่นนี้ ช่างไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย!”
“จริงด้วยๆ”
แล้วผู้คนรอบๆก็ได้เริ่มพูดไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ จงซู่เฟิงช่วยไม่ได้ที่จะต้องประคองแม่ขอทานน้อยคนนี้ให้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “ไม่ต้องร้องไห้แม่หนู เราจะพาเจ้าไปโรงหมอเอง”
“โรงหมอ?” ทันทีที่เด็กสาวได้ยินเช่นนี้นางก็ไม่ขยับไปไหน นางเช็ดหน้าของนางแล้วก็กล่าวอย่างต่อรอง “ต่อให้ไปโรงหมอก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอก ตอนนี้ข้าหิวมากท่านช่วยพาข้าไปโรงเตี๊ยมทีได้ไหม?”
“ได้สิ” ต่อหน้าเด็กสาวที่น่ารักเช่นนี้ จงซู่เฟิงก็ได้ยิ้มออกมาแล้วก็พาเด็กสาวไปที่โรงเตี๊ยมซื่อฟาง ในเวลานี้โรงเตี๊ยม ซื่อฟางเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง
ด้วยการบริการชั้นเลิศและคุณภาพชั้นหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรไปจากโรงเตี๊ยมสุดหรูเลยทีเดียว
หลังจากที่สั่งอาหารไปแล้ว ไม่นานนักทางโรงเตี๊ยมก็จะนำมาอย่างรวดเร็ว นี่เองก็เป็นผลพวงของสิ่งที่ได้วิจัยและพัฒนาจากอาหารมื้อด่วนของหลินซีเหยียน ซึ่งนางได้สอนเทียนเอ๋อถึงวิธีการทำอาหารกึ่งสำเร็จเอาไว้ให้ ซึ่งจะช่วยเร่งความเร็วอย่างมากในการเสิร์ฟอาหาร
จึงช่วยนำมาซึ่งการชื่นชมโรงเตี๊ยมซื่อฟางแห่งนี้อย่างล้นหลาม และการเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงไป มีโรงเตี๊ยมมากมายที่คิดส่งคนเข้ามาเพื่อสืบหาและเรียนรู้วิธีการของที่นี่
แต่น่าเสียดายที่พนักงานทุกคนของซื่อฟางนั้นจะต้องถูกให้เซ็นสัญญาตลอดชีพ ว่าจะต้องอยู่ที่โรงเตี๊ยมซื่อฟางไปตลอดและจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อโรงเตี๊ยมซื่อฟางด้วย ไม่ว่าจะถูกข่มขู่หรือถูกล่อลวงโดยอีกฝ่ายเช่นไร ก็จะไม่มีใครปริปากบอกความลับไปเป็นอันขาด
“พี่ชาย ท่านนี่ช่างเป็นคนดีเสียๆจริง ข้าขอขอบคุณท่านมาก”
เพราะว่าในปากของนางนั้นเต็มไปด้วยอาหาร ทำให้เด็กสาวคนนั้นพูดได้ไม่ค่อยชัด
จงซู่เฟิงก็ได้ยิ้มออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “แม่หนูน้อย ทานช้าๆก็ได้ เดี๋ยวจะติดคอเอา ไม่มีใครมาแย่งเจ้าทานหรอก”
แล้วเด็กสาวก็ได้หยุดแล้วหันมามองจงซู่เฟิงทั้งน้ำตา นางนั้นมีสีหน้าดีใจมาก
หลังจากที่พายุพัดอาหารบนโต๊ะไปจนหมดเกลี้ยง ในที่สุดเด็กสาวก็ท้องอิ่มเสียที ซึ่งจงซู่เฟิงก็ได้พูดคุยกับนางบ้างและก็ทราบว่าอีกฝ่ายนั้นมีชื่อว่าลู่หลี ซึ่งเป็นเด็กสาวที่อยู่ตรงพรมแดนระหว่างรัฐจงกับรัฐหลี
“ไหนเจ้าลองบอกเราหน่อยสิว่าเจ้ามาทำอะไรที่รัฐเจียง เผื่อเราจะช่วยเจ้าได้บ้าง” จงซู่เฟิงก็ได้มองไปที่คราบอาหารที่ติดอยู่ที่มุมปากของลู่หลี แล้วก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วก็ยื่นส่งให้อีกฝ่าย
ลู่หลี่ก็ได้มองไปที่ผ้าเช็ดหน้าที่เขายื่นมาให้อย่างสงสัย จนกระทั่งจงซู่เฟิงได้พูดเตือนนาง “มีรอยเปื้อนติดอยู่ที่มุมปากของเจ้าแน่ะ”
ลู่หลีก็ได้รู้สึกอายขึ้นมาทันใด แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากมือของอีกฝ่าย แล้วรีบเอามาเช็ดหน้าของนาง แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยใบหน้าแดงๆ “ข้ามาที่รัฐเจียงตามคำสั่งของผู้นำเผ่าเพื่อออกตามหาหญิงสาวที่ชื่อว่าหลินซีเหยียนน่ะ”
“แม่นางหลิน?” ด้วยความตกใจจงซู่เฟิงจึงได้หลุดปากออกมา แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่ลู่หลีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังขึ้นมา “เจ้าเคยพบแม่นางหลินอย่างนั้นเหรอ?”
