หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 697 บุญสัมพันธ์
ตอนที่ 697 บุญสัมพันธ์
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ คลังสมบัติอยู่ในหัวของฉันมาโดยตลอดหรอกหรือ?”
หลังจากนั่งเซ็งอยู่ในถ้ำสองชั่วโมงกว่า ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา และก็เป็นไปตามที่เขาคาดคิดไว้ คาถาที่ปรากฏอยู่ในจิต คือวิชาที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่านั่นเอง
วิชานี้ไม่ได้มาจากกระดิ่งซานชิงและเข้าสู่จิตของเขา แต่มาจากการถ่ายทอดวิชาที่มีอยู่ในหัวของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านั้นวรยุทธของเขายังไม่ถึง ทำให้วิชานี้ถูกผนึกเอาไว้
ตอนที่เยี่ยเทียนหยิบกระดิ่งซานชิงขึ้นมา เสียงของกระดิ่งได้เกิดการตอบสนองกับจิตดั้งเดิมของเขา ก็ไม่รู้ว่าคาถาถูกเปิดออกได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตื่นเต้นก็คือ วิชานี้มากพอที่จะแก้ไขปัญหาปราณชีวิตแท้ของเขาได้
จากเคล็ดวิชาทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่า หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียน มนุษย์ต้องเปลี่ยนจากการฝึกร่างกายกลายมาเป็นฝึกพลังจิตแทน และลักษณะที่สำคัญของจิตดั้งเดิมก็ไกลเกินกว่าการฝึกกายเนื้ออยู่มากนัก
เยี่ยเทียนต้องรอหลังจากที่จิตดั้งเดิมแข็งแกร่งมากพอ สร้างเส้นลมปราณภายในร่างกายใหม่แล้วค่อยฝึกตัน เถียน ถึงตอนนั้นก็จะฝึกปราณแท้ออกมาได้เอง ตอนนั้นก็จะทำให้เยี่ยเทียนได้เข้าสู่ระดับเซียนอย่างแท้จริง
ขณะที่กำลังทำความเข้าใจกับวิชาที่อยู่ในจิต เยี่ยเทียนได้นั่งหันหน้าไปทางทิศเหนือโดยหันหลังให้ทางทิศใต้ นั่งสมาธิในรูปดอกบัว ตั้งจิตแน่วแน่ แล้วจิตดั้งเดิมที่เป็นกลุ่มก้อนสะเปะสะปะก็ออกจากจุดอิ้นถัง และตั้งอยู่เหนือศีรษะของเยียเทียนไปสามฟุต
“ความหมายกว้าง หลักการล้ำลึก เกิดความสราญรมย์ที่ลึกซึ้งและยาวไกล ฟ้าดินแยกกัน สรรพสิ่งในฟ้าดินนั้นไซร้ ประกอบด้วยหยินและหยาง เหตุและผลแห่งการเปลี่ยนแปลง ลางเป็นตายปรากฏ พบร่องรอยโดยมิต้องเสาะแสวง ปรากฏโดยมิต้องนัดหมาย…”
การเดินวรยุทธวิชาเซียนเทียนของอาจารย์ ทำให้จิตดั้งเดิมที่อยู่เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็กลายเป็นหลุมดำ แล้วพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินที่เต็มเปี่ยมภายในถ้ำแห่งนี้ก็ถูกจิตดั้งเดิมดูดซับแล้วกรูเกรียวเข้าไปราวกับฝูงผึ้งในทันทีทันใด
“สบายจริงๆ!” หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เยี่ยเทียนจึงลืมตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความปลื้มใจเป็นอย่างมาก
