หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 886 สงครามมืด
ตอนนี้อวี๋ชิงหย่าไม่จำเป็นต้องมีพยาบาลคอยดูแล แล้วสิ่งที่ตระกูลไม่ขาดแคลนเลยก็คือกลุ่มแม่บ้าน เพราะฉะนั้นกลุ่มจากโรงพยาบาลเลือกอยู่ห้องนอนเด็กคิดถึงแต่ส่วนได้ส่วนเสียของตน รวมถึงอาจารย์หวังด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่คิดเลยว่า ท่านประธานอู๋จะมาบ้านของเยี่ยเทียน
ตามหลักแล้ว ไม่ว่าท่านทำอะไรก็จะได้รับความสนใจท่วมท้นจากทุกฝ่าย เขาไม่มีทางมาเพื่อแสดงความยินดีกับการเกิดของเด็กคนหนึ่งแน่นอน แล้วท่าทีของเขา เขาทำราวกับเป็นตัวแทนท่านประธานเยวี่ย มันยิ่งทำให้หลายคนคิดไม่ตก
“อ้าว? ท่านประธานอู๋ ท่าน…มาได้ไงคะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนเดินเข้าไปในห้องเป็นเพื่อนท่านประธานอู๋ คนในห้องตะลึงกันหมด ต่างลุกขึ้นมาด้วยความลนลาน ด้วยลักษณะงานที่ทำอยู่ถึงแม้เคยได้พบกับบุคคลสำคัญอยู่บ้าง แต่การได้ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญที่มีระดับขนาดนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรก
“ฉันมาเยี่ยมทุกคนนั่นแหละ!”
ที่จริง คนที่ยิ่งมีตำแหน่งสูง ยิ่งทำตัวใกล้ชิดเก่ง ตอนนี้ท่านประธานอู๋ผู้ไม่เคยยิ้มให้กับข้าราชการท้องถิ่น กลับพูดคุยกับพวกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดปกติ
“ช่วงนี้ทุกคนเหนื่อยหน่อยนะ ฉันมาเยี่ยมทุกคนแทนท่านประธานเยวี่ย!”
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ ขอขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง!”
ตอนที่เรียงรายจับมือท่านประธาน แต่ละคนกลั้นความตื่นเต้นไม่ไหวซึ่งเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่แสดงออกมา ถึงแม้ว่าเคยเห็นความตื้นตันของกลุ่มคนที่ได้จับมือกับผู้นำในโทรทัศน์มาแล้ว กับความตื้นตันที่ดูไม่จริงใจ แต่พอเจอกับตัวเอง ถึงสัมผัสอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วมากจริงๆ
ตอนที่จับมือกับอาจารย์หวัง ท่านประธานอู๋ยิ้มและพูดว่า
“คุณหวัง คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสูติเชียวนะ เก่งมาก!”
“ท่านคะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันค่ะ ท่านชมเกินไป”
ท่าทีของอาจารย์หวังนิ่งมาก เพราะเธอเคยทำงานที่โรงพยาบาลใหญ่ของรัฐ เธอจึงคุ้นเคยกับผู้นำเหล่านี้เป็นอย่างดี
“เยี่ยเทียนเคยทำคุณความดีให้กับพรรคและประเทศ ลูกของเยี่ยเทียนเกิดมาอย่างปลอดภัยเพราะพวกคุณทั้งนั้น”
หลังจากจับมือกับทุกคนเสร็จ ท่านประธานอู๋ไอหนึ่งทีและพูดว่า
“น้ำใจของเยี่ยเทียน รับไว้เถอะ ผมเป็นพยานให้ว่านั่นไม่ใช่อั่งเปา ถือว่าเป็นเงินรางวัลให้กับทุกคน!”
“อะไรนะคะ? เยี่ยเทียนเคยทำคุณความดีให้กับพรรคและประเทศ?”