แล้วลู่หลีก็ได้ผงกหัวแล้วเล่าว่าหลินซีเหยียนนั้นได้ไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้าร่วมงานคัดเลือกนักบุญหญิง แต่ทว่านางกลับหนีออกมาเสียก่อน แล้วจากนั้นก็ได้ถาม “พี่ชายรู้จักหลินซีเหยียนด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
จงซู่เฟิงก็ได้ผงกหัว “แม่นางหลินคือบุตรีคนที่สามของจวนมหาเสนาบดี นางได้ออกจากบ้านไปเมื่อ 10 วันก่อนเพราะธุระบางอย่างและยังไม่กลับมาเลยจนกระทั่งตอนนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ลู่หลีก็ได้เปลี่ยนจากสีหน้าตื่นเต้นเป็นสีหน้าผิดหวังทันที มันเป็นเวลา 5 วันมาแล้วที่นางได้ดั้นด้นมาที่ รัฐเจียงแห่งนี้ แต่ก็พบว่าหลินซีเหยียนนั้นยังไม่ได้กลับมาเลย ข่าวนี้มันรุนแรงเกินที่นางจะรับไหว
“แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?” ลู่หลีก็ได้หน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งๆรอยยิ้ม ใบทองที่นางได้รับมาจากท่านยายนั้นก็หายไปหมดแล้วด้วย แล้วนางจะตามหาหลินซีเหยียนต่อได้อย่างไร? ต่อให้นางอยากที่จะกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่นางก็ไม่มีหน้าที่จะกลับไปอยู่ดี!
สวรรค์! นี่ท่านกำลังล้อข้าเล่นอยู่อย่างนั้นเหรอ?
แล้วใบหน้าของลู่หลีก็ได้ร้องไห้โดยที่ไม่มีน้ำตา แล้วจากนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ ในเมื่อนางหาหลินซีเหยียนไม่พบแต่นางก็สามารถรออยู่ที่บ้านของหลินซีเหยียนได้นี่นา จะต้องไม่มีใครว่าอะไรแน่
ไม่ว่าจะหนีไปไหน พระก็ไม่สามารถทิ้งวัดไปได้หรอก!
นางจึงได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วหน้าไปมองที่จงซู่เฟิง “พี่ชาย ข้าเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นานและยังไม่ค่อยรู้จักที่นี่ดีนัก ข้าอยากให้ท่านช่วยพาข้าไปที่จวนของมหาเสนาบดีหน่อยได้ไหม? ข้าอยากที่จะไปรอนางที่บ้านของนาง”
คำถามนี้ทำเอาจงซู่เฟิงลังเลไปพักหนึ่ง ตัวเขานั้นไม่สามารถที่จะพาคนอื่นไปที่จวนมหาเสนาบดีอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเพียงเพราะคำพูดด้านเดียวของเด็กสาวไม่ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทิ้งขว้างอีกฝ่ายไปง่ายๆได้ด้วยไม่ไร้ความรับผิดชอบมากเกิน แล้วถ้าหากอีกฝ่ายนั้นมีธุระด่วนต้องรีบตามแม่นางหลินอย่างเร่งด่วนไม่สามารถที่จะรอช้าได้ล่ะ?
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว จงซู่เฟิงก็ได้มองไปที่ลู่หลีแล้วกล่าว “แม่หนู ตอนนี้เราเองก็พักอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีเป็นการชั่วคราวอยู่ ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ จะมาพักอยู่กับเราเป็นการชั่วคราวก่อนก็ได้นะ”
ด้วยจารีตประเพณีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่มีการแบ่งกั้นอะไรระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ดังนั้นลู่หลีจึงได้รีบตอบไป “ไม่รังเกียจเลย ไม่รังเกียจ”
ด้วยเหตุนี้ลู่หลีก็ได้ตามจงซู่เฟิงกลับไปที่จวนของมหาเสนาบดี
เมื่อพูดถึงหลินซีเหยียนในเวลานี้แล้ว ในตอนนี้นางที่กำลังเร่งรีบกลับมาที่เมืองหลวงนั้น แต่ก็ต้องถูกให้หยุดระหว่างทาง ซึ่งดูเหมือนว่านางนั้นกำลังถูกจ้องเล่นงานอยู่
หลินซีเหยียนที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็ได้มองไปที่“วีรบุรุษแห่งป่าเขียว”ทั้งหกที่ทำสีหน้าชั่วร้ายอยู่ตรงหน้านางแล้วทำเอานางพูดอะไรไม่ออก ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วนางนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาในใจของนาง ใครกันนะที่คิดจะเอาชีวิตของนางกัน? จะต้องไม่ได้ทำเพื่อเงินแน่ๆ
แต่ก็ไม่คาดคิดว่าภายใต้การถูกล้อมโดยขโมยเช่นนี้ หลินซีเหยียนก็ได้พยายามกลั้นหัวอยู่ เมื่อนางมองไปที่ใบหน้าที่พยายามแกล้งทำเป็นโหดเหี้ยมของของอีกฝ่ายแล้ว
ถึงแม้ว่านางจะพยายามอดกลั้นแล้ว แต่ไหล่ของนางก็ยังสั่นจนอีกฝ่ายสามารถสังเกตได้แล้วก็โมโหขึ้นมา แล้วทันใดนั้นหัวหน้าของทั้งหกคนก็ได้พูดขึ้นมา “เด็กๆ ผู้หญิงคนนั้นกำลังดูถูกพวกเราอยู่ พวกเจ้าไปจัดการทำให้นางได้รู้จักรู้ดำรู้แดงเสียหน่อยแล้ว”
“ได้เลยลูกพี่!”
แล้วห้าคนที่เหลือก็ได้รีบบุกขึ้นหน้าไปพร้อมด้วยขวานทั้งสองเล่มในมือของพวกเขา แม้ว่าหลินหนานเฟิงนั้นจะรู้สึกพูดอะไรไม่ออก แต่เขาก็ได้หยิบเอาเหรียญทองแดงออกมาจากข้างเอวของเขา