หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 293 ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
บทที่ 293
ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
นั่นหมายความว่าเจียงหวายเย่ไม่ได้ถูกพิษ เขาพูดคำเหล่านั้นกับหลินซีเหยียนในตอนที่เขาสติครบถ้วนดี ในเวลานี้น้องสาวของเขานั้นต้องเสียใจอย่างมาก
เมื่อเห็นสายตาที่ร้อนแรงด้วยความเป็นห่วงของทั้งสองคนแล้ว หลินซีเหยียนจึงทนไม่ไหวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านหมอหลินจะเข้าร่วมศึกคัดเลือกนักบุญหญิงต่อไปหรือไม่?”
เมื่อมองไปที่ดวงตาและริมฝีปากของหลินซีเหยียนแล้ว เขาก็ได้กล่าวอย่างเงียบๆ “นี่แหละคือท่านหมอหลินที่ข้าชื่นชอบ”
หลินซีเหยียนก็ได้ลดมุมตาลงแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าว “แน่นอนว่าข้าต้องเข้าร่วมอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราก็อาจจะพลาดอะไรสนุกๆก็ได้”
ในค่ำคืนนั้นหลินซีเหยียนกับชิงอวี่ก็ได้นอนด้วยกัน ส่วนหลีเจี้ยนเฉินกับจี๋เฟิงนั้นนอนด้วย และรอคอยการมาถึงของ รุ่งสางอยู่อย่างเงียบๆ
ในกระโจมที่เงียบกริบนั้น จู่ๆก็มีเสียงของหลีเจี้ยนเฉินดังขึ้นมา “จี๋เฟิง เจ้าเคยเป็นคนของเจียงหวายเย่สินะ?”
“ขอรับ ฝ่าบาท”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่เจ้านายของเขา แต่ด้วยเพราะฐานะของอีกฝ่ายแล้ว จี๋เฟิงจึงจำต้องตอบด้วยความเคารพ
แล้วหลีเจี้ยนเฉินก็ได้ถามต่อ “เจียงหวายเย่ในสายตาของเจ้าเป็นคนอย่างไร?”
“องค์ชายนั้นเป็นวีรบุรุษในดวงใจของข้าน้อยขอรับ เพื่อช่วยเหลือผู้คนแล้วเขาเลือกที่จะละทิ้งราชบัลลังก์แล้วนำทัพออกไปต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเป็นคนที่ยึดมั่นอย่างมาในความรักและความถูกต้อง ท่ามกลางสนามรบเขาเลือกที่จะเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือทหารเพียงคนเดียวขอรับ”
คำพูดของจี๋เฟิงนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมเจียงหวายเย่ ซึ่งทำให้หลีเจี้ยนเฉินนั้นรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและพูดออกมาด้วยเสียงที่พูดไม่ค่อยชัด “แล้วเจ้าว่าวันนี้เขาทำเช่นนั้นทำไม?”
จี๋เฟิงก็ได้เปิดปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขารู้สึกได้ว่าองค์ชายนั้นกำลังตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ยากลำบากอยู่ แต่ลำพังคำพูดของเขานั้นคงไม่มีน้ำหนักอะไร และไม่มีหลักฐานอะไรมารองรับด้วย
นอกเหนือไปจากคนหนึ่งที่นอนไม่หลับในคืนนี้แล้ว ไม่ไกลออกไปเจียงหวายเย่ก็ได้ยืนอยู่ในความมืดอย่างเงียบๆและมองไปที่กระโจมของหลินซีเหยียน
ชะตากรรมระหว่างเขากับเสี่ยวเหยียนเอ๋อจะเป็นเช่นไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวันพรุ่งนี้แล้ว
แล้ววันต่อมาก็ได้มาถึง ทันทีที่หลินซีเหยียนปรากฏตัวออกมา ซึ่งนางนั้นได้เป็นที่ดึงดูดความสนใจของคนดูทั้งหมด เพราะหลินซีเหยียนที่มักจะสวมชุดสีฟ้าอ่อนนั้น วันนี้ก็สวมชุดสีขาวเช่นกัน
ด้วยสีหน้าที่เย็นชาบนใบหน้าของนางแล้ว ช่างดูเหมือนเซียนที่มาจากสวรรค์มาก ทั้งสูงศักดิ์, เยือกเย็นและทระนงจนไม่อาจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
ใบหน้าของเจียงอี๋นั้นไม่ดีอย่างมาก เพราะในเวลานี้ทั้งคู่ต่างก็สวมชุดสีขาว ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าใครที่อยู่เหนือกว่าและใครที่อยู่ต่ำกว่า และนางนั้นไม่ต้องการที่จะอยู่ต่ำกว่า และต้องการให้หลินซีเหยียนต้องอับอาย นางจึงได้มาพร้อมกับเจียงหวายเย่
แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างโมโห “ท่านพี่ ท่านว่าใครกันที่สวยกว่าในสายตาของท่าน ระหว่างข้ากับผู้หญิงคนนั้น?”