ครั้งนั้นตอนที่อยู่ฮ่องกง จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนดูดซับปราณวิเศษเข้าไปโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว ทำให้เขาไม่รู้สึกอะไร
แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนได้ดูดซับพลังปราณชีวิตเข้าไปในขณะที่มีสติอยู่ ราวกับว่าเขาได้กินโสมเข้าไปก็ไม่ปาน รูขุมขนหนึ่งแสนแปดหมื่นทั่วร่างกายเหมือนจะแผ่ขยายออกไปอย่างสบายตัว
เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าจิตดั้งเดิมของเขากระชับแน่นมากขึ้น เขาเชื่อว่า ขอเพียงได้ดูดซับปราณวิเศษอย่างเต็มที่ ใช้เวลาไม่ถึงสามปี เขาจะต้องตื่นรู้และเข้าสู่ระดับของการถอดจิตออกจากร่างได้อย่างแน่นอน
ความจริงการฝึกฝนวิชาที่ดีที่สุด ก็คือตอนที่อยู่ในตลาดนั่น ภายในมีพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินที่มีคุณภาพคับแน่น อย่างน้อยก็ทำให้เยี่ยเทียนสามารถย่นระยะเวลาในการสร้างจิตแห่งหยางไปกว่าครึ่ง
เพียงแต่หลังจากที่วานรขาวแย่งกระดิ่งซานชิงไป เยี่ยเทียนก็ล้มเลิกความคิดนี้ เพราะในโลกของการบำเพ็ญตนจะให้ความเคารพกับคนที่มีศักยภาพมากกว่า ถ้าหากเจ้าลิงนั่นเห็นวรยุทธของตัวเองบรรลุไปอีกขั้นอย่างกะทันหัน ไม่แน่อาจจะเกิดความคิดมิดีมิร้ายอะไรอีกก็เป็นได้
เมื่อคิดดูแล้ว เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า “ช่างเถอะ กลับฮ่องกงดีกว่า ถึงแม้จะสู้ที่นี่ไม่ได้ แต่ถ้าสละเวลาให้มากกว่านี้ ก็ต้องฝึกจิตดั้งเดิมให้ดีได้อย่างแน่นอน”
“จี…จี !”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะเข้าสู่การฝึกฝนอีกครั้ง เหมาโถวก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา พลางกระโดดมาอยู่ตรงหน้าของ เยี่ยเทียนแล้วใช้กรงเล็บโบกไปมาไม่หยุด เหมือนกำลังประท้วงอะไรสักอย่าง
“แกโทษฉัน ที่ฉันแย่งปราณวิเศษของแกเรอะ?”
ถึงแม้เหมาโถวจะพูดไม่ได้ แต่พออยู่ด้วยกันมานาน เยี่ยเทียนจึงเข้าใจความหมายของมันเป็นธรรมดา เมื่อครู่ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังดูดซับปราณวิเศษอยู่เขาก็รู้สึกว่า ความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษของเหมาโถว เร็วกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
“จี จี!” เหมาโถวใช้กรงเล็บชี้ไปที่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างหลังเยี่ยเทียน ซึ่งมีความหมายชัดเจนมาก มันอยากให้ เยี่ยเทียนชดใช้ที่มันเสียขวัญไปเมื่อครู่
“บ้าเอ้ย พวกแกแต่ละตัวเจ้าเล่ห์กันจริงๆ!”
เยี่ยเทียนสบถด่าออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วในหัวก็คิดได้จึงพูดว่า “เหมาโถว แกให้เจ้าลิงนั่นพาแกไปที่ที่หนึ่ง ที่นั่นมีลูกท้อเซียนเต็มไปหมด แกอยากกินเท่าไรก็กินเท่านั้น!”
