หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 872 โต้กลับ
“จับ!”
เหอปู้อวี่ตวาดออกไปหนึ่งคำ แล้วตาขายผืนใหญ่นั้นก็ย่อส่วนลงอย่างรวดเร็วดั่งมีชีวิต ห่อหุ้มพันธนาการสิงห์ขนทองไว้กลางอากาศ ไม่ว่าสิงห์ขนทองจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจจะหลุดพ้นได้เลย
“ตาข่ายนี้หลอมขึ้นจากเส้นไหมทองหมื่นปี เจ้าหนูน้อย อยู่นิ่งๆ ในนั้นไปเถอะนะ!”
เมื่อเห็นสิงห์ขนทองดิ้นรนไม่หยุด เหอปู้อวี่ก็ยิ้มน้อยๆ อย่างได้ใจ ภูมิหลังฐานะเขาไม่ได้รุ่มรวยมากนัก และสิ่งนี้ก็คือหนึ่งในของวิเศษที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ที่เขามีอยู่ไม่กี่ชิ้น
“น…นี่มันตาข่ายฟ้าดิน “เฉียนคุน” ของนายท่านนี่นา แก…แกได้มันมาได้ยังไง?”
การปะทะกันระหว่างเยี่ยเทียนและเหอปู้อวี่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนแรกยังพูดคุยกันด้วยไมตรีอยู่แท้ๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็หันหน้าเข้าต่อสู้กัน วานรขาวและโก่วซินเจียจึงต่างอึ้งกันไปครู่หนึ่ง นึกว่าเหอปู้อวี่กำลังทดสอบพลังฝีมือของเยี่ยเทียนอยู่จริงๆ เสียอีก
จนกระทั่งสิงห์ขนทองถูกกักตัวไปแล้ว วานรขาวถึงเพิ่งจะหลุดจากภวังค์ การที่นายท่านจะมอบของแทนตัวให้แก่อีกฝ่าย เพื่อให้ช่วยมานำข้าวของกลับไปให้แทนท่านนั้นก็ยังพอเข้าใจได้อยู่ แต่ตาข่ายฟ้าดิน เฉียนคุนนี้เป็นของวิเศษที่นายท่านใช้คุ้มกาย ปกติแม้แต่มันเองยังไม่ได้แตะเลย ตามหลักแล้วต่อให้มีความสัมพันธ์อันดีกับคนผู้นี้ขนาดไหน ก็ไม่น่าจะยกของให้อีกฝ่ายได้เลย?
“ก็ต้องเป็นพี่ซือคงมอบให้ข้าอยู่แล้วน่ะสิ!”
เหอปู้อวี่ยังคงยิ้มแป้น แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้น กลับแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบอันน่าอกสั่นขวัญแขวน เขาสะบัดมือซ้ายหนึ่งที แล้วคันศรหน้าตาเหมือนของเด็กเล่นคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ ส่วนในมือขวาของเหอปู้อวี่ก็มีลูกธนูสีดำทะมึนปรากฏขึ้นดอกหนึ่ง
“น้องเยี่ย รับธนูข้านี้อีกสักดอกเป็นไร?”