คำพูดของนางนั้นได้ดึงดูดให้ผู้คนมากมายต้องรอชม เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่นางอย่างเป็นการเตือนแล้วกล่าว “มันแน่นอนอยู่แล้วว่าผู้หญิงคนไหนที่สวยกว่า แต่ว่าเจ้านั้นเคยช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกต้อยต่ำไปหรอก”
ทันทีที่ผู้คนรอบๆได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็พากันหัวเราะ
เจียงหวายเย่นี้ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ ที่เขากล้าพูดเช่นนั้นตรงๆต่อหน้าทุกคนได้ แม้แต่คนที่มาด้วยกันอย่างเจียงอี๋นั้นก็ยังต้องรู้สึกหัวเสียขึ้นมา ราวกับนางเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นพูดอะไรอยู่กันแน่
หลินซีเหยียนที่ยังยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้มีสีหน้าที่สงบนิ่งมาก และไม่แม้แต่ที่จะมองมายังอีกฝ่าย เจียงหวายเย่ที่รู้สึกได้ถึงท่าทีของหลินซีเหยียนแล้วก็แอบตกใจ เสี่ยวเหยียนเอ๋อผิดหวังในตัวเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?
ในขณะที่เขากำลังคิดเช่นนั้นอยู่ ท่านยายก็ได้มาถึงและประกาศให้เริ่มการคัดเลือกต่อได้
แล้วหลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาแมงป่องแดงตัวน้อยของนางออกมาด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วก็ปรากฏแววตาสงสัยท่ามกลางสายตาของทุกคน “ไม่ใช่แมงป่องแดงตัวนั้นได้คืนให้ซู่ฉุ่ยไปแล้วหรอกเหรอ?”
“ใช่ๆ แล้วทำไมถึงได้ยังอยู่ในมือของนางได้”
แล้วผู้คนรอบๆก็ได้พากันฮือฮาขึ้นมา และหลินซีเหยียนก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวด้วย แต่เจียงอี๋ก็ได้จ้องไปที่แมลงของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่ดีอย่างมาก
ก็ว่ามันหายไปไหน ที่แท้ก็ถูกผู้หญิงคนนั้นขโมยกลับไปแล้วนี่เอง
แล้วนางก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างประชดประชัน รอยยิ้มของนางนั้นปรากฏอย่างชัดเจนมากและเต็มไปด้วยการดูหมิ่น “ไม่แปลกใจเลยตอนที่ข้าพบซู่ฉุ่ยอีกหนนั้น ข้าก็พบว่านางกลายเป็นศพตัวสีม่วงแล้วไปแล้ว ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้าที่ฆ่านางด้วยพิษแมงป่องตัวนั้น”
ใช้แมลงพิษฆ่าคนเพื่อหวังชิงเอาของของคนอื่นงั้นเหรอ? ด้วยเหตุนี้สายตาของคนดูจึงพากันจับจ้องไปที่หลินซีเหยียน
การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดูหมิ่นอย่างมากในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ที่นี่สามารถที่จะฆ่าคนด้วยแมลงพิษได้ แต่ไม่สามารถที่จะฆ่าคนอื่นเพื่อหวังชิงเอาผลิตผลจากน้ำพักน้ำแรงคนอื่นได้
“ซู่ฉุ่ยและข้าเป็นเหมือนพี่น้องกัน วันนี่ข้าจะขอล้างแค้นแทนนาง” เจียงอี๋ที่เหมือนกับยืนอยู่จุดสุดยอดของศีลธรรมนั้น ก็ได้กำความยุติธรรมเอาไว้ในมือขวาของนาง
ด้วยเหตุนี้ หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มออกมา เสียงที่สวยใสราวกับเสียงหยดน้ำในบ่อน้ำพุร้อน แล้วทันใดนั้นเองก็ได้เปลี่ยนไปเป็นเหมือนฝนฤดูใบไม้ผลิ ที่ตกลงมาสู่พื้นด้วยแรงโมโห
“เจ้ายังไม่ได้เห็นศพของซู่ฉุ่ยเลย แล้วเจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าซู่ฉุ่นตายแล้ว?”