เยี่ยเทียนมองออก บางทีพวกมันก็เป็นปีศาจเหมือนกัน ถึงแม้วานรขาวจะมีท่าทีไม่ยินดียินร้ายกับเขา แต่ก็ปฏิบัติต่อเหมาโถวไม่เลวเหมือนกัน นอกจากนี้ในเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) นี้ นอกจากวานรขาวแล้ว ก็ไม่เห็นสัตว์ที่สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้สักตัว
“จี จี?” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ดวงตาของเหมาโถวก็สว่างขึ้นทันที แล้วมุมปากของมัน ก็มีน้ำลายไหลออกมา
“แกนี่มันตะกละจริงๆ พอแล้ว ฉันจะฝึกวิชาอีกหน่อย แกอย่ามารบกวนฉันนะ!” เยี่ยเทียนจับลำคอของมันอย่างไม่ใยดี แล้วโยนมันออกไปนอกถ้ำ
แต่เยี่ยเทียนไม่ได้ฝึกวิชาต่อหรอก ทว่าเขาพยายามทำความเข้าใจในแต่ละประโยคของวิชาบทนั้นต่างหาก
การฝึกวรยุทธจะรีบร้อนไม่ได้ และถ้าหากถูกวานรขาวมาเห็นเข้า มันจะต้องรู้แน่นอนว่าตัวเองได้ของดีมา ขนาดจิตใจคนเรานั้นยังคาดเดายาก แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่ไม่ใช่พวกเดียวกันกับเขา ใครจะรู้ว่าเจ้าลิงนั่นจะเกิดความอา ฆาตขึ้นมาอีกเมื่อไร?
วิชาที่อยู่ในจิตดูเหมือนจะมีความลึกล้ำอยู่มาก และเยี่ยเทียนก็สามารถทำความเข้าใจได้น้อยจริงๆ พอนั่งสมาธิ เขาก็นำพลังจิตตกอยู่ในห้วงนั้นทันที
เมื่อเยี่ยเทียนลืมตาอีกครั้ง เขาพบว่าวานรขาวกลับเข้ามาในถ้ำตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และกำลังมองดูตัวเองด้วยความประหลาดใจและสงสัยไม่หยุด
“ท่านผู้อาวุโส พอจะรู้สรรพคุณของกระดิ่งซานชิงนั่นหรือยังครับ?” เยี่ยเทียนแอบเสียใจ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาไม่น่าจะทุ่มเทมากเกินไป หรือว่าเจ้าลิงจะมองเห็นเบาะแสอะไรออกแล้ว?
“ของสิ่งนี้มันเป็นของที่ตกทอดมา เกรงว่านอกจากคนในสำนักเดียวกันของพวกเจ้าแล้ว คนอื่นไม่มีทางใช้ได้!”
วานรขาวถลึงตาใส่เยี่ยเทียน แล้วโยนกระดิ่งซานชิงนั่นไปที่ข้างตัวเยี่ยเทียนอย่างไม่สบอารมณ์ พลางพูด “เอาของคืนเจ้าก็แล้วกัน ข้าเห็นว่าเจ้าก็มีวาสนาไม่น้อย ต่อไปถ้าหากเจ้าสามารถบรรลุระดับเซียนขั้นปลายได้ อย่าลืมกลั่นยาวิเศษมาให้ข้านะ!”
หลังจากฝึกวรยุทธจนถึงระดับเซียนเทียนขั้นปลาย จะสามารถสร้างเพลิงแท้ก่อกำเนิดได้ ซึ่งมีเพียงพวกมนุษย์เท่านั้นที่มี
ถึงแม้วรยุทธของเจ้าลิงจะบรรลุขั้นแล้ว แต่ถ้าไม่มีเพลิงแท้ก่อกำเนิด ก็ไม่อาจกลั่นยาวิเศษได้ จึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เยี่ยเทียน ไม่อย่างนั้นแม้ว่ากระดิ่งซานชิงจะไม่มีประโยชน์กับมันก็ตาม แต่มันก็ไม่มีทางคืนเยี่ยเทียนได้อย่างง่ายดายหรอก
เพียงแต่วานรขาวไม่รู้ว่า การกระทำของมันได้สร้างบุญสัมพันธ์ที่ดีให้กับตัวเอง สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายถึงชีวิตของตัวเองในภายภาคหน้าได้ และด้วยเหตุและผลนี้ถึงทำให้คนเราได้อยู่ดีกินดีมีความสุข ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ
“คืนผม?”