จิตสังหารแผ่ออกมาจากถ้อยคำของเหอปู้อวี่โดยไม่ได้ปกปิดเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าสามารถรับธนูดอกนี้ของข้าได้ อย่างนั้นเจ้าก็น่าจะไปดินแดนแห่งทวยเทพได้อยู่ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ทิ้งชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ที่นี่แหละ!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในที่สุดเหอปู้อวี่ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงอันเหี้ยมเกรียมออกมา แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีพลังฝีมือสูงกว่าเขาไปขั้นหนึ่ง แต่เหอปู้อวี่มีชีวิตอย่างขวนขวายในดินแดนแห่งทวยเทพมาหลายร้อยปี จึงย่อมมีพื้นฐานอย่างเหลือเฟือชนิดที่เยี่ยเทียนไม่มีทางเทียบได้แน่
คันศรและลูกธนูที่ถืออยู่ในมือขณะนี้ เหอปู้อวี่ก็ได้มาจากถ้ำที่พำนักของผู้บำเพ็ญอาวุโสแห่งหนึ่ง
สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้บำเพ็ญท่านนั้นมีพลังฝีมือระดับหยวนอิงช่วงกลาง ท่านหล่อหลอมคันศรและลูกธนูนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง โดยจะต้องถ่ายจิตดั้งเดิมของตนเสี้ยวหนึ่งเข้าสู่ลูกธนู หากจิตดั้งเดิมนั้นไม่ดับสูญไป ลูกธนูก็จะสามารถล่าสังหารเป้าหมายได้ไกลเป็นพันลี้ เพียงพอที่จะปลิดชีพผู้ที่มีพลังฝีมือระดับจินตันช่วงต้นได้
อาศัยคันศรและลูกธนูนี้ เหอปู้อวี่ได้สังหาร ‘สหายสนิท’ ที่เห็นเขาเป็นมิตรมาหลายคนแล้ว ทำให้ได้ยาวิเศษและของวิเศษมาไม่น้อย ไม่อย่างนั้นแล้ว ผู้บำเพ็ญพเนจรอย่างเขาก็คงจะไม่อาจพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้เลย เพราะคงจะแก่ชราและถึงแก่กรรมไปเสียก่อน
“แกก็แค่มีพลังฝีมือระดับจินตันช่วงปลาย นึกว่าฉันคงจะเสร็จแกแน่ๆ แล้วสินะ?”
เมื่อเห็นเหอปู้อวี่นำคันศรและลูกธนูนั้นออกมา เยี่ยเทียนก็รู้สึกใจหายวาบ บนแผ่นหลังขนลุกซู่ เขารู้สึกได้ถึงอันตรายชนิดหนึ่งที่ยังไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย จึงไม่กล้าชักช้าอีก ตั้งจิตโดยพลัน ประกายแสงสีขาวประกายหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังเหอปู้อวี่
‘เจ้าโง่ ใช้กรงเล็บฉีกตาข่ายนั่นออกมาสิ!’
ขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนก็ส่งกระแสจิตไปถึงสิงห์ขนทองที่กำลังดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กลางอากาศ เจ้าตัวเล็กนี่ติดจะโง่เกินไปสักหน่อย มัวแต่ใช้ปากฉีกทึ้งตาข่ายนั่น มีกรงเล็บว่างอยู่คู่หนึ่งกลับไม่รู้จักใช้
หลังจากได้ยินกระแสจิตของเยี่ยเทียน สิงห์ขนทองก็ฉุกคิดได้ทันที กรงเล็บน้อยๆ ทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวกับรูตาข่าย แล้วออกแรงฉีกแยกออกจากกัน ของวิเศษที่หล่อหลอมขึ้นจากไหมทองหมื่นปีชิ้นนั้นถึงกับถูก สิงห์ขนทองน้อยฉีกขาดไปทันทีราวกับทำจากกระดาษ
“หืม นี่มันสัตว์วิเศษอะไรกันแน่? ทำไมถึงฉีกตาข่ายฟ้าดิน เฉียนคุนขาดได้?”
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เหอปู้อวี่ที่ตอนแรกมั่นใจว่าตนชนะแน่แล้วก็กลับเปลี่ยนสีหน้าไป เมื่อเห็นว่าสิงห์ขนทองตัวนั้นกำลังจะฝ่าออกมาจากตาข่ายฟ้าดิน เฉียนคุน คันศรและลูกธนูในมือที่กำลังเล็งไปทางเยี่ยเทียนจึงเบนไปทางสิงห์ขนทองแทน
เสียงเหนี่ยวสายธนูดัง “เฟี้ยว!” ลูกธนูที่เหอปู้อวี่ถ่ายจิตดั้งเดิมเข้าไป พุ่งไปทางสิงห์ขนทองน้อยอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“โฮก!”