“เจ้าจะบอกว่าข้าโกหกอย่างนั้นเหรอ?” เจียงอี๋ก็ได้กล่าวอย่างโมโหนี่เป็นครั้งแรกที่นางทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น ใบหน้าที่ซีดเซียวก่อนหน้านี้ ก็ได้แดงขึ้นมาอย่างกระวนกระวายใจ ช่างเป็นตัวตนที่ต่างออกไปจริงๆ
“แล้วเจ้าพบศพของซู่ฉุ่ยที่ไหน?” ท่านยายที่เป็นคนที่ยุติธรรมมากที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ นางนั้นไม่สามารถเลือกที่จะเข้าข้างใครได้ง่ายๆ นางนั้นตัดสินใจที่จะลงโทษ หลินซีเหยียนหลังจากที่พบศพแล้ว
แต่ในใจของนางนั้นหากเทียบกับคนนอกอย่าง หยินซีเหยียนแล้ว นางก็อยากที่จะพูดเข้าข้างเจียงอี๋มากกว่า
“ศพของซู่ฉุ่ยนั้นถูกฝังอยู่โดยข้าเองที่ด้านหลังของภูเขา” เจียงอี๋ก็ได้ตอบไป และมีแววตาที่สงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง นางนั้นไม่คิดว่าท่านยายนั้นจะถามหาศพของซู่ฉุ่ยเช่นนี้
ซู่ฉุ่ยนั้นถูกฆ่าโดยนางเอง แต่นางก็ได้ทำความสะอาดศพของนางเรียบร้อยแล้ว และไม่น่าจะมีอะไรที่สาวมาถึงตัวนางได้
ด้วยเหตุนี้คนกลุ่มหนึ่งจึงได้พากันไปที่ด้านหลังของภูเขา หลังจากที่เจียงอี๋หยุดเดิน พวกเขาก็พบแต่กองหินที่ใช้ฝังซู่ฉุ่ยเมื่อวานนี้ถูกขุดขึ้นมา และศพที่อยู่ในนั้นก็ได้หายไปแล้ว
“แม่นางเจียง ขออภัยในสายตาที่ฝ้าฟางของข้าด้วย แต่ข้าไม่เห็นอะไรเลยนอกเสียจากกองหินเท่านั้น”
คำพูดของหลินซีเหยียนนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจ “ข้ารู้ดีว่าพวกเรานั้นต่างก็เป็นคู่แข่งกัน แต่ทำไมเจ้าถึงต้องปรักปรำข้าเช่นนี้ด้วย”
“ไม่ ข้าไม่ได้ปรักปรำเจ้า ข้าฝังซู่ฉุ่ยไว้ที่นี่จริงๆ”
เจียงอี๋ก็ได้รู้สึกสับสนไปชั่วขณะหนึ่งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเหลือบสายตาไปมองดูรอยยิ้มที่มั่นใจของ หลินซีเหยียนแล้ว นางก็พลันนึกขึ้นมาได้ “มันเป็นเจ้า เจ้าเอาศพของซู่ฉุ่ยไป”
“พูดอะไรไร้สาระ แม่นางเจียงข้าว่าเจ้าเลิกพูดจาไร้สาระจะดีกว่า” จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้มองดูเวลาแล้วจากนั้นก็ได้หันหน้าไปถามท่านยาย “ท่านยาย ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ข้าว่าเรารีบเริ่มการคัดเลือกกันต่อนาง!”
“ท่านยายเชื่อข้าเถอะ” เจียงอี๋ก็ได้กล่าวทั้งน้ำตา นางจะต้องทำให้ท่านยายนั้นปรับหลินซีเหยียนให้หมดสิทธิ์การเข้าร่วมการคัดเลือกให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางอาจจะพลาดตำแหน่งนักบุญหญิงก็ได้
แล้วท่านยายก็ได้ยกมือของนางขึ้นมา แล้วก็ปาดน้ำตาบนหน้าของเจียงอี๋แล้วกล่าวด้วยวาจาที่หนักแน่น “อี๋เอ๋อ ยายนั้นจำต้องตัดสินการคัดเลือกนี้อย่างยุติธรรม นี่คือกฎที่ถูกตั้งมาโดยบรรพบุรุษของพวกเรา และยายก็ไม่สามารถที่จะละเมิดกฎนี้ได้”
จากนั้นนางก็ได้หันหน้ามาแล้วเดินกลับไป “เราจะมีหารือเรื่องนี้กันทีหลัง ตอนนี้พวกเราจำต้องกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อเริ่มการคัดเลือกกันต่อ”
ในเวลานี้มีผู้เข้าชิงเหลืออยู่แค่ 5 คนได้แก่ หนึ่งคือ หลินซีเหยียน, สองคือเจียงอี๋, สามคือลู่หลี, สี่คือสวีหราน และห้าคือชิงอวี่