การมาเยี่ยมของท่านประธานอู๋ทำให้พวกเธอตกตะลึงอยู่แล้ว พอท่านประธานพูดแบบนี้ ไม่ใช่แค่พวกเธอที่ตะลึง ทุกคนตะลึงตามกัน ท่านประธานอู๋เป็นใคร? เป็นผู้นำที่งานยุ่งทุกวัน จะว่าอย่างนั้นก็ไม่มากเกินไป แต่เขามาที่นี่เพื่อพูดเรื่องอั่งเปา
แล้วสิ่งที่ต้องการสื่อ ยิ่งทำให้สมาชิกรักษาพยาบาลยิ่งงงงวยกันไปใหญ่ พวกเธอหันไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างท่านประธานที่กำลังยิ้มอ่อน ความรู้สึกสับสนต่างๆนานาปรากฏผ่านใบหน้าทั้งหมด
คนเหล่านี้ ใช้ชีวิตในเรือนสี่ประสานมาแล้วกว่าหนึ่งอาทิตย์ ภาพลักษณ์ของเยี่ยเทียนนั้น คือชายหนุ่มผู้ไม่ค่อยพูด มีบุคลิกเป็นเอกลักษณ์ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเซียนที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ และยากที่จะเข้าใจตัวตนของเขา
อีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าเยี่ยเทียนเป็นรุ่นเล็กในบ้าน แต่เวลาที่เขาพูดอะไร แม้แต่พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ อาจไม่ถึงกับวาจาดุจยอดทองเก้าชั้น แต่มีน้ำหนักมากทีเดียว ราวกับทุกคนใช้ชีวิตโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อาจารย์หวังและคนอื่นก็ไม่สามารถปะติดปะต่อคำพูดของท่านประธานอู๋ที่ว่า
“เยี่ยเทียนทำคุณความดีให้กับพรรคและประเทศ” ได้เลย การที่คนคนหนึ่งได้รับคำชมจากผู้นำระดับประเทศดั่งท่านนี้ เกรงว่าตั้งแต่สถาปนาประเทศคงมีจำนวนน้อยจนนับคนได้
“ท่านประธานอู๋ชมเกินไป ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ท่านประธานอู๋เป็นพยานให้แล้ว พวกคุณรับน้ำใจจากผมได้แล้วใช่ไหมครับ?”
หลังจากท่านประธานอู๋พูดออกไปแบบนั้น เยี่ยเทียนได้แต่คิดอยู่ในใจ คนแก่พวกนี้ร้ายนัก ได้ทีเอาใหญ่ วันหลังถ้ามีสิ่งที่ต้องการอีก คงต้องไว้หน้าให้ตัวเองบ้างแล้วล่ะ
“ค่ะ…พวกเราจะรับไว้!”
หมอและพยาบาลเหล่านี้ มึนงงไปหมดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนฟังไม่ออกว่าเยี่ยเทียนใช้น้ำเสียง เยาะเย้ยตอนที่เอ่ยถึงท่านประธาน
“ดีเลยครับ คุณหวัง งั้นฉันขอตัวก่อน!”
ท่านประธานอู๋พยักหน้าเล็กน้อยกับอาจารย์หวัง จากนั้นเดินออกจากห้องไป บรรยากาศในห้องเงียบสนิทไม่มีเสียงอะไรเลย ทุกคนนิ่งราวกับกำลังทบทวนคำพูดของท่านประธานอยู่
“พี่จ้าว แล้วเงิน…ไม่ต้องคืนแล้วใช่ไหมคะ?”
ผ่านไปครู่ใหญ่ พยาบาลหลิวพูดขึ้นมา เก็บเช็คใบนี้ใส่กระเป๋าให้ดี ดีกว่านั่งเดาว่าเยี่ยเทียนเป็นใคร
“อาจารย์ ยังไงดี?”