สิงห์ขนทองเพิ่งจะฝ่าออกมาจากตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุน ก็เห็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งมาหาทันที ความสามารถในการรับรู้ถึงอันตรายของมันยังไวกว่าเยี่ยเทียนมาก อุ้งเท้าน้อยๆ ทั้งสองข้างปัดป้องออกไปข้างหน้า แล้วร่างก็อันตรธานไปจากที่เดิมในทันใด
แต่ไม่ว่าสิงห์ขนทองน้อยจะรวดเร็วเพียงใดก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ดี เยี่ยเทียนมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ณ ตำแหน่งที่ธนูดอกนั้นและร่างของเจ้าตัวน้อยหายไปพร้อมๆ กัน มีโลหิตสีทองอ่อนๆ กระเซ็นลงมาหลายหยด และยังมีเส้นขนของสิงห์ขนทองน้อยลอยปลิวอยู่กลางอากาศอีกด้วย
“แกนะแก จงตายซะเถอะ!”
เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กได้รับบาดเจ็บ เยี่ยเทียนจึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที พอตั้งจิตสั่งการ ประกายขาวที่ปรากฏขึ้นข้างหลังเหอปู้อวี่นั้นก็ฟันปราณแท้คุ้มกายของเหอปู้อวี่จนเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วพุ่งตรงเข้าไปที่กลางหลัง ทะลุออกมาที่หน้าอก
“มีดบิน?”
เหอปู้อวี่เพ่งสมาธิส่วนใหญ่ไปที่ตัวเยี่ยเทียนและสิงห์ขนทองมาตลอด จึงคาดไม่ถึงเลยว่าการจู่โจมจะมาจากข้างหลัง แต่ว่าต่อให้เขาเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า แต่มีดบินคู่กายของเยี่ยเทียนนั้นใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานได้ที่ไหนกัน?
ขณะที่มีดบินพุ่งทะลุออกมาจากหน้าอกของเหอปู้อวี่ นัยน์ตาของเขาขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อว่านี่เป็นความจริง มือขวาแตะลงไปบนหน้าอกซ้ำๆ กันหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดโลหิตที่ทะลักออกมาจากหน้าอกได้
เยี่ยเทียนฟูมฟักอู๋เหินมาหลายปี อีกทั้งยังเพิ่มวัสดุล้ำค่าหายากสารพัดอย่างเข้าไปด้วย ขณะที่มันแทงทะลุร่างของเหอปู้อวี่ไป ปราณมีดอันทรงพลังนั้นก็ได้ตัดพลังชีวิตภายในร่างกายของเขาไปจนหมดแล้ว ไม่เพียงเฉพาะหัวใจของเหอปู้อวี่เท่านั้น แม้แต่อวัยวะภายในอื่นๆ ก็ถูกกระเทือนจนแหลกไปหมดแล้ว
“เคร้ง!” เสียงโลหะกระทบกันดังกังวานขึ้นมา ที่แท้เป็นเสียงมีดบินของเยี่ยเทียนเข้าไปขวางลูกธนูดำที่กำลังไล่ล่าสิงห์ขนทองดอกนั้นนั่นเอง
เมื่อส่วนสำคัญของร่างกายบาดเจ็บ จิตดั้งเดิมของเหอปู้อวี่ย่อมได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน ลูกธนูดอกนั้นเปล่งเสียงราวกับร้องโหยหวนออกมา แล้วร่วงลงไปบนพื้น เหอปู้อวี่ไม่อาจใช้จิตดั้งเดิมควบคุมของวิเศษชิ้นนี้ได้อีกแล้ว
“โฮก!”
เมื่อเห็นว่าลูกธนูที่กำลังไล่ล่ามันอยู่ถูกเยี่ยเทียนขัดขวางไว้ สิงห์ขนทองที่ตอนแรกกำลังโถมร่างไปข้างหน้าก็เปล่งเสียงคำรามออกมา ร่างพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ ลำแสงสีทองพาดผ่านไป แล้วร่างของมันก็ไปปรากฏขึ้นข้างๆ เหอปู้อวี่ ใช้กรงเล็บควักหัวใจของอีกฝ่ายออกมาโดยไม่ลังเล จับใส่ปากแล้วเริ่มเคี้ยว
“อย่าเพิ่งฆ่ามันนะ!”