เยี่ยเทียนตกใจกับพฤติกรรมของวานรขาวมาก แล้วจึงหยิบกระดิ่งซานชิงมาไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่กล้าใช้พลังจิตแทรกเข้าไป เพราะกลัวว่ากระดิ่งซานชิงจะเกิดความผิดปกติ แล้วกระตุ้นอารมณ์ของวานรขาวอีกครั้ง
“จำคำพูดของเจ้าก่อนหน้านี้ได้ก็พอ”
เมื่อของล้ำค่ามาอยู่ในมือตัวเองแต่กลับใช้การไม่ได้ เวลานี้วานรขาวจึงรู้สึกกลัดกลุ้มผิดปกติ แล้วพูดว่า “ข้าจะส่งเจ้าออกจากภูเขา อ้อใช่ เหล้าที่เจ้ารับปากข้าอย่าลืมเสียละ ไม่อย่างนั้นข้าจะไปก่อความวุ่นวายที่เจ้า!”
“ขอบคุณผู้อาวุโสครับ ท่านวางใจได้ หลังจากผมออกจากภูเขาแล้ว จะเอาเหล้าดีมาให้ท่านแน่นอน!”
เยี่ยเทียนลุกขึ้น แล้วจึงโค้งคำนับให้วานรขาวอย่างสุดซึ้ง ครั้งนี้เขาทำด้วยความจริงใจ โอกาสในการเดินทางครั้งนี้ หนีไม่พ้นที่ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าลิงอย่างแท้จริง
ทันใดนั้นวานรขาวก็ชี้ไปที่เหมาโถว “แล้วก็ เจ้าไปได้ แต่มันต้องอยู่ที่นี่!”
“จี…จี จี!”
หลังจากได้ยินคำพูดของวานรขาว เหมาโถวก็ไม่ฟัง รีบส่งเสียงร้องออกมาจากปากทันที จากนั้นก็กระโดดพรวดราวสายฟ้าแลบไปอยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียน พลางเอาตัวรัดพันไปที่ลำคอของเยี่ยเทียนอย่างแนบชิด
ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เหมาโถวก็เห็นเยี่ยเทียนเป็นสิ่งแรก ในใจของมันจึงนับเยี่ยเทียนเป็นเหมือนพ่อแม่ของมันไปนานแล้ว ถึงแม้มันจะสนิทกับวานรขาว แต่ก็ไม่อยากแยกจากเยี่ยเทียนอยู่ดี
“เขาเป็นคน ส่วนเจ้าเป็นปีศาจ อยู่กับเขาไม่มีอนาคตหรอก!”
วานรขาวถลึงตาใส่เหมาโถว แล้วพูดต่อ “เจ้าฝึกฝนวิชาอยู่ในภูเขากับข้า ข้าจะได้มีเพื่อน และยังสามารถแนะนำเจ้าได้ อาศัยอยู่ในภูเขาสบายจะตาย ดีกว่าอยู่กับเขาอีกนะ?”
วานรขาวถือได้ว่าเป็นห่วงโซ่อาหารสูงสุดในเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) แต่มันก็ไม่สามารถผ่อนคลายความเหงาที่ไม่มีพวกเดียวกันอยู่ด้วยได้จริงๆ
และถึงแม้เหมาโถวจะไม่ได้อยู่ตระกูลเดียวกับวานรขาว แต่มันมีอายุมาเกือบหนึ่งร้อยสองร้อยปีแล้วก็เพิ่งเคยเห็นสัตว์ที่สามารถบำเพ็ญตบะได้ ดังนั้นวานรขาวจึงให้ความสำคัญกับมัน
“จี จี!” เหมาโถวยื่นศีรษะที่ซุกอยู่ในขนออกมา
พูดตามจริง คำพูดของวานรขาวมีแรงดึงดูดมันพอสมควร เพราะในเมืองใหญ่แบบนั้นไม่เหมาะให้สัตว์อยู่อาศัยจริงๆ แต่พอมองเยี่ยเทียนอีกที เหมาโถวจึงส่ายหัวเล็กๆ ยืนกรานอย่างหนัก
“เหมาโถว แกอยู่ที่นี่เถอะ แล้วฉันจะมาเยี่ยมแกบ่อยๆ!”