หัวหน้าจ้าวไม่กล้าตัดสินใจ หันไปหาอาจารย์หวังแทน เพราะอาจารย์หวังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ เวลาเรียกขานเธอจะใช้คำว่าอาจารย์
“ท่านบอกไว้แบบนั้น งั้นก็เก็บไว้เถอะ”
อาจารย์หวังยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง
“ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยรับอั่งเปาเลย ไม่คิดว่าเลยว่าซองแรกก็ได้ 8888 หยวน…”
จากนั้นสีหน้าของอาจารย์เข้มขรึมทันใด เธอหันไปบอกทุกคนว่า
“ทำหน้าที่ดูแลแม่และเด็กให้ดี ห้ามไปสืบว่าเยี่ยเทียนเป็นใครเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
ทั้งชีวิตของอาจารย์หวังผ่านการชุมนุมมาแล้วหลายครั้ง เขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ก็เหมือนกับ “คุณความดี” ที่เยี่ยเทียนทำไว้ จะต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ห้ามเผยออกมาเด็ดขาด ถ้าไม่เช่นนั้น สาวๆเหล่านี้อาจจะโดนคำสั่งให้ย้ายไปอยู่หน่วยรักษาตามชนบทก็เป็นไปได้
ทุกคนพยักหน้าต่อคำสั่งของอาจารย์หวัง และอีกหลายวันต่อจากนี้ พวกเธอปฏิบัติหน้าที่ด้วยความละเอียดอ่อนมากกว่าเดิม นอกจากจำนวนเงินมากมายใน “อั่งเปา” แล้วสถานะของเยี่ยเทียนได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรข้ามอีกต่อไป แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ทั้งหมด
“ท่านประธานอู๋ หว่านพืชหวังผล แล้ว…”
เมื่อส่งท่านประธานอู๋ออกจากเรือนสี่ประสานแล้ว เยี่ยเทียนยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาเข้าใจดีว่า ถึงแม้เขามีพลังที่ทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัวหรืออยากเข้าใกล้ พวกเขาไม่มีทางมาเพราะเรื่องนี้แน่ การมาในครั้งนี้จะต้องมีเหตุผลอื่น
“คุณกล้าพูดแบบนี้กับผมเชียวหรือ?”
ท่านประธานอู๋หน้าตึง แต่เขาก็เปลี่ยนเป็นการยิ้มทันที เขาส่ายหัวและตอบว่า
“ที่จริงผมมีเรื่องจะคุยด้วย แต่วันนี้ลูกคุณเพิ่งเกิด เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน เดี๋ยวผมให้ฉางเฮ่ามาบอกคุณอีกที!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ด้วยตำแหน่งที่เขามีอยู่ตอนนี้ ทำไมถึงได้ระมัดระวังมากเป็นพิเศษเวลาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน ถึงแม้ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่เขาเข้าใจดีว่า พลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากตัวเยี่ยเทียน มันน่ากลัวกว่าท่านประธานเยวี่ยถึงสามเท่า
เพราะเยี่ยเทียนตั้งใจทำแบบนั้น แต่ท่านประธานอู๋ไม่รู้ เขากลัวตาแก่พวกนี้จะทำตัวได้คืบเอาศอก จึงปล่อยพลังกดดันออกมาเล็กน้อย ด้วยพลังของเยี่ยเทียน ที่จริงเขาสามารถเก็บจิตไม่ให้แผ่พลังออกมาก็ได้
“ท่านประธานอู๋เป็นผู้ใจกว้างเสียจริง ขอบคุณมากครับ!”
เยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะถามเลยว่าเป็นเรื่องอะไร โบราณกล่าวไว้ว่าปัญหาล้วนเกิดจากการพูดมาก ความวุ่นวายล้วนเกิดจากความอยากแกร่ง ทุกครั้งที่เอ่ยปากจะเป็นเหตุเป็นผล แต่การไม่พูดนั้นย่อมดีกว่า ในเมื่อตัวเขาไม่ได้ถามต่อ เขาเชื่อว่าคนคนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้
“นายนี่มัน น่าชื่นชมกว่าบรรพบุรุษอีก!”