เมื่อเห็นสัญชาตญาณดุร้ายของสิงห์ขนทองน้อยตื่นขึ้นมา เยี่ยเทียนจึงขยับร่างวูบ ยื่นมือไปคว้าคอของสิงห์ขนทองไว้ อุ้งเท้าหน้าของเจ้าตัวเล็กข้างนั้นจึงค่อยๆ คลายจากลำคอของเหอปู้อวี่
“น…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
การประมือระหว่างเยี่ยเทียนและเหอปู้อวี่นั้น สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ภายในเวลาชั่วกระต่ายกระโดดนกเหยี่ยวบินโฉบ จนโก่วซินเจียเห็นแล้วตาลายไปหมด สมองก็ยังมึนงงอยู่เล็กน้อย เพราะจนกระทั่งตอนนี้ ภาพที่ทั้งสองฝ่ายสนทนากันอย่างสนิทสนมจริงใจเมื่อครู่ก็ยังค้างอยู่ในสมองของเขาอยู่เลย
“เรื่องอะไรน่ะหรือ?”
เมื่อเห็นว่าพลังชีวิตของเหอปู้อวี่ถูกตัดขาดไปทั้งร่างแล้ว เยี่ยเทียนถึงจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แค่นหัวเราะตอบว่า
“คนผู้นี้มีเจตนาร้ายแฝงอยู่ในใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนแรกศิษย์พี่ใหญ่เองก็ดูออกนี่ครับ ทำไมตอนหลังกลับมาหลงเชื่อมันไปได้ล่ะ?”
“ที่เธอพูดคุยกับเขาไปก่อนหน้านี้ เป็นการเสแสร้งแกล้งทำทั้งหมดเลยหรือ?”
โก่วซินเจียได้ยินแล้วอดหัวเราะเจื่อนๆ ไม่ได้ เขารู้สึกว่าตัวเองแก่ชราแล้วจริงๆ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะบอกเจตนาให้เขารู้ไว้ก่อนแล้ว แต่โก่วซินเจียก็ยังถูกการสนทนาวิสาสะของทั้งคู่ตบตาเข้าจนได้
“เฮอะ มันเองก็ทำเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ?”
เยี่ยเทียนแค่นเสียงดังเฮอะ มองดูเหอปู้อวี่ที่อยู่บนพื้นแล้วพูดขึ้นว่า
“แกไม่ต้องคิดว่าจะให้จิตดั้งเดิมหลบหนีไปหรอกนะ ไม่มีโอกาสหรอก!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนช่วงปลาย จิตดั้งเดิมก็จะถูกหลอมจนแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ต่อให้สูญเสียกายเนื้อไป ก็ยังสามารถดำรงอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ยามนี้เหอปู้อวี่แสร้งตายอยู่บนพื้น แสดงว่ากำลังคิดจะให้จิตดั้งเดิมหนีออกไปหาที่จุติใหม่แน่ๆ
“แกยังไม่เคยเข้าสู่มิติแดนแห่งทวยเทพมาก่อน ทำไมถึงได้รู้อะไรๆ มากมายขนาดนี้เล่า?”
พอเยี่ยเทียนพูดจบ เหอปู้อวี่ที่ตอนแรกมีใบหน้าซีดเผือด ดวงตาทั้งคู่หลับสนิทนั้นก็ลืมขึ้นมาทันที ในดวงตาทั้งคู่เปี่ยมด้วยความเคียดแค้นขมขื่น ฉายความสับสนอย่างหนักออกมาด้วย
บำเพ็ญพรตมาหลายร้อยปี สุดท้ายกลับต้องมาลงเอยเช่นนี้ เหอปู้อวี่รู้สึกเจ็บใจนัก
“โลกของปุถุชนนั้นขาดแคลนปัจจัยต่างๆ แล้วแกหลอมมีดบินคู่กายออกมาได้อย่างไรกัน? แล้วอำพรางมีดบินนั้นไว้ข้างหลังข้าตั้งแต่เมื่อใด?”