เยี่ยเทียนเอามือลูบไล้ไปที่ตัวของมันอย่างแผ่วเบา เขารู้ว่าวานรขาวพูดถูก เหมาโถวอยู่กับเขา สู้อยู่กับวานรขาวจะดีกว่า ไม่แน่สักวันหนึ่ง มันก็อาจจะฝึกเข้าสู่ขั้นเดียวกับวานรขาวก็เป็นได้
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเสียดาย แต่ก็ไม่อยากให้เหมาโถวต้องเสียเวลา บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสของเหมาโถวก็ได้?
“จี จี!” เหมาโถวส่งเสียงร้องไห้เศร้าใจออกมา พร้อมกับสีหน้าอาลัยอาวรณ์ มันมีสติปัญญานานแล้ว แน่นอนจึงรู้ว่าการเลือกแบบนั้นคือทำถูกแล้ว
“พอแล้ว อย่าทำแบบนี้เลย” เยี่ยเทียนใช้มือขยี้ไปที่ศีรษะของเหมาโถวเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่อยู่ของท่านผู้อาวุโสมีของกินอร่อยมากมายนะ”
“จี จี!” พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ ดวงตาของเหมาโถวจึงสว่างขึ้นมาทันที หลังจากเอียงศีรษะน้อยๆ อยู่นาน สุดท้ายมันจึงพยักหน้า
“ของพวกนั้นล้วนเป็นของข้า!”
วานรขาวขึงตาใส่เยี่ยเทียน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง มันจึงพูดกับเหมาโถวอย่างด้วยความโกรธ “ของที่ข้าไม่ให้เจ้าแตะ เจ้าห้ามแตะต้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้านายท่านกลับมา พวกเราสองคนก็ซวยกันหมด!”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่วานรขาวก็ตั้งใจเอาไว้แล้ว หากสติปัญญาของเหมาโถวยังไม่สมบูรณ์ มันจะไม่พาเจ้านี่เข้าไปในตลาดอย่างแน่นอน
“จี จี!” เหมาโถวพยักหน้าหงึกๆ แต่ดวงตาของมันกลับหมุนติ้ว ไม่รู้ว่ามันแอบคิดแผนอะไรไว้กันแน่
เมื่อเห็นสอง “คน” ตกลงเงื่อนไขกันเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ต้องรบกวนให้ท่านส่งผมออกไปข้างนอกด้วยครับ!”
“ไปกันเถอะ!” วานรขาวเดินไปข้างนอกถ้ำ และมันก็เดินวรยุทธต่อหน้าเยี่ยเทียนโดยไม่ได้ปิดบังอะไร จากนั้นปราณแท้ยาวประมาณสิบฟุตกลุ่มหนึ่งก็พันรอบตัวของมันขึ้นมา
แล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปที่ใต้ซี่โครงของเยี่ยเทียน แต่ก็ไม่เห็นวานรขาวกระทำการใดๆ เยี่ยเทียนรู้สึกเพียงว่าร่างกายเบาหวิว แล้วทั้งตัวก็ลอยอยู่กลางอากาศ
ทั้งๆ ที่เป็นลมแรงปะทะหน้าเหมือนกัน แต่กลับพัดจนเยี่ยเทียนลืมตาไม่ขึ้น หลังจากผ่านไปประมาณสิบถึงยี่สิบนาที เท้าของเยี่ยเทียนก็หย่อนลง แล้วจึงเหยียบลงบนพื้นดิน
พอวางเยี่ยเทียนลง วานรขาวจึงพูดว่า “ตรงนี้ห่างจากภูเขาเพียงสิบกว่ากิโลเมตร ถึงเวลาเจ้าก็เอาเหล้ามาวางไว้ที่นี่ แล้วข้าจะมารับเอง!”
“พรุ่งนี้เวลาเดิม ผมจะเอาเหล้ามาให้ท่านครับ!”
เยี่ยเทียนมองเหมาโถวที่ยืนอยู่บนไหล่ของวานรขาวอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “ถึงตอนนั้นท่านผู้อาวุโสช่วยพาเหมาโถวมาด้วยนะครับ!”