ท่านประธานถึงกับส่ายหัว เมื่อเห็นเยี่ยเทียนนิ่งสงบ ไร้ความสงสัยตามวัยของเยี่ยเทียน รู้สึกเพียง เยี่ยเทียนแลดูเป็นคนลุ่มลึกดั่งมหาสมุทร แม้เขาจะอยู่ในระบบราชการมาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจอ่านใจของเยี่ยเทียนออก
“ท่านก็ชมผมเกินไป ท่านอายุมากแต่ก็ยังแข็งแกร่งเหมือนกันครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ไปส่งท่านประธานอู๋และผู้ติดตามออกจากเรือนสี่ประสานพร้อมกับซ่งเฮ่าเทียน ซ่งเฮ่าเทียนสัมผัสได้ถึงความอึดอัดในตอนที่ท่านประธานอยู่ในเรือน เพราะฉะนั้น เขาไม่ได้คิดจะรั้งให้อยู่ทานข้าวด้วย
หลังจากส่งเสร็จเรียบร้อย ซ่งเฮ่าเทียนหันไปพูดกับเยี่ยเทียนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“ได้ว่าข่าว งานวิจัยผู้มีความสามารถพิเศษที่ประเทศใดประหนึ่งของยุโรป มีการค้นพบบางอย่าง และกำลังจะจัดงานสัมนาระดับทั่วโลกขึ้น คาดว่าท่านประธานคงหมายถึงเรื่องนี้!”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเหรอครับ? ผมไม่ได้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษซะหน่อย!”
เยี่ยเทียนเบ้ปากไม่สนใจในสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึง ในวันที่โลกใบนี้เหลือปราณวิเศษน้อยเพียงนี้ โลกใบนี้ไม่อาจรองรับผู้มีความสามารถแบบเยี่ยเทียนได้อีกแล้ว เขาไม่สนใจองค์กรวิจัยเกี่ยวกับผู้มีความสามารถพิเศษอะไรนั่นหรอก
“แกนี่มันดื้อรั้นจริง แกก็รู้ว่าประเทศเรายังขาดอะไร?”
ซ่งเฮ่าเทียนเขม่นตาใส่ เขาไม่พอใจท่าทีของหลานชายมาก ในฐานะการเป็นคนจีน อย่างน้อยภูมิใจในประเทศหน่อยก็ยังดี
ในวันที่ห้ามใช้อาวุธนิวเคลียร์ การแก่งแย่งชิงระหว่างประเทศที่มีอาวุธนั้น ล้วนแต่ทำสงครามกันผ่านฝีปาก ในวันที่ผู้มีความสามารถพิเศษปรากฏขึ้นมา มันทำให้หลายประเทศเริ่มอยู่ไม่นิ่ง เพราะผู้มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์นั้น เขามีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในบางพื้นที่หรือบางท้องถิ่นได้
หลายประเทศในยุโรปจึงต้องการใช้การสัมมนาในครั้งนี้ก่อสงครามเย็น ขีดเส้นแบ่งยุคแห่งอาวุธนิวเคลียร์ใหม่ และสิ่งที่ทำให้ประเทศจีนขายหน้าก็คือ ถึงแม้พวกเขามีเยี่ยเทียนและคนระดับเดียวกันอาศัยอยู่ในประเทศ แต่ไม่มีใครกล้าเรียกใช้คนกลุ่มนี้เลย
หลังจากที่ได้ยินผู้เฒ่าพยายามพูดอธิบาย เยี่ยเทียนส่ายหัวอย่างรุนแรง และพูดว่า
“ท่านผู้เฒ่าครับ ผมยุ่งจะตาย ผมมีเวลาไปเข้าร่วมเรื่องนั้นที่ไหนกัน เอาไว้ค่อยคุยกันนะครับ”
สำหรับเยี่ยเทียน ในเวลานี้ลูกชายต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนงานสัมมนาแลกเปลี่ยนผู้มีความสามารถพิเศษนั้น จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว เลวร้ายที่สุด ถ้ามีคนมาทำร้ายประเทศจีน เขาไปจัดการให้ก็สิ้นเรื่อง
ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า พูดต่อว่า
“ตาจะบอกอีกเรื่อง เรื่องนี้คงจะจัดขึ้นปีหน้านู้น พอถึงเวลา แกจะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่แกเถอะ”
“ผมว่านะ ท่านประธานอู๋ก็แค่อยากไว้หน้าท่านผู้เฒ่าแหละ มองผมแบบนั้นทำไมกัน?”
สองคนเดินคุยกันจนมาถึงเรือนกลาง ทุกคนที่กำลังพูดคุยกันในตอนแรก ต่างก็เปลี่ยนเป้าสายตามาอยู่ที่เยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่ซ่งเฮ่าเทียน ส่วนตัวเขาเองแอบย่องเข้าไปดูลูกชายแทน
…………………………