ตามความคิดของเหอปู้อวี่ ถ้าเยี่ยเทียนยังไม่เคยเข้าสู่มิติแดนแห่งทวยเทพมาก่อน ความรู้และประสบการณ์ของเขาก็น่าจะมีอยู่อย่างจำกัด ยิ่งไม่น่าจะมีของวิเศษใดๆ อยู่ในครอบครองได้ แต่เหอปู้อวี่กลับคาดไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนจะมีมีดบินคู่กายที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญมากมายในดินแดนแห่งทวยเทพยังไม่มี หากไม่อาจไขปัญหานี้ให้กระจ่างได้ เหอปู้อวี่คงตายตาไม่หลับแน่
“แกน่ะแพ้ภัยจากอุบายอันชาญฉลาดของตัวเองนั่นแหละ”
เยี่ยเทียนมองเหอปู้อวี่อย่างเย็นชา
“สมบัติประจำตระกูลของตระกูลซือคงนั้นล้ำค่าถึงระดับไหนกัน? แล้วจะให้แกเก็บไว้เป็นของแทนตัวง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร? อย่างนั้นก็หมายความว่าแกต้องได้มันมาจากการฆ่าคนชิงทรัพย์แน่ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยระแวงแกมาตั้งแต่แรกแล้ว…”
แม้ว่าเหอปู้อวี่จะมีชีวิตอยู่มานานแล้ว ความคิดจิตใจก็อำมหิตพอตัว แต่เขาติดตามอาจารย์ไปบำเพ็ญพรตอยู่ตามป่าเขาตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาก็ได้เข้าไปอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพเลย ความสามารถในการหลอกลวงต้มตุ๋นนั้นจึงได้มาจากการศึกษาด้วยตนเองล้วนๆ
เยี่ยเทียนแม้จะอายุไม่มาก แต่เขาได้ออกไปท่องยุทธภพปะปนอยู่ในสังคมตั้งแต่อายุสิบขวบ มีคนแบบไหนบ้างเล่าที่ยังไม่เคยพบเจอ? แค่ฟังคำพูดของเหอปู้อวี่ประโยคเดียว เขาก็เห็นพิรุธแล้ว และเขาเองก็มีจิตคิดสังหารอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรก ตอนที่สิงห์ขนทองฉีกชุดนักพรตของอีกฝ่าย เยี่ยเทียนก็ได้ซุกซ่อนมีดบินไว้ใต้พื้นด้านหลังเหอปู้อวี่อย่างเงียบเชียบ
“นายท่านเป็นอะไรไป? แกฆ่านายท่านไปแล้วงั้นรึ?”
ระดับสติปัญญาของวานรขาวไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์ มันย่อมฟังเข้าใจในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมาทั้งหมด จึงเปล่งเสียงร่ำร้องออกมาอย่างโศกเศร้า คว้าพลองเหล็กเย็นกระโจนเข้ามา แล้วฟาดไม้พลองลงไปที่กะโหลกศีรษะของเหอปู้อวี่ทันที
“อย่าวู่วามไป ยังมีเรื่องต้องถามมันอีกนะ!”
เยี่ยเทียนจับไม้พลองที่กำลังฟาดลงมาไว้ แล้วพูดขึ้นอีกว่า
“ถ้าแกยอมตอบคำถามมาโดยดี ฉันก็จะให้แกได้ตายแบบสบายๆ!”
“เจ้าหนุ่มเอ๋ย สักวันท่านเหอผู้นี้จะต้องกลับมาลบล้างความแค้นในวันนี้แน่!”
ดวงตาทั้งคู่ของเหอปู้อวี่พลันเบิกกว้าง เงาจางๆ เงาหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเขา จิตดั้งเดิมซึ่งอยู่ในร่างเปลือยเปล่า และมีหน้าตาเหมือนกับเหอปู้อวี่ไม่มีผิดนั้นมองซ้ายมองขวาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหาะตรงไปยังทิศทางที่จะออกจากภูเขาทันที
“คิดหนีเรอะ?”
เยี่ยเทียนรวบรวมจิต อากาศโดยรอบนั้นก็ราวกับถูกแช่แข็งไปทันที จิตดั้งเดิมของเหอปู้อวี่ที่กำลังจะหลบหนีจึงชะงักค้างอยู่กลางอากาศทั้งอย่างนั้น
……………………….